ไร้สารคดี.. Aloha Hawaii

ผมตั้งใจว่าจะจบ..ไร้สารคดี ชุดนี้ในฉบับนี้ แต่คงจบไม่ลงเพราะเกรงว่าจะรวบรัดเกินไป ยังมีความไร้สาระน้อยไปหน่อย เพื่อความไร้สาระที่สมบูรณ์ผมขอเลื่อนไปจบในตอนต่อไปนะครับ

สุภาษิตโบราณพูดกี่ครั้งฟังกี่หนก็ยังทันสมัย “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง” ก่อนท่องยุทธภพวันนี้ต้องอิ่มกันก่อน แม่บ้านผมหมายตาร้านอาหารญี่ปุ่น อยู่ตรงข้ามกับหน้าโรงแรม Aqua Waikikiไว้หลายวันแล้วแต่ยังไม่มีเวลาที่จะเข้าไปลิ้มลอง ส่วนผมเองนั้นเรื่องอาหารญี่ปุ่นไม่ค่อยจะสเปคกันเท่าไร เรามันเลือดสุพรรณว่าไงว่าตามกัน ดูร้านนี้แล้วน่าสนใจเพราะออกจากโรงแรมก็เห็นแล้ว ร้านนี้ Busy เอามากๆ ร้านเปิด 11 โมงเช้า ก่อนเปิดแถวยาวออกมานอกร้าน มัวแต่สนใจคนที่เข้าแถว ถ่ายภาพป้ายบอกราคาที่ตั้งไว้ริมถนนจนลืมจดชื่อร้าน

เริ่มตั้งแต่ด่านแรกเลยครับพี่น้อง เขาทำเส้นอุด่งกันสดๆ เริ่มตั้งแต่คนนวดแป้ง เอาเข้าเครื่องตัดออกมาเป็นเส้นแล้วส่งต่อให้คนลวกเส้น คนลวกเสร็จเทลงอ่างน้ำเย็น อีกคนจับเส้นเหมือนจับขนมจีนพอสะเด็ดน้ำใส่ถ้วยตวงคว่ำไว้ในถาดเป็นชุด ๆ คราวนี้ก็ถึงคิวเราออเดอร์ละครับ มีป้ายพร้อมภาพอาหารประกอบบอกราคาไว้เสร็จสรรพ ชามเล็ก $3.95 กลาง $5.95 ใหญ่ $7.95 น้ำซุปมีรสเนื้อ ไก่ หมู เจ (มังสะวิรัต) และ Curry น่าจะเป็นแกงกะหรี่ ผมนึกใจว่า ก็ราคามันถูกยังงี้ไงเล่า ลูกค้าถึงได้เข้าคิวรอกันยาวเหยียดออกมานอกร้าน ผมกับแม่บ้านสั่งอุด่งน้ำซุปไก่ถ้วยกลาง ลูกสาวสั่งซุปเนื้อถ้วยกลางเหมือนกัน อุแม่เจ้า..มีแต่เส้นครับ ไม่มีเนื้อไก่สักชิ้น ผมขอตั้งชื่อว่า “ร้านกินเส้น” เราก็ถือถาดใส่ชามอุด่งเดินไปต่ออีกยังไม่หมดรายการครับ ยังมีเครื่องเคียงไว้แจมอีก เป็นของทอดประเภทเทมปูระ มีกุ้ง มีผัก มีข้าวห่อ ผมหยิบผักมาชิ้นหนึ่ง $1.00 ข้าวห่อสาหร่ายปลาแซลม่อน $1.50 น้ำเปล่าไม่ชาร์จ ได้ของกันครบกะว่าพออิ่มก็ไปจ่ายเงิน บวกภาษีเบ็ดเสร็จแล้วออกมาประมาณว่าหัวละ $10.00 หาที่นั่งเอาเอง โต๊ะที่นั่งและบูธเต็มไปหมด มีบาร์ว่างอยู่เราเลยจองกัน บนข้างฝามีข้อความพิมพ์แปะไว้บอกลูกค้าว่า No Tip Require ผมไม่สนแล้วเพราะอยากจะซดอุด่งใจจะขาด กลิ่นมันหอมหวนยวนใจจริงๆ ค่อยๆ บรรจงช้อนน้ำซุปเข้าปาก อุแม่เจ้า ว้าว !! รสชาติกลมกล่อมได้อารมณ์ไม่ต้องผสมเครื่องปรุงอีกเลย โซ้ย..อุด่งควบคู่กับเทมปูระผักรวดเดียวจบ อร่อยจนหยดสุดท้าย ตบท้ายด้วยข้าวห่อสาหร่ายปลาแซลม่อน โถ..แม่เจ้าประคุณ กัดได้สองคำก็เรียบร้อยแล้ว มองไปที่สองคนแม่ลูกกำลังเอร็ดอร่อยเช่นกัน หัวละ $10.00 อย่างต่ำ แพงไหมๆ สำหรับผมพอรู้รสชาติแล้วไม่แพงเลย ถ้าไม่อิ่มก็สั่งชามใหญ่และหยิบเครื่องเคียงเพิ่ม

บรรยากาศในร้านดีมาก ตกแต่งด้วยงานไม้สีธรรมชาติของลายไม้ตัดกับฝาผนังสีขาว สไตล์แบบเรียบง่ายแต่ดูคลาสิก สะอาด คือหัวใจของร้านอาหาร พนักงานแต่ละคนมีอายุกันทั้งนั้น นี่ย่อมการันตีถึงคุณภาพอาหารของร้าน ผมให้ห้าดาวตามมาตรฐานที่ดีที่สุด ขอแนะนำครับ หากท่านไปเที่ยว Waikiki อย่าลืมแวะไปทานนะครับอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมที่ผมเอ่ยชื่อไว้นั่นแหละ หาง่ายมาก แถวโรงแรมที่ผมเอ่ยชื่อ บนถนน Kuhio อิ่มหนำสำราญ ขอบคุณพนักงานที่คอยเสิร์ฟน้ำ เช็ดโต๊ะ ตั้งใจว่าจะวางทิปสักนิดหน่อยพอเป็นสินน้ำใจ แต่เกรงว่าเขาจะดูถูกเราว่าอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก ฮา..ฮา..ฮา

วันนี้จะชวนไปเที่ยวในเมืองไปเรื่อยๆ โปแกรมทัวร์ตามใจฉัน ก่อนอื่นไปถามประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวตามซุ้มข้างถนน อยากจะนั่งรถชมเมือง City Tour ราคาตั๋ว Day Pass $45.00 หรือจะนั่ง Trolley ถามแม่บ้านผมซึ่งเป็นหัวหน้าทัวร์ เธอบอกว่ายังพอมีเวลาเอาไว้วันหน้าก็แล้วกัน วันนี้..บาทาทัวร์ไปก่อน ส่วนลูกสาวขอตัวไปเดินที่บีชกับสาวเกาหลี..ไคยอง ที่เพิ่งรู้จักกัน

ด้านหลังโรมแรม Aqua Waikiki Wave ที่ผมพัก ระหว่างถนน Kuhio และถนน Kalakaua มีร้านขายของเป็นซุ้มคล้ายถนนคนเดินที่กำลังเป็นที่นิยมที่เมืองไทย เรียกว่า International Market ขายของที่ระลึกที่น่าสนใจมากมายหลายหลาก มีเสื้อผ้า เครื่องประดับประเภทสร้อยแหวน ของเก่าของใหม่มากมายมีให้เลือก ผมชอบใจพวกป้ายโฆษณาเก่าๆ ที่เป็นโปสเตอร์เพ้นติ้งบนแผ่นสังกะสี มี Elvis Presley, Marilyn Monroe, Coca Cola, Pepsi, Seven Up, Gas Station, ของพวกนี้เอามาปรับตกแต่งร้านให้ดูคลาสิก หรือแขวนในห้องน้ำก็ดูดี ผมตั้งใจจะซื้อหา แต่พอนึกถึงน้ำหนักตอนขึ้นเครื่องบินก็ต้องถอดใจ

มีร้านหนึ่งที่ผมประทับใจจนต้องถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก คือซุ้มที่ขายเทียน เจ้าของร้านเป็นสาวญี่ปุ่นวัยกลางคน หน้าตาสวยแบบสำนวนไทยคือพอไปวัดไปวาตอนเช้าๆ ได้ ไม่ทราบว่าเป็นโสดอยู่คานทองนิเวศน์หรือเป็นหม้าย หรือสามีเธออยู่บ้าน ผมไม่กล้าจีบเพราะเสียเวลาเปล่าด้วยว่ามี ผบ.ทบ.ไปด้วย ที่ซุ้มของเธอมีเตาหล่อเทียนเป็นแท่งๆ Multi Culler หล่อพอได้ที่ก็แขวนไว้ แล้วเธอก็นั่งแกะสลักเทียนเป็นรูปสัตว์ ดอกไม้ ถือว่าเป็นงานศิลป์ฝีมือเยี่ยม มีลายเส้นอันอ่อนช้อยปราณีตตระการตา แกะไปขายไป มีคนมาช็อปก็ต้อนรับ ไม่มีคนยามว่างเธอก็แกะเทียนต่อ ผมว่าเป็นอาชีพที่อิสระและมีความสุขกับศิลปะ มีอันหนึ่งเธอแกะสลักเป็นรูป ซานตาคลอสกับเรนเดียร์ ดูแล้วได้อารมณ์มาก จินตนาการล่องลอยไปกับเรื่องราวของซานตา ในเทศกาลคริสต์มาสที่เพิ่งจะผ่านไป กำลังเพลินๆ แม่บ้านผมเรียกให้ไปดูซุ้มอื่นๆ เธอคงคิดว่าผมสนใจเจ้าของร้านคนสวยมากกว่างานศิลป์ของเธอ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ทั้งสองอย่างนั้นแหละ เล่นเอาเคลิ้มไปเหมือนกัน ถัดมาก็เป็นร้านไม้แกะสลักเป็นรูปหน้ากาก จำพวก Tiki Artwork มีคุณป้าฮาวายเอี้ยนนั่งแกะสลักอยู่เหมือนกัน มีร้านคนไทยขายเครื่องประดับพวกสร้อยที่ทำจากธรรมชาติคือพวกหอยประเภทต่างๆ ที่รู้ว่าเป็นคนไทยเพราะว่าเพิ่งรู้จักกันที่วัดไทยเมื่อวันเสาร์ เอ้า...มาเจอกันอีกแล้ว และมีร้านขายกาแฟ อุแม่เจ้า !! ตกแต่งโดนใจจริง โดนยังไงก็ชมภาพถ่ายก็แล้วกันถ้ากอง บ.ก. ไม่ตัดออกเพราะหมั่นไส้นายแบบ

กว่าจะหลุดออกมาตรงนั้นได้ก็นานเป็นอักโข แม่บ้านสะกิดแขนให้ออกมาเดินชมห้างร้านต่างๆ บ้าง ตอนนี้เรามาอยู่บนถนน Kalakaua ตลอดทั้งถนนเป็นช็อปปิ้งเซ็นเตอร์หรูๆ ชื่อดังประมาณว่า 5th Ave. ที่นิวยอร์คปานนั้น ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ที่เห็นหน้าตามากกว่าใคร..ใช่แล้วคนญี่ปุ่น ญุ่นปี่ คนขายของริมทาง ขายทัวร์ คนแนะนำทัวร์พร้อมส่งโพสต์คาร์ดให้ มีเจ้าหนึ่งบอกว่ามีรถไป Outlet Store Free บ้านเราก็อยู่ใกล้ Outlet แล้วจะไปทำไมอีก เผลอแว๊บเดียวแม่บ้านผมหลงเข้าไปในห้าง Luis Vitton ผมก็ต้องทำเป็นหลงตามเข้าไปด้วย เธอหลงไหลได้ปลื้มกับกระเป๋ารุ่นใหม่ๆ เหมือนต้องมนต์สะกด ผมยุให้ซื้อเลยๆ เธอบอกว่ายังไม่สะใจ เรื่องกระเป๋า Louis มันจิ๊บจ๊อยไปแล้ว ไปร้าน Hermes ดีกว่า ตอนนี้เขาคลั่งไคล้ได้ปลื้มกับกระเป๋า Hermes ที่ดาราสาวไทยไฮโซเขาใช้กันใบละสามล้านบาท อุแม่เจ้า อะไรจะขนาดนั้น จริงเท็จประการใดก็ไปสืบค้นเอง พวกเราได้แค่ Window Shopping ให้กิเลสมันลวนลามจิตใจเล่นพอคันๆ อย่างดีก็แค่กระเป๋า Coach ใส่ตังค์สักชิ้นหนึ่งก็หรูแล้ว และถ้ามีเงินซื้อกระเป๋าใบละสามล้านบาทจริงๆ ผมขอเอาไปทำบุญกับคนตาบอดหรือเด็กกำพร้าหรือสถานสงเคราะห์คนชราในเมืองไทยดีกว่า รออานิสงส์ชาติหน้าได้เกิดในซาเล็มสุลต่านเป็นเศรษฐีบ่อน้ำมัน จะซื้อใส่ถาดแจกให้เป็นว่าเล่น ตอนนี้..ขำไม่ออกจ้ะ !!

เราเดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ เพลินไปจนถึง Waikiki Beach อากาศดี หาดทรายสวย มีคนเช่าเก้าอี้นอนให้แดดเล้าโลม สาวน้อยสาวใหญ่ใส่บิกีนี่ เด็กเล็กเล่นทรายกันเป็นที่สนุกสนาน บ้างก็เล่น surf กัน หลากหลายสไตล์ได้อารมณ์อีกแล้ว คนฮาวายเล่น Surf ผู้ชายใส่ขาสั้น ผู้หญิงใส่บิกินี่เล่นกันไม่รู้หนาว แถวๆ ซานตาครูซ บ้านผมต้องใส่ชุดวอร์มกันน้ำ ไม่งั้นตะคิวกินตาย เพราะน้ำทะเลมันเย็นมากครับพี่น้อง เดินชมบีชกันแล้วก็เดินกลับกันเส้นทางเดิม

เชื่อไหมครับว่าที่ฮาวายมีร้านขายของประเภท Franchise Store ระบาดดาษดื่นทั่วทุกถนนทุกเมือง ถ้าเป็นเมืองไทยต้องบอกว่าทุกตรอกซอกซอย เดินไปตรงไหนก็เจอ ห่างกันไม่เท่าไร เอ้า..เจออีกแล้ว ร้านที่ว่านี้คือ ABC Store ถ้าคนทำร้านอาหารต้องบอกว่า อ๋อ !! Alcohol Beverage Control เป็นหน่วยงานที่ติดต่อขอ Permit Beer Wine License แน่นอน..ไม่ใช่ครับ ไมใช่แน่นอน เป็นร้านขายของแบบ Seven Eleven และของที่ระลึกทั่วไป สะดวกซื้อ เปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้ายันเที่ยงคืน ลูกสาวผมไปฮาวายครั้งแรกก็กลับมาคุยให้ฟัง ผมก็ยังเฉยๆ พอมาเห็นจึงได้ถึงบางอ้อ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ฮา..ฮา..ฮา

เดินเที่ยวตามถนน ถ้าไม่เอ่ยถึงหนทางในฮาวายมันก็กะไรอยู่ นึกถึงชื่อถนน ผมอยู่ฮาวาย 1 วีค จำได้แม่นคือถนน Kapiolani เจอครั้งแรกก็จำได้เลย นอกนั้นจำไม่ค่อยได้ คงเป็นชื่อและสำเนียงเฉพาะของเกาะฮาวาย ไม่มี Standard เหมือนแคลิฟอร์เนียหรือรัฐอื่นๆ ใน Mainland ออกเสียงก็ไม่ใคร่จะถูก ที่จำชื่อถนน Kapiolani นี้ได้คงเป็นเพราะว่า คำว่า kapi พ้องกับคำว่า กะปิ (น้ำพริกกะปิ) หรือ กระบี่ (จังหวัดกระบี่) มีอีกชื่อหนึ่งพอจำได้ เพราะไปจอดรถไว้ทุกวันคือ Alawai และ Kuamoo คำหลังนี้ผมนึกถึง “คั่วหมู” แม่บ้านถามว่า พ่อวันนี้ไปจอดรถแถวไหน ผมจะบอกว่าตรงถนนคั่วหมูจ้ะ น่าจะออกเสียงว่า..คัวมู หรือกัวมู และยังมีถนน Alamona ถนน Kalakaua พอจำได้เพราะผ่านบ่อย อย่างถนน Alamona นี้ก็ผ่าน Alamona Park และ Kalakaua ก็ผ่านช็อปปิ้งเซ็นเตอร์หรูๆ แถว Waikiki Beach ที่กำลังเดินกันอยู่ และถนน Kuhio โรงแรมที่พัก นอกนั้นจะเลอะเลือนเบรอๆ ชอบกล ผมลองค้นคว้าดู เชื่อไหมครับว่าชื่อถนนต่างๆ นี้ โดยมากจะเอาชื่อคิงชื่อควีน และเชื้อพระวงศ์เจ้านายของฮาวายมาตั้งกัน นัยว่าเป็นความรักความผูกพันและเป็นที่ระลึก ถ้าลุงแซมของเราไม่ไปแทรกแซงภายใน จนสามารถล้มล้างระบอบสถาบันกษัตริย์ได้ ฮาวายก็คงยังมีเอกราชและอธิปไตยเป็นของตนเอง ก็ไม่ต้องผนวกเข้ามาเป็นอีกรัฐหนึ่งของ United State of America เฮ้อ !! ไม่เอาดีกว่า การเมืองไม่ยุ่ง การมุ้งไม่เกี่ยว เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า หัวร่อก็ไม่ ร้องไห้ก็ไม่ออก

ความจริงมีเรื่องร้านอาหารไทยต่ออีกหน่อย แต่ต้องเก็บไว้ก่อนเพราะเนื้อที่มีจำกัด เกรงว่าจะยาวเกิน เอาไว้เขียนหากินต่อในฉบับหน้าแล้วกัน.. Aloha ครับผม


ผู้เฒ่าหัวใจสะออน