ออนลาก้มลงกราบพระภิกษุซึ่งเป็นลุงของคุณกล้าก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องในอดีต
“พ่อกับแม่ของหนูหนีคนปองร้ายมาจากเมาะลำเลิง แม่เล่าว่าพ่อและน้องชายแม่โดนทำร้ายและเสียชีวิตระหว่างทางมาสังขละ อาแม๊ะต๊อย แม่ของหนูพาหนูกับแสงพลลูกน้าชายมาพึ่งหน่วยงานที่ช่วยผู้ลี้ภัย”
“แม๊ะเล่าว่าแม๊ะมีตะกร้าที่มีสัมภาระที่เก็บมาจากบ้านเกิดทูนหัวมาตลอดทาง มีเสื้อผ้าเก่าๆ มีผ้าห่มและมีสมุนไพรติดมาหลายห่อและหลายขวด เพื่อไว้ทำยาหากหนูกับแสงพลไม่สบาย หนูจำที่แม๊ะเล่าไม่ได้หมด ตอนนั้นหนูยังเล็กอยู่ จำได้แต่ว่าแม๊ะบอกเรามีสมุนไพรสำคัญที่ใส่กระปุกไว้ ให้เก็บไว้ให้ดี”
“สมุนไพรสำคัญ ..แม่ของโยมมีความรู้ด้านปรุงยาหรือ”
“หนูไม่แน่ใจค่ะหลวงพ่อ แต่หนูกับพลก็ไม่เคยค้นดูของที่อยู่ในนั้น เราเก็บมันไว้กับตัวตอนที่เราอาศัยอยู่กับคุณแม่ท่าน จนกระทั่งหนูย้ายมาอยู่ห้องที่รีสอร์ทและพลเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ ค่ะ”
ออนลาเล่าถึงวันที่เธอเตรียมย้ายสัมภาระเก่าๆ และเปิดตะกร้าที่มีฝาปิดไว้อย่างดี คิดในใจว่าจะทิ้งของเหล่านั้นดีไหม ของพวกนี้เป็นสมุนไพรที่คงจะหาประโยชน์ไม่ได้แล้ว อาจจะหมดอายุและเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาที่ผ่านมานับสิบๆ ปี
“หนูจึงลองรื้อของมาดู ก็เห็นว่าเป็นพวกยาที่เป็นแท่งรากไม้และผงอยู่ในตลับเล็กตลับน้อย แลดูแห้งกรังแทบทุกตลับ พอมาถึงกระปุกใหญ่ซึ่งมีผ้าสีแดงห่ออยู่ หนูก็คลี่ห่อผ้าออกจึงเห็นว่าด้านในของผ้ามีเหมือนอักษรเขียนด้วยหมึกสีดำอยู่เต็มไปหมด”
เธอเล่าให้หลวงพ่อฟังต่อไปว่า
“ส่วนในกระปุกนั้นมีเหรียญเงินรูปหอยสังข์พร้อมตัวเลขอยู่ทั้งหมดสิบสองเหรียญ นอกจากเหรียญแล้วในกระปุกยังมีขวดใสบรรจุน้ำสีน้ำตาลเข้มอยู่ หนูเปิดฝาขวดออกแล้วเทน้ำออกมาดู หนูก็ถึงกับตกตะลึง”
ออนลาจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดีว่านอกจากจะตะลึงแล้วยังรู้สึกเสมือนลมพัดมาสู่ผ้าผืนนั้นจนผ้าพริ้วเห็นชัดทั้งๆที่เธออยู่ในห้องที่ไม่น่าจะมีลมพัดผ่านเข้ามา แต่เธอก็ไม่ได้แจงเรื่องนี้ให้หลวงพ่อฟัง เพียงแต่เล่าว่า
“ขวดนั้นคงจะเป็นน้ำผึ้ง เพราะหนูรู้มาว่าน้ำผึ้งเป็นยารักษาโรคพื้นบ้าน แต่ของที่อยู่ในขวดน้ำผึ้งนั้นซิคะ เมื่อเทออกมาดู พบว่ามีแหวนลงยา มีเข็มกลัดรูปหงส์ มีสร้อยข้อมือฝังพลอยอยู่ไม่กี่เม็ดคงจะหลุดร่วงไป และมีพลอยสีเขียวเม็ดเล็กๆ อยู่หลายสิบเม็ด”
“หา..อะไรนะโยม มีสร้อย มีพลอยอยู่ในขวดน้ำผึ้งด้วยรึ”
“เจ้าค่ะ...หลังจากที่หนูตั้งสติได้หนูก็หยิบแต่ละชิ้นออกมาดู หนูเห็นเข็มกลัดหงส์ที่เป็นสัญลักษณ์ของรามัญเหลือหงส์อยู่ตัวเดียวแทนที่จะเป็นสองตัวที่ปกติจะเกาะคู่กันล่างบน และปิ่นปักผมเป็นเงินมีทับทิมเม็ดจิ๋วล้อมอยู่ ส่วนพลอยที่ลอยกระจายอยู่นั้นเป็นสีเขียวสด..”
ออนลานึกไปถึงตอนที่เธอนำของเหล่านั้นจะมาล้าง เธอพบว่าของแต่ละชิ้นยกเว้นพวกพลอยสีเขียว มียางเหนียวๆล้อมรอบ เมื่อเธอนำมาแช่ในกะละมัง ยางเหล่านั้นก็หลุดออก จึงเห็นว่าเป็นขี้ผึ้ง เธอนำของทุกอย่างมาล้างน้ำจนสะอาด ทำให้พลอยทุกชิ้นสดใสแวววาวงดงามยิ่งนัก
ออนลาเล่าต่อไปว่าเธอโทรศัพท์ไปบอกแสงพล และจากนั้นทั้งเธอและเขาก็เริ่มฝันแปลกๆ จนเมื่อแสงพลมีโอกาสมาเยี่ยมเธอ จึงได้ปรึกษากันถึงของที่อยู่ในตะกร้าและในขวด
“แสงพลบอกหนูว่า พี่ออนอย่านำของนี้ไปไว้ในห้องพักรีสอร์ทพี่เลยนะ ผมว่าเอาไปเก็บในตู้นิรภัยในธนาคารดีไหม หนูก็ตอบไปว่า ดี..พลมารับของไปนะ”
“พลเขามาดูของและนำใส่กล่องกำมะหยี่อย่างดีไปฝากไว้ที่ตู้นิรภัยของธนาคารในอำเภอเมือง แต่ไม่กี่อาทิตย์ต่อมาทั้งหนูกับน้องก็ฝันไม่ค่อยดี ฝันเหมือนว่ามีคนมาหาและสั่งว่าให้เอากลับมาไว้ใกล้ตัว ทำให้หนูเริ่มหวาดกลัวว่าของอาจจะหาย พลกับหนูจึงนำกล่องนั้นไปหาครูป๊ายครูดนตรีที่อยู่ในหมู่บ้านวัฒนธรรมเพื่อปรึกษา”
“พลบอกหนูว่าเราอาจจะต้องให้ครูอ่านภาษาที่เขียนอยู่บนผ้าที่คลุมกระปุกนั้นมา แต่เราค่อนข้างผิดหวังเพราะครูบอกว่าครูอ่านหนังสือไม่คล่องและดูเหมือนภาษานั้นจะเป็นภาษาโบราณ แต่ครูพอจะแกะบางคำและเดาบางคำ เช่นว่า “ของประจำตระกูล” ครูป๊ายเดาต่ออีกว่าของเหล่านั้นน่าจะเป็นของเจ้านาย เพราะดูจากปิ่นปักผมล้อมด้วยทับทิม รวมทั้งการที่มีเข็มกลัดหงส์นั้น คนธรรมดาเขาจะไม่นำมากลัด”
หลวงพ่อนิ่งฟังเรื่องทั้งหมดด้วยความสนใจ
“ยังงั้นเชียวเรอะ เออ เรื่องมันฟังดูแปลกขึ้นทุกทีนะโยม”
“เจ้าค่ะ บังเอิญพลเขามีลูกความคนหนึ่งเป็นพ่อค้าอัญมณีในอำเภอเมือง เขาลองนำพลอยร่วงๆ เม็ดเล็กเม็ดหนึ่งไปให้ลูกความคนนี้ดู และนำความมาบอกว่าพ่อค้าคนนี้บอกเป็นพลอยเพอริโดเขียวน้ำงามมากๆ ขอซื้อต่อและให้ราคาดีมาก”
ออนลานึกไปถึงตอนทราบข่าวว่าพลอยเหล่านั้นเป็นพลอยดี และมีคนสนใจ ทั้งแสงพลและออนลาไม่ได้คิดจะขายพลอยนั้น และยิ่งเพิ่มความระมัดระวังในการครอบครองมากขึ้น พอไปเล่าให้ครูป๋ายฟังครูก็กลับยิ่งนำความไม่สบายใจมาสู่ออนลาและแสงพลเพราะว่า
“ข้าฝันไปเว๊ย เจ้าพล ฝันว่ามีผู้หญิงอายุมากแล้ว มาสั่งข้าว่าของที่ข้าเห็นนั้น ห้ามไปบอกใครต่อ และให้ช่วยเหลือเอ็งสองคนนำของไปซ่อนก่อนที่ทุกคนจะเดือดร้อน”
ในเมื่อมีคนฝันแปลกๆ ถึงเรื่องนี้เพิ่มขึ้น ออนลาก็ยิ่งไม่กล้าที่จะเก็บของนั้นไว้ในที่ที่คนอาจจะเห็นและเข้าถึง
“ฝังเว๊ย มีอยู่ทางเดียว เอ็งเอามาฝังดินไว้ก่อน จนกว่าเอ็งจะมีบ้านช่องของเอ็งค่อยมาขุดไป เอ็งตามข้ามา ข้ามีที่ดีๆให้เอ็งเก็บของ”
ครูป๊ายนำทั้งสองไปยังด้านหลังของหมู่บ้านวัฒนธรรมซึ่งมีเรือนไม้ชั้นเดียวอยู่หลังหนึ่ง
“เอามาเก็บที่เรือนเก็บเครื่องดนตรีและเครื่องฟ้อนดีไหมปลอดภัยดี ของดีๆ มาอยู่รวมกัน ข้าหมายถึงของดีของบ้านเกิดเมืองนอนเราไง”
แสงพลก้าวขึ้นไปดูคนเดียวสักครู่เขาก็ลงมาบอกครูป๊ายและออนลาว่า
“ไม่มีที่ไว้ที่ดีพอ นักดนตรีหรือนางรำก็เห็นได้ง่ายๆ” ครูป๊ายยกกำปั้นชูให้แสงพล
“โธ่ ไอ้พล ข้าไม่ได้บอกให้เอ็งเข้าไปในบ้านเพื่อเก็บของนะ เอ็งเดินเข้าไปเอง ข้านึกว่าเอ็งจะไปดูเครื่องดนตรี..เมื่อกี้ข้าว่าไงไอ้พล ข้าบอกว่าเราต้องฝังดินไว้ก่อนใช่ไหม..”
ครูดนตรีผู้เป็นที่รักของทุกคนในหมู่บ้านและชุมชนจากฝั่งเมาะลำเลิงเหลียวหน้าแลหลังก่อนที่จะชี้ไปที่กระถางดอกพุดตานที่กำลังออกดอกสีชมพูเบ่งบาน
“นั่นที่กระถางดอกไม้นั้นน่าจะดี ช่วยกันขุดดินและฝังหีบสมบัติเอ็งไว้ใต้นี้ มา..มาช่วยกัน ข้ากับไอ้พลทำเอง แม่นางเอ็งคอยดูต้นทาง ใครผ่านมาเอ็งรีบส่งเสียงนะ”
ครูพาแสงพลไปยกจอบเสียมมาจากโรงเก็บของ ชั่วโมงหนึ่งต่อมาก็ขุดหลุมเรียบร้อย แสงพลนำกระถางต้นไม้มาครอบหลุมไว้ก่อน
“พรุ่งนี้เอ็งนำหีบสมบัติมาฝังไว้ใต้หลุมนี้แล้วเราก็เอากระถางนี้วางไว้ข้างบน..นี่แหละ...ข้าว่าเรามาถูกที่แล้วกระถางดอกไม้นี้ก็เหมือนที่ข้าฝันแหละ”
“ดอกไม้นี้ชื่อว่าดอกพุดตานจ้ะครู หนูเป็นคนสั่งให้เขาเอามาปลูกหน้าเรือนพักของรีสอร์ททุกเรือน เป็นดอกไม้ที่แม่หนูรักมาก คนมอญเขาถือว่าเป็นดอกไม้ของพวกเราค่ะครู”
“เออ ยิ่งดี เข้ากันดี สมบัติของตระกูลเจ้าจะอยู่ใต้ดอกไม้ที่แม่เจ้ารัก”
“เอ้า เล่าต่อซิโยมออน..เงียบไปทำไม”
คำเตือนของหลวงพ่อทำให้ออนลากลับคืนจากความคิดคำนึงไปถึงเรื่องราวตอนที่นำหีบสมบัติไปฝังใต้ดิน
“อ๋อ..ค่ะ หนูเพียงแต่นึกไปถึงตอนที่หนูไปปรึกษาครูป๊าย ครูให้นำไปฝังไว้ใต้กระถางต้นไม้หน้าเรือนเก็บเครื่องดนตรีและชุดฟ้อนน่ะค่ะ ครูกับพลช่วยกันขุดหลุมและเราก็นำไปฝังไว้ตามคำแนะนำครู จากนั้นเราก็ไม่ค่อยฝันร้ายกันอีก”
“อ้อ..เป็นอันว่าทำถูก แล้วอย่างไรจึงจะไปขุดมาฝากวัดนี้ล่ะ”
“คือคุณพ่อท่านกำลังจะย้ายหมู่บ้านวัฒนธรรมน่ะค่ะ ส่วนสาเหตุที่จะย้ายนี้ท่านคงจะมาเล่าให้หลวงพ่อฟังทีหลังกระมังคะ ..เมื่อหนูทราบว่าท่านจะย้ายหนูก็เลยเล่าเรื่องที่มีแต่หนู ครูและพลรู้ให้ท่านฟัง”
“อ้าว..กล้ามันจะรื้อหมู่บ้านเรอะ เออ..มันคงจะไปทำในที่ใหม่มั๊ง ไอ้หลานคนนี้มันหัวไวเรื่องธุรกิจ” หลวงลุงของกล้ามีสีหน้าภูมิใจเมื่อเอ่ยถึงคุณกล้า
ออนลาไม่ตอบในเรื่องนั้นเพราะไม่ใช่หน้าที่ที่เธอจะเล่าให้ท่านฟัง
“เจ้าค่ะ..เมื่อท่านทราบเรื่องดังนี้แล้ว หนูจึงจะมาขอนำของนั้นฝังดินไว้ในบริเวณกุฏิท่านไปก่อนได้ไหมคะ”
“ได้ซิโยม มาฝังไว้ในวัดก็ดีเหมือนกันปลอดภัยดี เอากระถางดอกไม้มาวางทับอย่างที่ทำมาก็ได้ ดอกอะไรนะ”
“ดอกพุดตาน ดอกไม้คู่ใจคนมอญเจ้าค่ะ”
เมื่อได้รับคำอนุญาตจากหลวงพ่อแล้ว ออนลาจึงนัดวันที่เธอกับแสงพลจะนำสมบัติของตระกูลแม่ต๊อยมาฝัง จากนั้นกราบลาท่านกลับด้วยจิตใจที่เบิกบานคลายกังวลไปได้ระยะหนึ่ง
คำถามสุดท้ายของหลวงพ่อนั่นเองที่ทำให้ความกังวลใจของหญิงสาวยังติดอยู่ในใจก็คือที่ท่านถามว่า
“แล้วพวกโยมจะเก็บมันไว้ให้ใครเรอะ ฝังไว้ในดิน ไม่เอาออกมาใช้..พวกโยมยึดติดกับสมบัติจริงหรือไม่ วันหลังเข้ามาคุยหลักธรรมะกับหลวงพ่อนะ เผื่อจะได้ไม่มีห่วง”
คำถามหลวงพ่อเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยคิดไว้ก่อน
“เก็บมันไว้ให้ใคร..”
นั่นซิ เก็บไว้ให้ใคร ทำไม เอามาใช้ก็ไม่ใช่ ไม่เคยคิดจะเอามาสวมใส่เป็นสมบัติ
คำของแม่ต๊อยในฝันดังก้องในหูระหว่างที่ออนลาเดินออกจากบริเวณวัดมาขึ้นรถ
“ของเก่าแก่มีค่าของพวกเรา แล้วเจ้าก็จะรู้เอง เจ้าต้องต้อนรับผู้มาเยือนชาวต่างชาติให้ดีที่สุด อย่าลืม ต้อนรับชาวต่างชาติที่จะมา”
หรือว่าชาวต่างชาติคนนั้นจะมารับของนี้..ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็จะดีไม่น้อย เธอกับแสงพลจะได้หมดหน้าที่....
จบภาคหนึ่งของเรื่องเกร็ดรักรอยหงส์ ภาคสองจะเป็นการนำเชื่้้อมไปยังอีกมิติในอีกดินแดนหนึ่ง
โปรดติดตามอ่านภาคต่อโอกาสหน้า