เกร็ดรักรอยหงส์ ตอนที่ 5

“ใครโทรศัพท์มาแต่เช้าหรือแม่นิต”

“พลค่ะคุณกล้า..เขามีข่าวดีจะมาเรียน มีคนสนใจจะซื้อชาโต้ของเราแล้วค่ะ”

กล้าวางช้อนที่กำลังจะตักข้าวต้มเข้าปากและนิ่งอี้งไปสักครู่ เขารอจนภรรยานั่งลงยังเก้าอี้ข้างๆ เรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า

“เป็นไปได้อย่างไร ทำไมจึงขายได้เร็วเช่นนี้ คนสนใจจะซื้อเป็นใครกัน”

“พลเขาจะมาเล่ารายละเอียดให้คุณฟังกลางวันนี้ค่ะ เขาถามว่าคุณจะเข้าไปที่ออฟฟิศหรือจะให้เขากับแม่ออนมาพบที่นี่คะ”

“เข้าไปที่ออฟฟิศก็แล้วกัน เผื่อเขามีเอกสารอะไรมาให้ดู อีกอย่างเราก็ไม่ได้เข้าไปหลายวันแล้ว”

นานิตลงมือรับประทานข้าวต้มที่เริ่มจะเย็นเพราะเธอต้องลุกไปรับโทรศัพท์ ตักข้าวเข้าปากได้ไม่กี่คำเธอก็เริ่มสังเกตว่าผู้เป็นสามีมีอาการเหม่อลอย

“วันนี้เด็กเขาทำข้าวต้มกุ้งไม่อร่อยหรือคะคุณ”

“ก็อร่อยดี แต่ฉันกินไม่ค่อยลงน่ะ”

กล้าวางช้อนก่อนที่จะยกน้ำขึ้นดื่มและทำท่าจะลุกขึ้นยืน

“คุณคะ กินต่อเถอะจะได้กินยา วันนี้อาจจะมีข่าวดีนะคะ”

“เอาไว้มื้อกลางวันเถอะ เอายามาก็แล้วกัน ฉันรู้สึกสมองตื้อจริงๆ ข่าวดีก็แค่มีคนสนใจ แต่ในทางปฏิบัติแล้วมันเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะคนซื้อมาจากต่างแดน มันจะมาซื้อที่ในประเทศอื่นได้อย่างไรล่ะ”

นานิตอึ้งไปกับคำเปรยของสามี ออกจะเห็นจริงก็เลยทำให้อารมณ์ยินดีเมื่อได้รับโทรศัพท์จากแสงพลเริ่มลดลง ผู้เป็นสามีขยับตัวลุกขึ้นยืนและออกเดินไปยังระเบียงของบ้าน

“เธอกินให้อิ่มเถอะคุณนิต ออกไปคุยกับฉันที่ระเบียงก็แล้วกันนะ เอายาไปให้ฉันด้วย”

กล้าทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้พับตัวโปรดที่เขามักจะออกมาใช้นั่งพักผ่อน สายตาของชายวัยปลายหกสิบมองไปยังบริเวณหลังบ้านซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของรีฟช็องชาโต้ แม้ว่าจะมีหมอกปกคลุมแต่เขาก็จำได้ว่าทิวทัศน์หรืออาคารสิ่งก่อสร้างใดๆ ที่โดนหมอกปกคลุมนั้นมีอะไรบ้าง

ใจเขาล่องลอยไปไกล จิตรำลึกไปถึงสมัยเยาว์วัย เท่าที่จะรำลึกได้ ซึ่งก็คงจะเป็นเมื่อเขาอายุได้สิบขวบ....

เขาเป็นลูกชายคนโตของกำนันชื่อกำนันเลื่อน กำนันเลื่อนเป็นกำนันของตำบลเล็กๆ แถวตะเข็บชายแดน แม่ของเขาเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังไม่กี่ขวบเขาจำอะไรเกี่ยวกับแม่ไม่ได้เลย จากนั้นไม่นานพ่อเขาก็แต่งงานใหม่ กำนันเลื่อนมักจะแก้ตัวในการมีภรรยาใหม่กับลูกบ้านเสมอๆ ว่า

“จะได้มีคนมาช่วยดูแลเลี้ยงดูเจ้ากล้ามัน”

เขาเติบโตมาจากการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากคุณแม่แววตา ซึ่งนางรักเขาเสมือนลูกที่แท้จริงเพราะนางไม่มีลูก แต่ไม่กี่ปีต่อมาเมื่อเขาอายุได้สิบขวบ พ่อเขาก็ได้ผู้หญิงอีกคนมาเป็นเมียน้อย คราวนี้ข้อแก้ตัวของพ่อกับลูกบ้านในตำบลก็คือ

“คุณแววตาเขาเริ่มถือศีลกินเจ ไม่สนใจข้าเท่าไรแล้ว วันๆ เอาแต่รับส่งเจ้ากล้า สอนเจ้ากล้า ไปร่วมกิจกรรมกับเจ้ากล้า แล้วข้าจะไม่เหงาได้ไง ฮ่า ฮ่า”

แท้จริงแล้วกำนันเลื่อนนั่นแหละเป็นต้นเหตุให้คุณแม่แววตาต้องเข้าวัดทำใจเนื่องจากกำนันมีนิสัยเจ้าชู้ ประจวบกับมีคนมายุให้ตำบลส่งนางงาม พ่อเขาก็ต้อง “ไปช่วยเขาค้นหาคนงามส่งประกวด” และคนที่กำนันเลื่อนส่งเข้าประกวด ก็เกิดได้ตำแหน่งรองที่หนึ่งเสียด้วย

มีผู้นำสาวงามหลายๆ คนมาให้กำนันเลื่อนและกลุ่มของผู้บริหารตำบลคัดเลือก และได้ น.ส.เจียม จากตำบลใกล้เคียงส่งประกวดโดยใช้ชื่อประกวดว่า น.ส. เจียมละออง เมื่อการประกวดเสร็จสิ้น น.ส.เจียมละอองก็เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตพ่อกำนันของเขา

“พ่อเลื่อนคงจะไปสัญญาว่าจะให้เขาได้ตำแหน่งกระมัง แม่เจียมก็เลย เอ้อ..ยอมๆ พ่อกำนัน”

ไม่นานจากนั้นเสียงนินทาที่ลือกันว่ากำนันเลื่อนไปติดพันรองนางงามก็มาเข้าหูแววตา ซึ่งตอนแรกเธอก็รับไม่ได้ แต่เมื่อกำนันเลื่อนพาแม่เจียมมาขอขมาโดยบอกว่านางตั้งท้อง คุณแม่แววตาก็พูดไม่ออกแม้ว่าเธอจะเป็นคนดีมีเมตตาต่อทุกคนแต่เรื่องสามีนอกใจนี่คงจะยากที่จะทำใจ ที่พึ่งของคุณแววตาก็คือหลวงลุง เจ้าอาวาสวัดในตำบลซึ่งเป็นลุงแท้ๆ ของเธอ และในที่สุดแม่เลี้ยงเขาก็ทำใจได้ ซึ่งการที่เธอไม่โวยวายมีเรื่องกับกำนันเลื่อนทำให้กำนันเกรงใจ ไม่กล้าพาแม่เจียมมาอยู่ในบ้านเดียวกัน ซึ่งเรื่องราวอื้อฉาวของแม่เจียมละอองกับกำนันเลื่อนนี้เป็นข่าวซุุบซิบสนุกสนานของชาวบ้านอยู่พักใหญ่

“กำนันเลื่อนแกเก่งนะ เมียสองคนออมชอมกันดี”

“อ๋อ แน่นอน ก็ตาเลื่อนน่ะมันนักเลงดุจะตาย ใครจะกล้าหือ”

“ไม่ใช่ดุอย่างเดียวนะ เห็นแกลูกทุ่งอย่างนี้ แกรวยเงินล้านเขียวนะเว้ย”

“เงินไม่บริสุทธิ์น่ะซิ” คนที่อิจฉาครอบครัวกำนันเริ่มใส่ความ

นางเจียมเมียคนที่สามของพ่อเขาก็มีลูกให้กำนันเลื่อนถึงสามคน แต่เป็นผู้หญิงทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงเป็นลูกรักของพ่อและเป็นผู้สืบตระกูลแต่คนเดียว เขาจึงได้รับการเลี้ยงดูดั่งเจ้าชายน้อยๆ ได้รับการตามใจจากทุกคนยกเว้นคุณแม่แววตาที่เลี้ยงเขามาด้วยความรัก เป็นผู้เดียวที่ไม่ได้ตามใจเขาสุดโต่งอย่างคนอื่น นางเป็นผู้ที่ยึดมั่นในพุทธศาสนา ประพฤติดีและสั่งสอนเขาให้ยึดมั่นในความดี พ่อมักจะล้อแม่เลี้ยงเขาเสมอว่า

“ดีจังเลยที่ฉันมีเมียมีอาชีพเป็นครู ไม่ต้องไปจ้างครูมาสอนเจ้ากล้ามัน”

แต่ถึงแม้คุณแม่แววตาจะมีความอดทนต่อการที่กำนันเลื่อนจะไปมีครอบครัวใหม่ แต่กล้าก็เคยแอบเห็นเธอร้องไห้บ่อยขึ้นเมื่อกำนันเลื่อนเริ่มจะไม่กลับมาอยู่บ้านใหญ่และกินข้าวเย็นกับเธอและลูกชายสม่ำเสมอเหมือนแต่ก่อน ตอนนั้นเขาอายุได้สิบสี่ปีกำลังเริ่มจะเป็นหนุ่ม

แล้ววันหนึ่งเขาก็บังเอิญไปได้ยินคุณแม่แววตามีปากเสียงกันอย่างรุนแรงกับพ่อกำนันของเขา โดยเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับความหึงหวง แต่เป็นเรื่องที่ทำให้เขาตกใจมาก

พ่อเขาส่งเสียงโวยวายมาจากห้องนอนดังลั่น

“นี่แม่แววอย่ามายุ่งกับเรื่องธุรกิจของฉันได้ไหม ฉันทำมาหากินเพื่อให้ครอบครัวเรา ให้ลูกๆ ทุกคนมีกินมีใช้อย่างสบายที่สุดโดยเฉพาะเจ้ากล้า”

เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคุณแววตาตวาดพ่อเขาด้วยเสียงอันดัง

“คุณเป็นกำนันไม่ใช่นักธุรกิจ อย่ารับสินบาทคาดสินบน บาปกรรมจะมาถึงเราทุกคน”

“ฉันไม่ได้โกงใคร ที่ดินเหล่านี้คนเขามายกให้ฉันเอง ใช่ว่าจะยกเปล่าๆ เมื่อไร ฉันให้เงินเขายืม ลูกบ้านเดือดร้อนฉันก็ช่วย ฉันผิดตรงไหนคุณแวว”

“แล้วเงินที่เอาออกให้คนเขากู้น่ะ คุณรับมาจากไหน ฉันรู้นะ ต่อไปนี้อย่าทำอีกนะคุณ ที่แล้วมาก็ระวังให้ดีจะโดนจับได้”

“นี่คุณแวว ถิ่นนี้นะมันมีการค้าขายผิดกฎหมายตลอดเวลาแหละ ฉันเป็นกำนันที่นี่ ฉันต้องมีลูกน้องไว้ป้องกันตัว ฉันไม่ได้ไปทำอะไรผิดกฎหมายสักหน่อย”

“ไม่ผิด แต่ทำเป็นไม่เห็นคนผิด เงินที่พวกนั้นมันให้คงจะมหาศาลซินะ กำนันถึงได้ทำเป็นไม่เห็นสิ่งที่ผิดใช่ไหมล่ะ”

“นี่คุณแวว ฉันบอกแล้วไงว่าฉันต้องทำเช่นนี้ เธออยากให้ครอบครัวเราตกอยู่ในอันตรายหรือ วิธีของฉันนี่พวกเราปลอดภัย ลูกๆ มีความเป็นอยู่สุขสบาย”

คุณแววตาเริ่มลดระดับเสียงลงแต่กล้าก็ยังได้ยินอยู่ดี

“แต่ฉันกับลูกไม่ต้องการที่จะอยู่ดีกินดีบนความผิดเช่นนี้ คุณเปลี่ยนไปมากนะกำนัน อะไรนะทำให้คุณเปลี่ยนไปจากกำนันผู้มีเมตตากับลูกบ้าน และกำนันที่ทางการให้ความไว้วางใจปราบโจรผู้ร้ายในตำบลที่เต็มไปด้วยปัญหาจากผู้อพยพอย่างเข้มแข็ง”

และประโยคต่อมาของคุณแววตาก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ต่อมา

“คุณเปลี่ยนไปในทุกเรื่อง ฉันต้องอดทนกับเรื่องที่คุณไปมีเมียอีกคนและยังต้องมาทนเรื่องคุณทุจริตอีก”

เรื่องใหญ่ที่ว่านั้นก็คือเขาได้ยินเสียงของกระทบพื้น ไม่รู้จากการกระทำของใคร และเสียงตะโกนตอบจากพ่อเขาว่า

“ถ้าเธอทนไม่ได้เธอก็ไม่ต้องทน จะเอายังไงก็ว่ามา...”

เขาไม่ได้ยินเสียงตอบจากคุณแม่แววตา และตอนนั้นเขาก็ไม่อยากได้ยินแล้ว เขาจำได้ถึงความรู้สึกปั่นป่วนจนอยากอาเจียนที่ได้รับรู้ในเรื่องของพ่อที่ไม่เคยรู้มาก่อน กล้ากลับไปที่ห้องและเป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้และรู้สึกอ้างว้าง เหมือนกับว่าเขาเป็นคนเดียวในโลก แม่ที่แท้ที่เขาไม่คุ้นเคยก็หนีเขาไปสวรรค์เสียแล้ว ส่วนแม่เลี้ยงที่เขารักก็คงกำลังเจ็บปวด เขาจะทำอย่างไรดี

กล้าไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะแม่เลี้ยงเขา คุณแววตาตัดสินใจเด็ดเดี่ยวมาก เธอไม่พูดอะไรกับกำนันอีก เฉยเมยเย็นชากับทุกคนในบ้าน ยกเว้นเขา และใช้เวลาไม่นานติดต่อหาโรงเรียนให้เขาใหม่ที่กรุงเทพฯ ภายในสามเดือนต่อมาเธอก็พาเขาไปลาออกจากโรงเรียนมัธยมในจังหวัด อพยพออกจากบ้านที่สังขละฯ ไปอยู่กรุงเทพฯ โดยที่กำนันเลื่อนก็ไม่ยอมง้องอนและก็ไม่ได้คัดค้านที่เขาจะไปอยู่กรุงเทพฯ

วันที่เขาไปกราบลาพ่อ กำนันเลื่อนกอดเขาไว้แน่น..นาน..เขารู้สึกถึงความอบอุ่น และเขาได้ยินเสียงอันสั่นเครือของพ่อที่พูดกับเขาว่า

“ไปดีมีโชคนะกล้า จะอย่างไรก็ตามขอให้กล้าจงรู้ว่าพ่อรักกล้ามาก แต่ที่ไม่ฉุดรั้งกล้าไว้ เพราะรู้ว่ากล้าอยู่กับคนที่รักและจะเอาใจใส่กล้าดีที่สุด”

พ่อลูบหัวเขาและพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเข้มแข็งขึ้น

“กล้าจะได้ไปอยู่โรงเรียนฝรั่ง ได้เรียนดีๆ และบ้านของพ่อของแม่แววเขามีฐานะดี ไม่ได้ไปลำบาก อยู่กับพ่อและแม่เจียม กล้าจะไม่ได้เรียนโรงเรียนดีๆ..โตขึ้นเมื่อไรก็แวะมาค้างบ้าน มาเยี่ยมพ่อบ้างนะ”

พ่อถอดสร้อยคอหนักหลายบาทให้เขาและเงินติดตัวไปก้อนใหญ่

“เอาไว้กินขนมนะ เผื่อบ้านคุณแววเขาไม่ตามใจกล้าเหมือนกับอยู่กับพ่อ รักษาเนื้อรักษาตัว ตั้งใจเรียนหนังสือนะลูกพ่อ”

“อ้อ อย่าลืมที่พ่อสอนไว้นะ อย่าให้คนกรุงเทพฯ มันมาดูถูกว่าเรามาจากบ้านนอกนะ เงินทองพวกนี้น่ะ จะทำให้เราอยู่ในสังคมคนกรุงได้” พ่อย้ำถึงความเชื่อแบบของพ่อ กล้ารู้มานานแล้วว่าพ่อเขายึดคติ “มีเงินมีทองนับเป็นน้องเป็นพี่” ....

เขาก้มลงกราบพ่อ พร้อมสัญญาว่าจะมาเยี่ยมพ่อยามปิดเทอมให้สม่ำเสมอ.....

โปรดติดตามอ่านต่อโอกาสหน้า