ประมาณปี 2515 ที่แคมป์อู่ตะเภา
วงดนตรีไปเล่นให้ทหารไอ้กันดู มี ยูเนี่ยนที แฟนตาซี พี.เอ็ม 5. พี.เอ็ม7. เดอะสวิงเกอร์ส มีบ้านพักติดเรียงกันอยู่ที่ บ้านฉาง
พอถึงวันอาทิตย์หยุดหนึ่งวัน ถ้าใครไม่กลับกรุงเทพฯ ก็ล้อมวงล่อ”บิงโก”กันตั้งแต่บ่าย..ตกเย็นก็กรึบกันตามธรรมเนียมมีครบหัวทุกวง
เหล้ายาไม่ต้องห่วง โอ..เล่นในแคมป์นี่ครับ ยกออกมาโชว์กันคนละขวด..บุหรี่ไม่ได้เห็นเป็นซองแต่เป็นคนละ”คอตตอน”ที่หน้าตัก..
ควันงี้โขมง มองไกลๆนึกว่าอินเดียแดงส่งสัญญานไฟ
ตกซักสามทุ่มก็มีเหตุ..”เฮ้ย ตรงข้ามกับบ้านเรามีบ้านผีสิง” จำไม่ได้ว่าใครเปิดประเด็น
นัวเนียกันสักพักทุกคนก็พร้อมที่จะไปปราบผีสิง...มีผมคนเดียวที่ขอร้องอย่าไปยุ่งเพราะขนลุกซู่ตั้งแต่ได้ยินคำว่าบ้านผีสิงแล้ว
ในที่สุดก็ถูกฉุกกระชากให้ร่วมไปด้วย
เมากันพร้อมหน้า อ้วกแตก อ้วกแตน กันไปตลอดทาง..เดินเด้งหน้าเด้งหลังข้ามฝั่งถนนไปตามคันนา
สักพักก็ถึงบ้านผีสิง...ตามที่ชาวบ้านร่ำลือ ท่ามกลางเดือนมืดสนิท เป็นบ้านสองชั้นคลุมด้วยแฝกทั้งหลัง
หลังจากที่ท้าทายผีให้ออกมา พร้อมทุบกระทืบข้างฝาบ้านจนหนำใจทุกอย่างก็ยังเงียบ...ในที่สุดก็มีคนออกอุบายให้เยี่ยวรดบ้าน
เท่านั้นแหละอั้นกันมานานแล้วนี่ ยืนฉี่ ส่ายสาดอารมณ์ กลิ่นงี้คลุ้งตลบไปทั่ว
สักครู่เสียงหน้าต่างชั้นบนดังออด..มีแสงตะเกียงวอมแวมโผล่ยื่นมาพร้อมใบหน้าคนชราเหี่ยว
ผมหลับตาปี๋..
ไอ้จู๋ที่ควักออกมาฉี่จากที่เคยเต็มกำมือ ผลุบหายจู๋สมชื่อในบัดดล
ท่ามกลางความมืดและเงียบสนิทเสียงผู้เฒ่าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“อะไรกัน พ่อหนุ่ม มาทำอะไรกันเอะอะโวยวาย”
..พวกเราเงียบกริบ
“อ้อ..จะมาไล่ผีใช่มั้ยล่ะ”
แกพูดพร้อมกับผายมือที่ถือตะเกียงชี้ทางให้เป็นทางเดินถัดไปอีก
“ที่เขาลือว่าเป็นบ้านผีสิง โน่นบ้านโน้นไม่ใช่บ้านนี้ อ้าวแล้วนี่อะไรน่ะนองไปทั้งหน้าบ้าน อ้อ..มาเยี่ยวรดบ้านกันเร๊อะนี่..เหม็นชิ๊ปหาย”