เรื่องอ่านเล่น กินรำทำเพลง The Series

“กิน” Episode 2

ฉบับที่แล้ว เกริ่นบทนำถึงที่มาที่ไปของก๊วนกินรำทำเพลง เกิดมาอย่างไร และมีสมาชิกออริจินัลใครบ้าง สนุกๆ สไตล์ใหม่คือเขียนไปเรื่อยๆ ช่วงกักตัวเองอยู่บ้านในช่วงโควิด-19 ที่กำลังระบาดหนักอยู่ในอเมริกาขณะนี้ ในเมื่อเราออกนอกบ้านก็ยังไม่ได้ ไปพบเพื่อนก็ยังไม่ดี ทำให้ดิฉันคิดถึงเพื่อนๆ และวันคืนที่เราได้ กิน ได้ รำ ได้ทำเพลงด้วยกัน หลังจากสังสรรค์กันจากกิจกรรมที่วัดก็มักจะไปหาอาหารอร่อยๆ กินกันเสมอ เพราะสมาชิกทุกคนชอบนักเรื่องกิน

คราวที่แล้วสมาชิกสี่คนว่างที่จะไปกินกัน และเป็นสี่คนที่กินอาหาร “แขก” เป็นและชอบ ก็เลยแน่ละ ได้โอกาสตะลุยร้านประจำกันอีก ตามมานะ

เปิดตัวสี่สหายผู้รักในรสชาติอาหารแขก ก่อนค่ะ

สามคนอยู่ในก๊วนแล้วค่ะ “คุณนา” “หนูตุ๊กตา” อิฉันผู้ดำเนินการเขียน และอีกหนึ่งเป็นหนุ่มใหญ่อารมณ์ดี “คุณธี” สวามีของ “หนูตุ๊กตา” คุณธีคนนี้เป็น “ช้างเท้าหลัง” เอ๊ย.. “ชายเท้าหลัง” ภริยา ที่มีความสุขและยินดีที่จะติดตามภรรยาและเพื่อนภรรยาไปทุกที่ และไปแบบพื่อนๆ ภรรยาชอบให้ไป ขาดคุณธีจะไม่เอ็นจอยอาหาร ขนาดนั้นก็แล้วกัน

โดยเฉพาะอาหาร “แขก” นี้ขาดคุณธีเป็นขาดรส เพราะเขามักจะมีเรื่องเล่าประกอบอาหารให้เราได้มีความรู้ ชนิดขำๆ ก็มี ชนิดได้สาระก็มี ก็เพราะว่าเขาเคยไปร่ำเรียนอยู่ที่สำนักตักศิลา เมือง “แขก” เรียนปริญญาตรีสาขารัฐศาสตร์ ที่ Delhi University เมือง New Delhi ประเทศอินเดีย จากนั้นก็ย้ายตำหนักตักศิลาไปอยู่หอพักเรียนปริญญาโทต่อที่เมือง Baloda University รัฐกุจราช จบสาขา International Relations นับเป็นเกียรติเป็นศรีกับวงศ์ตระกูล อยู่อินเดียยาวนาน แม้ไม่ได้พบรักกับสาวแขกเพราะเนื้อคู่เป็นสาวไทย ทว่ามีเหตุแปลกแต่จริงคือ ปัจจุบันคุณธีเขามีลูกเขยเป็นแขกหล่อเหลานิสัยดีที่เติบโตในอเมริกา ดิฉันคิดเอาเองว่า การที่ได้ไปใช้ชีวิตในวัยละอ่อนในแดนภารตะ องค์เทพทวยเหนือหิมาลัยคงเอ็นดูประทานลูกเขยระดับปริญญาโทมาให้ชื่นชม ไม่เชื่อ (ดิฉัน) โปรดอย่าลบหลู่

เอาล่ะค่ะ ในเมื่อเรามีผู้มีความรู้ทั้งในด้านอาหารและประวัติศาสตร์มาร่วมด้วย จะรอช้าทำไมละคะ ตามพวกเรามาเลยค่ะ

ณ ดาวทาวน์แอปบี้ เอ๊ย ! ดาวทาวน์ฟรีมอนต์ อันเป็นเมืองที่มีพลเมืองแขกเป็นกลุ่มใหญ่ ทั้งแขกอาหรับ แขกปากีสถาน และแขกฮินดู อยู่มากมาย พวกเขามีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจของเมือง เพราะเขาเหล่านั้นเป็นเจ้าของธุรกิจจิปาถะ ตั้งแต่ร้านสะดวกซื้อ ปั้มน้ำมัน ร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้าเป็นต้น ส่วนร้านที่เราสี่คนชอบไปกินเป็นนประจำอยู่ดาวน์ทาวน์นี้อยู่บนถนนฟรีมอนต์บูเลอวาาร์ด ชื่อร้านว่า Pakwan ดิฉันขอออกเสียงว่า ภควัน จำง่ายดี จะต่อว่า ภะคะวันตัง อภิวา เทมิ ก็ยิ่งดีถือว่านอกจากจะกินอิ่มอร่อยแล้วยังได้ท่องคำสวดมนต์ไปด้วย

หนูตุ๊กตาเป็นคนแนะนำร้านนี้ให้พวกเราเป็นคนแรก ส่วนหนูนากินอาหารได้ทุกชนิด และตกหลุมรักแป้งนานที่ร้านภควันนี้มาก เราติดใจร้านนี้เพราะลูกค้าเป็นคนแขกทั้งน้านน...แสดงว่าอาหารเขาคงต้องตรงมาตรฐานแขกสากล นอกจากนี้ร้านยังเป็นร้านที่สะอาด บริการเรียบง่าย คือใช้วิธีต่อแถวสั่งอาหาร จ่ายเงินก่อน จึงจะไปหาโต๊ะนั่ง หาที่นั่งตามใจลูกค้าแต่ส่วนมากต้องรอคิว คนเยอะจริงๆ

จ่ายเงินเสร็จหาที่นั่งได้ คราวนี้ก็ถึงรายการลุกไปหาชาอร่อยๆ สไตล์ภารตะ คือเขาตั้งหม้อและถ้วยไว้ให้เสิร์ฟเอง ใครใคร่กินกี่ถ้วยก็ไม่ว่ากัน ชากลิ่นหอมหวานมัน กินถ้วยเดียวไม่อิ่มใจ ข้างหม้อต้มชา มีหัวหอมสดหั่นเป็นชิ้นๆ มะนาวฝานเป็นแผ่นๆ ให้บีบลงในหัวหอม ทำให้มีรสแปลกแสบ (คอ) ไปอีกแบบ มีให้ตักตามสบายระหว่างรออาหารเสิร์ฟ

อาหารที่พวกเราสั่งก็จะไม่ค่อยเปลี่ยน เราลงความเห็นเหมือนกันว่า จะเปลี่ยนทำไม ชอบเหมือนเดิมก็สั่งเหมือนเดิม มีอะไรบ้างที่เราชอบน่ะหรือคะ

ประจำเลย สิ่งแรกต้องเป็น นาน หรือแป้งโรตีปิ้ง คือเท่าที่ทราบ แป้งนานนี้การทำเขาจะใส่ผงฟูลงในแป้ง แล้วนำไปปิ้งแนบกับเตา คุณธีเล่าว่าเคยเห็นชาวบ้านที่อินเดียทำนั้นเมื่อเขาปั้นแป้งเสร็จจะนำแป้งไปปะบนกระทะเหล็กรูปกลมแบนใหญ่ ที่ใช้เตาใบใหญ่ก่อไฟด้วยถ่าน บางครั้งในถ่านนั้นก็จะผสมขี้วัวลงไปด้วย เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านทำให้ไฟติดแรง แป้งนานจะออกมาเป็นรูปสวยงามตามกระทะ ผิดกับโรตีที่แป้งจะไม่ใส่ผงฟูและนำไปทอด นานที่นี่มาด้วยชิ้นใหญ่ มองดูนึกถึงข้าวเกรียบปากว่าวของไทย เราชอบทั้งนานธรรมดาและนานกระเทียม สี่คนสั่งมาคนละชิ้นก็อิ่มแปร้แล้ว

นอกจากนี้พวกเราก็ยังให้ความสำคัญกับการกินผักทุกมื้อ ผักร้านนี้เราจะชอบสปินิชต้มนิ่มปั่นกับครีมข้นและโรยหน้าด้วยชีส มีชื่อเรียกว่า Saag Paneer Spinich อร่อยได้รสมันๆ และได้ประโยชน์ด้วย

ออเดิร์ฟที่เขาเสิร์ฟ พร้อมกับอาหารอื่นๆ คือ Raita (Seasoned yogurt) ขาดไม่ได้ตามร้านอาหารแขกต้องมีให้เราได้เป็นเครื่องเคียง ไว้จิ้มนานก็ได้ จิ้มกับแตงกวาก็ได้ คงจะเหมือนอาหารมุสลิมบ้านเราคืออาจาดกระมัง เดาเอาค่ะ

มาถึงอาหารจานหลัก เราก็สั่งเจ้าพวกนี้แหละค่ะประจำ

/

Chicken tikka masala with basmati rice จานนี้มาทีพร้อมอกไก่อบซอสมาสาล่า ที่มีสีแดงสวยงามจากเครื่องเทศที่บ้านเราคงจะเรียกแกงกะหรี่ แต่ของเราใส่กะทิ ของเขาใส่เครื่องเทศและครีมข้น อันนี้เนื้อไก่นุ่มอุ่นในปากจิ้มกับนานกระเทียมเยี่ยมสุดๆ ของโปรดคุณหนูนาเลยค่ะ

Chicken birayani ถ้าชอบกินข้าวบาสมาติ ละก็ อันนี้ก็เป็นเมนูโปรด โดยเฉพาะคุณหนูตุ๊กตา ข้าวผงกะหรี่สีเหลืองนึ่งหอมหวลชวนลิ้มลองเสิร์ฟพร้อมกับเนื้อไก่ชิ้นเล็กๆ และหอมหัวใหญ่ ราดด้วยชีส เนย และน้ำมันGhee หอมอบอวน รสชาติเค็มๆ และนุ่ม ส่วนดิฉันไม่ค่อยชอบข้าวบาสมาติเท่าไร มีความรู้สึกเหมือนไม่อิ่ม สู้แป้งนานไม่ได้ ซึ่งคุณตุ๊กตาสั่งมาเพียงจานเล็กๆ ก็เพียงพอ

Tandori Chicken leg มาพร้อมหัวหอมทอด อันนี้ของโปรดของสี่สหาย เพราะว่าเขาใช้ส่วนอกที่ติดกับน่องไก่ชิ้นใหญ่มาทำ รสชาติจัดจ้านถึงพริกถึงขิง มีทั้งพริก ทั้งขิง ทั้งข่าพริกไทย คลุก Ghee หรือเนยใส เครื่องเทศแบบกะหรี่สีเขียว และคลุกด้วยโยเกิร์ต ทำให้นุ่มและอร่อยสุดๆ จานนี้เรามักจะต้องสั่งถึงสองจานทุกครั้งไป

กินไปฟังเรื่องเล่าจากคุณธีถึงวิถีชีวิตการกินของชาวภารตะ ที่นิยมใช้มือกินอาหารว่า คนที่เมืองแขกเขากินกันโดยใช้มือตักทั้งนั้น โดยใช้มือด้านขวาบินาน แล้วลงจิ้มน้ำแกง และในการใช้มือนี้ คุณธีเขาได้ตั้งข้อสังเกตวว่าเป็นศิลปะของชนชั้น คือจะดูรู้ว่าชนชั้นใดใช้มือดันอาหารเข้าปากแบบใด เช่น บรรดาผู้ดีมีวรรณะดี จะใช้นิ้วเพียงสามนิ้ว ดุนอาหารเข้าปากได้อย่างเรียบร้อยไม่เปรอะเปื้อน หรือในการบิชิ้นของนานหรือบิจารบิก็จะมีการค่อยๆฉีกชิ้นแป้งแล้วทำเป็นห่อเพื่อลงไปตักแกงหรืออาหารก่อนนำเข้าปาก ขณะที่ชาวบ้านใช้นิ้วทั้งห้าดันอาหารเข้าปากบางทีก็จะเห็นเลอะเทอะบ่อยๆ ลูกค้าในร้านที่เรามานั่งกินบางคนก็นิยมในวัฒนธรรมกินด้วยมือ แต่ส่วนมากจะขอส้อมกัน รวมทั้งเราทั้งสี่ด้วย

ที่เล่ามานี้คือเรื่องราวการไปกินของเรา มิได้มารีวิวร้านอาหารให้นะคะ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือ “กิน” และเล่าถึงอาหารที่เรา “กิน” ความจริงเบื้องหลังของการไม่รีวิวอาหารที่เขามีขายทั้งร้านก็เพราะมีอีกหลายเมนูที่เราไม่กินเพราะกินไม่เป็น โดยเฉพาะดิฉันนี่นะคะ กินแพะกินแกะไม่ได้ เนื่องจากทนรสและกลิ่นไม่ได้ ไม่ว่าใครจะประกาศเชิญชวนว่า ร้านนี้รับรองเขาทำอร่อยใส่เครื่องเทศจนทำให้ไม่รู้รสสาบแพะและแกะก็ตาม ซึ่งก็นับว่าดีที่บทเขียนนี้ไม่ได้มีเจตนาจะรีวิวอาหาร เพราะนอกจากอาจจะต้องไปฝืนชมแล้ว ยังไม่ได้ค่ารีวิวอีกด้วย ฮ่ะ ฮ่ะ ชมภาพประกอบคณะสี่สหาย และขอบคุณภาพเมนูอาหารจากเว็บไซต์ของร้าน Pakwan ค่ะ

วันนี้ก็จบรายการพาไปพบกับอาหารแขก ซึ่งแน่นอนว่า เป็นอาหารของปากีสถาน ส่วนอาหารแบบฮินดูนั้นเรายังไม่ได้ไปลองกัน สมาชิกส่วนใหญ่ยังติดใจกับเนื้อสัตว์ มักจะโอนเอนไปในการที่จะเจริญอาหารด้วย หมู ไก่ อยู่ ยากจะเปลี่ยนรสนิยม กิเลสยังมีว่างั้นเถอะ...ไปก่อนนะคะ พบกันโอกาสหน้า ซึ่งจะไปร้านอาหารญี่ปุ่นกัน ท่านผู้อ่านนึกภาพละกันค่ะ ว่าสมาชิกที่ชอบอาหารญี่ปุ่นนี้มีมากแค่ไหน รับรองขบวนใหญ่แน่ รออ่านนะคะ ตัวละครเพิ่มมาเรื่อยๆ แต่ละคนระดับไฮซ้อไฮโซของเบย์แอเรียทั้งนั้นค่ะ สวัสดีค่ะ