เกร็ดรักรอยหงส์ ตอนที่ 1

สรรพสิ่งล้วนแต่ไม่จีรัง ล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เมื่อมีรุ่งเรืองจนถึงที่สุดก็ย่อมมีเสื่อมโทรมลงได้ ทว่า..บางที่และบางแห่ง ยังคงวัฏจักรของธรรมชาติ ไม่ว่าเช้า กลางวัน เย็น หรือบางสถานการณ์อาจจะมีจุดหยุดนิ่ง มีจุดผกผัน มีเรื่องราวเกี่ยวเนื่องเหนือธรรมชาติ ชวนให้ค้นหา จะเป็นอาถรรพ์ในอดีต เป็นชีวิตที่พลัดพราก ล้วนแล้วแต่มีเกร็ด มีสาระ ให้ติดตาม

๑.
ณ ที่พักตากอากาศแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี สยามประเทศ

รีสอร์ตบนเนื้อที่สามสิบไร่ไม่ไกลจากตัวเมืองสังขละบุรี ถือเป็นสถานที่ตากอากาศที่นักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อนแห่งหนึ่งในช่วงฤดูร้อน ซึ่งจะเป็นช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายนที่อากาศไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือยามเช้าจะมีหมอกจางๆอากาศเย็นพอประมาณ ยามสายจนถึงบ่ายแม้จะมีแสงแดดกล้าแต่ก็ไม่ร้อนจนเกิน เนื่องจากสถานที่อยู่ติดเทือกเขาเล็กๆ และยามเย็นลมจะพัดแรง และอากาศจะทวีความหนาวขึ้น ชั่วนาตาปีไม่เปลี่ยนแปลง... ไม่ร้อนจัดและไม่หนาวเกินทน ...ทำให้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่หนีร้อนและหนีฝนมาจากเมืองหลวง

เฉกเช่นวันนี้ เป็นไปตามวัฏจักรของธรรมชาติที่นี่ รีฟช็องชาโต้....

แสงแดดยามบ่ายคล้อยในวันสุดสัปดาห์ปลายฤดูร้อนวันนี้ค่อยๆ ลดแสงลง สายลมยามเย็นเริ่มพัดโปรยปรายสู่สถานตากอากาศลือชื่อ สิบหกนาฬิกาตรงรถบัสคันใหญ่ขนาดจุผู้โดยสารได้สามสิบที่นั่งค่อยๆ เลี้ยวออกจากทางโค้งจากถนนสายใหญ่เข้ามายังประตูรีฟช็องชาโต้โดยบนรถมีนักท่องเที่ยวโดยสารมาเต็มทุกที่นั่ง

เมื่อเสียงแตรรถดังขึ้นยามรักษาความปลอดภัยที่ประจำป้อมตรงทางเข้า ก็รีบวิ่งมาเข็นประตูเหล็กที่ขวางทางไว้ออกพร้อมกับยกวิทยุสื่อสารส่งเสียงไปยังฝ่ายต้อนรับในอาคารตามหน้าที่ทันที

“ทัวร์คันที่สองมาถึงแล้วครับ ทราบแล้วเปลี่ยน..”

คนขับรถรับกระดาษสีขาวแผ่นเล็กมาจากมือยามเฝ้าประตูคนเดิมก่อนที่จะเคลื่อนรถไปจอดยังอาคารต้อนรับซึ่งอยู่ห่างจากป้อมยามประมาณห้าร้อยเมตร

รถจอดสนิทมัคคุเทศน์สาววัยยี่สิบห้าในชุดเครื่องแบบของบริษัททัวร์ที่รับนั่งท่องเที่ยวมา ก็ยกไมโครโฟนขี้นประกาศด้วยภาษาจีนกลางคล่องแคล่ว

“ขอต้อนรับทุกท่านสู่รีฟช็องชาโต้ค่ะ เราจะพักค้างคืนกันที่นี่หนึ่งคืนนะคะ เมื่อลงไปถึงลอบบี้ กรุณาเช็คอินก่อนนะคะ ท่านใดพักกับใครเราจัดไว้ให้หมดแล้วค่ะ เพียงแต่บอกชื่อสกุลของท่านเท่านั้น”

และก่อนที่เสียงจ้อกแจ้กจอแจของลูกทัวร์ที่พากันลุกขึ้นยืนจะเริ่มฟังไม่ได้ศัพท์ มัคคุเทศน์สาวคนเดิมก็ยกไมโครโฟนขึ้นพูดต่ออีกว่า

“เรามีเวลาเช็คอินและนำข้าวของไปเก็บเพียงสองชั่วโมงนะคะ กรุณาลงมาพร้อมกันที่สนามหญ้าด้านซ้ายมือของอาคารนี้ เพื่อรับประทานอาหารเย็นพื้นเมืองแบบบุฟเฟ่และชมการแสดงนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมืองมอญ การแสดงคืนนี้จะใช้เวลาสองชั่วโมงค่ะ”

ภาพของนักท่องเที่ยวที่ลากสัมภาระและส่งเสียงดังด้วยภาษาจีนเข้ามาที่ล็อบบี้ ทำให้หญิงวัยกลางคนสองนางในชุดแม่บ้านที่กำลังทำหน้าที่กวาดพื้นอยู่ที่ระเบียงมองหน้ากัน และหนึ่งในพนักงานก็เป็นฝ่ายเริ่มการสนทนา

“เอ..วันนี้ดีจังทัวร์เข้าเป็นคันที่สองแล้ว ถ้าได้อีกคันก็ดีซินะ”

“เห็นคุณอานบอกว่าวันนี้จะมีทัวร์เข้าถึงสามกรุ๊ป ทัวร์จีนสองทัวร์ ฝรั่งยุโรปหนึ่งทัวร์” อีกนางตอบพลางใช้ไม้ไถผ้าถูไปบนพื้นเพื่อทำความสะอาดต่อ

“ดีจัง..ช่วงเทศกาลก็ดีอย่างนี้แหละ แต่เฮ้อ..เสียดายนะ หากว่าข่าวที่เราได้ยินเป็นจริง พวกเราจะไปทำมาหากินอะไรกันล่ะ”

นางคนที่กำลังถูพื้นทำหน้าเศร้าขึ้นมาทันทีเมื่อได้ฟังเพื่อนพูดถึงเรื่องที่บรรดาพนักงานรีสอร์ทกำลังร่ำลือกันอยู่

“นั่นซินะ ฉันหวังว่าคงเป็นเรื่องลือเท่านั้น วันนี้พบแม่มามิ เขาบอกครูอิ้นปานจะเอาจะเข้ตัวโปรดมาออกแสดง เพราะอาจจะเป็นการแสดงครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้”

ยังไม่ทันได้คุยต่อหนึ่งนางก็ต้องหันไปตอบคำถามนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่ถามหาทางไปห้องน้ำ ทำให้สองพนักงานทำความสะอาดเลิกสนทนาและแยกจากกันไปตรงนั้น

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ณ บริเวณสนามหญ้าสีเขียวขจีด้านข้างอาคารต้อนรับก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่แต่งตัวสวยงามที่ทยอยกันเข้ามาจับจองที่นั่งจากโต๊ะที่อยู่ใต้ร่มผ้าใบหลากสีที่จัดไว้เป็นซุ้มละสิบที่นั่ง เพื่อเข้ารับประทานอาหารเย็นและชมการแสดงนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมืองของชุมชนมอญ ในรีสอร์ทบนเนื้อที่สามสิบไร่ไม่ไกลจาก ตัวเมืองของอำเภอสังขละบุรี


โปรดติดตามอ่านต่อโอกาสต่อไป