เกร็ดรักรอยหงส์ ตอนที่ 7

“พวกเธอยังไม่ต้องไปอยู่กรุงเทพฯ หรอก ฉันจะกลับมาอยู่ที่นี่เอง”

คุณแม่แววตาหยิบแฟ้มออกมาส่งให้ดรุณอ่าน

“นี่เป็นพินัยกรรมของพ่อกำนัน ยกบ้านนี้ให้ฉัน และที่ดินสิบไร่ให้กล้าคนเดียว”

กล้าเบิกตากว้าง ...คุณแม่แววตาจะกลับมาอยู่ที่นี่..เอาละซิ แม่เลี้ยงเขาคิดอะไรอยู่

น้องๆ เขาพูดไม่ออก ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าคุณแววตาจะกลับมาอยู่ที่ตำบลเที่ยงต้นนี้อีก เสียงคุณแม่แววตาพูดต่อไปอีกว่า

“ไม่ต้องกลัวจะไม่ได้เข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ นะ ทุกคนจะได้เข้าไปเรียนระดับอุดมศึกษาในกรุงเทพฯ ตามที่พ่อกำนันของพวกเธอเขาสั่งไว้ ทุกคำสั่งของเขาอยู่ในใบพินัยกรรมนี้แล้ว”

กล้าไม่รู้ว่าคุณแววตาไปได้พินัยกรรมของกำนันเลื่อนมาตั้งแต่ตอนไหน แต่แน่ละ ไม่มีใครต้องการรู้ข้อนี้ รู้แต่ว่าคุณแม่แววตาจะเป็นผู้ดูแลก็พอใจแล้ว

เพียงแค่นี้ที่คุณแววตาเรียกลูกเลี้ยงทุกๆ คนมาฟัง จากนั้นเธอก็เรียกแม่เจียมละอองเข้าไปพูดเป็นส่วนตัวอยู่พักใหญ่ อาทิตย์ต่อมาทุกคนก็เห็นแม่เจียมละอองเก็บข้าวของสัมภาระเตรียมออกจากบ้าน

“แม่ให้เขาสมัครใจจะอยู่ที่นี่หรือเลือกไปที่บ้านเล็กที่พ่อกำนันซื้อให้เขาที่ตำบลบ้านเก่าเขา เขาสมัครใจกลับไปที่นั่น และขอฝากสามสาวไว้กับแม่”

คุณแม่แววตาบอกทุกคนเพียงเท่านั้นเรื่องที่แม่เจียมละอองลากลับไปอยู่บ้านเดิม แต่เรื่องที่เธอตัดสินใจกลับมาอยู่ที่บ้านนี้นั้นเธอบอกเขาละเอียดละออว่า

“กล้าก็รู้ว่าธุรกิจของคุณตาท่านล้มละลายเป็นหนี้สิน แม่จะขายบ้านคุณตาท่าน เอาเงินใช้หนี้และก่อตั้งธุรกิจที่ดินใหม่ แต่เป็นที่นี่ พ่อกำนันมีที่ดินมากมาย ถิ่นนี้น่ะ สวยงาม ตอนนี้ใครๆ ก็ชอบออกมาทางเมืองกาญจน์เพื่อพักผ่อน ทำรีสอร์ทกันดีกว่า”

คุณแม่แววตาสั่งให้เขากลับกรุงเทพฯ ไปจัดการเรื่องขายบ้าน ศึกษาธุรกิจรีสอร์ทมาให้ดีโดยให้เวลาเขาสองปี เพื่อหาแหล่งทุนรวมทั้งการขายบ้านหลังใหญ่ด้วย ส่วนตัวท่านติดต่อโรงพยาบาลเอกชนในตัวเมืองเพื่อเตรียมนำคุณพ่อท่านมารักษา ซึ่งคุณแม่แววตาใช้เวลาอยู่หนึ่งเดือนก็กลับไปกรุงเทพฯ เตรียมข้าวของอพยพกลับมาตำบลเที่ยงต้นอีกครั้ง


______________________

เขาได้ยินป้าเปรียบคนเก่าแก่ของบ้านบ่นเรื่องที่คุณแม่แววจะกลับไปอยู่ “บ้านนอก” อีกครั้ง

“กลับไปอยู่ทำมั้ย บ้านนอกเนี่ย อันตรายรอบข้าง ขนาดกำนันในพื้นที่ยังไม่พ้นโดนปองร้ายเล้ย..”

“แล้วคุณแม่ท่านตอบป้าเปรียบว่าอย่างไรละครับ” เขาถามนาง

“ก็บอกไม่กลัว มีหลวงลุงเป็นกำลังใจ หลวงลุงน่ะเป็นพระนะจะไปทำอะไรได้”

หลวงลุงที่ว่านี้เป็นพี่ชายคนละแม่กับคุณตาท่าน ท่านบวชตั้งแต่สมัยรุ่นหนุ่ม บวชให้แม่ของท่านที่ถึงแก่กรรมและเมื่อบวชแล้วก็ไม่ยอมสึก ตอนแรกท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดในกรุงเทพฯ แต่พอคุณแววตาออกเรือนไปกับกำนันเลื่อน ท่านก็นิมนต์หลวงลุงไปจำวัดที่สังขละฯ

คุณป้าแก้วตาและนายพลประการซึ่งเกษียณราชการแล้วได้มีส่วนช่วยในเรื่องหาแหล่งทุนให้เขา ส่วนบ้านคุณตาท่านนั้นขายได้ในทันทีที่นายหน้าติดต่อให้เพราะเป็นบ้านในถิ่นดีกลางใจกลางกรุงเทพฯ

คุณตาท่านและคุณยายท่านไม่ยอมไปอยู่ “บ้านนอก” กับเขาเพราะคุณป้าแก้วตาไม่ยอม

“นี่แม่แวว เธออย่าเอาคุณพ่อคุณแม่ไปไกลเลย หมอที่ท่านไปหาก็เป็นหมอที่เราคุ้นเคย โรงพยาบาลทางนี้ก็มีเครื่องไม้เครื่องมือดี ฉันเองก็อยู่บ้านคนเดียว คิดถึงพ่อแม่จะไปหาลำบากกว่าเธอมาเยี่ยมนะ"

คุณแววตาเห็นด้วยที่บิดามารดาจะได้อยู่ใกล้ชิดลูกสาวคนโต และอาจจะลำบากใจที่จะได้ไปเห็นคุณแววตาท่ามกลางลูกเลี้ยงอีกสามคนจึงเห็นด้วยกับพี่สาว

กล้าเช่าคอนโดหรูไม่ไกลจากบ้านเก่าของคุณตาท่าน ที่ต้องอยู่คอนโดหรูนั้นมาจากความคิดของคุณแม่แววตา

“จำไว้ว่า ถ้าเราจะทำธุรกิจร้อยล้านเราก็ต้องอยู่อย่างเศรษฐี”

ซึ่งทำให้กล้านึกถึงคำสอนของพ่อขึ้นมาว่าพ่อเขาก็เข้าใจสัจธรรม “คนกรุงเทพฯ” ได้จริงเสียด้วย

“มีเงินมีทอง เขานับเป็นน้องเป็นพี่”

เขาใช้เวลาเกือบสองปีที่จะทำตัวเองให้เป็นที่รู้จักในวงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งนับเป็นโชคดีของประเทศที่วงการนี้ไม่ได้โดนพิษเศรษฐกิจเล่นงานนานเกินรอ เขาสามารถคำนวนรายจ่ายในการก่อสร้างรีสอร์ท สามารถหาผู้รับเหมาจากท้องถิ่นได้ในราคาต่ำ เนื่องจากแถวนั้นมักจะมีแรงงานต่างชาติที่ทยอยกันอพยพข้ามฝั่งมาตลอดเวลา “ฝั่ง” ที่ว่านี้ก็คือจาก “มะละแหม่ง” หรือเมาะลำเลิงนั่นเอง

จากการวิ่งขึ้นล่องกรุงเทพฯ เมืองกาญจน์นี้เอง ปีที่สามของการก่อสร้าง เขาก็ได้พบกับ นานิต มุละเลียง สาวไทยเชื้อสายมอญคนงามแห่งสังขละฯ


____________________

เมื่อกล้าคิดถึงความหลังมาถึงตอนนี้ เขาก็ละสายตาที่เหม่อมองไปข้างหน้าหันมามองหาภรรยา

ทว่า..นานิตไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว เธอคงสังเกตได้ว่าเขากำลังจมอยู่กับภวังค์ ของเรื่องราวในอดีตก็เลยปล่อยเขาให้คิดถึงความหลังแต่คนเดียว ซึ่งนี่ก็เป็นความดีของภรรยาเขา เธอไม่ก้าวก่ายในเรื่องส่วนตัวที่เขาไม่บอกกล่าว ไม่โต้แย้งอะไรให้เป็นความ และมีความรักอาทรเอาใจใส่เขาสม่ำเสมอ เขาจึงทั้งรักและเกรงใจเธอ แม้ว่าเขากับเธอจะไม่มีลูกสืบตระกูลเขาไม่เคยมีความคิดที่จะแบ่งปันความรักของเขาไปให้ใครอื่น เนื่องจากเห็นตัวอย่างเรื่องยุ่งยากที่จะตามมาภายหลังเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเขา

เขาจำได้ดีถึงวันที่เขาพบกับเธอ..นานิต สาวไทยเชื้อสายมอญคนนี้

วันนั้นช่วงเป็นฤดูฝน เขาลงมาจากกรุงเทพฯ ตามปกติทุกๆ สองอาทิตย์เพื่อมาตรวจความก้าวหน้าของการก่อสร้างรีสอร์ท ขณะที่เขานำรถแลนด์โรวเวอร์ผ่านมาตรงทางที่คนงานกำลังก่อสร้างบ้านพักทรงไทยสไตล์รีสอร์ทหลังที่อยู่ติดกับเนินเขาและมีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุงกันอยู่ข้างถนนและส่งเสียงโหวกเหวกด้วยภาษาที่เขาฟังไม่ออก แต่ละคนมีทีท่าตระหนกตกใจ

กล้าไม่รอช้าเขาเบรครถและจอดตรงจุดคนมุงและตรงไปหาคนกลุ่มนั้นทันที

“เกิดอะไรขึ้ัน”

หนึ่งในคนงานหันมามองเขาพร้อมยกมือไหว้

“เจ้านาย..ช่วยพวกเราด้วย มีเด็กตกลงมาจากบนระเบียงบ้าน ...บนโน้น..”

“อ้าว แล้วเด็กเป็นไงบ้าง ลูกใคร”

“พ่อมันไม่อยู่เข้าไปเอาอาหารจากโรงครัว เด็กมันซนปีนขึ้นไปบนระเบียง พลัดตกลงมาเมื่อกี้นี้เองเจ้านาย”

กล้าก้าวเข้าไปหาคนงานคนที่อุ้มเด็กหญิงที่กำลังส่งเสียงร้องไห้จ้าอยู่ เขาเห็นหน้าผากเด็กมีเลือดไหลก็ตกใจ

“เฮ้ย..แล้วมามุงอะไรกันอยู่ ช่วยอุ้มเด็กไปที่รถฉัน..เร็ว..แล้วแกตามฉันมาด้วย” เขาสั่งคนที่อุ้มซึ่งมีทีท่ากลัวๆ เขา

เด็กหญิงร้องไห้ลั่นมาตลอดทาง เมื่อกล้ามาถึงออฟฟิศชั่วคราวก็ใช้เวลาเกือบสิบนาที ที่นั่นมีคนทำบัญชีวัยหนุ่มทำงานอยู่ในออฟฟิศเพียงคนเดียวซึ่งเมื่อเห็นเด็กร้องไห้เข้ามา และเห็นนายจ้างมีสีหน้าซีเรียสเขาก็ทำอะไรไม่ถูก

“ยาสามัญประจำบ้านอยู่ไหน จำนน” กล้าถามหนุ่มที่ทำบัญชี

ครั้นเมื่อจำนนหยิบกล่องยามาให้ กล้าก็ส่ายหน้าเพราะในนั้นมีแค่แอลกอฮอล์ สำลี ยาแดง ยาหม่อง ยาหอม เท่านั้น

“โทรเรียกรถพยาบาลซิ จำนน” กล้าสั่ง

“ครับเจ้านาย”

กว่ารถพยาบาลจะมาถึงเด็กหญิงก็ฟุบหลับไป ซึ่งก็ยิ่งทำให้กล้าร้อนใจมาก พอรถพยาบาลมาถึง เขาก็ปราดออกไปรับทันที

คนที่ก้าวลงมาพร้อมๆ กับชายคนขับรถพยาบาลเป็นผู้หญิงรูปร่างเพรียวลม เธอตรงมาหาเขาและเอ่ยด้วยเสียงนุ่มๆ ว่า

“เด็กอยู่ไหนคะ”

เขามองหน้าเธอออกจะทึ่งที่เห็นหน้าใสๆ ละมุนละไมนั้น แม้เธอจะไม่ได้ยิ้มและดูจะรีบเร่ง และแม้จะอยู่ในยามฉุกเฉิน เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าสาวคนนี้ “สวยดี...”

เธอคนนั้นก็คือ นานิต นั่นเอง...

โปรดติดตามอ่านต่อโอกาสหน้า