เรื่องอ่านเล่น กินรำทำเพลง The Series

กิน Episode 5

จบเรื่องเล่าการ “กิน” อาหารญี่ปุ่นของชาวแก๊งค์กินรำทำเพลงที่ยืดยาวถึงสองตอนซึ่งแสดงว่าเป็นอาหารยอดนิยมของพวกเรา วันนี้พาไปร้านอาหารฝรั่งเศสในเมืองฟรีมอนต์ที่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978 ก็เท่ากับว่าเกือบ 40 กว่าปีแล้ว เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสที่เจ้าของร้านเป็นคนไทย แถมเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มเราเสียด้วย ไม่ได้เชียร์แต่มีเรื่องเล่าขานในตำนานให้ฟัง ทำไมคนไทยครอบครัวนี้จึงได้มีความสามารถยืนหยัดกับอาหารสไตล์ฝรั่งเศสได้ยาวนาน เป็นที่ชื่นชอบของชุมชนเบย์แอเรียได้ขนาดนี้ แบบว่าหากเปลี่ยนเมนูหรือเพิ่มเมนูเมื่อไร แฟนคลับอเมริกันชนจะต้องส่งเสียงถามมาที่ร้านว่า “เปลี่ยนผู้บริหารร้านแล้วหรือไร”

Papillon คือชื่อร้านอาหารฝรั่งเศสที่จะเล่าถึงค่ะ ปาปิญอง ในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ผีเสื้อ ร้านตั้งอยู่บนถนนมิชชั่น เมืองฟรีมอนต์ เป็นร้านตั้งในทำเลดีมากคือเป็นร้านอยู่ในที่ส่วนตัวที่ติดถนนใหญ่ ด้านหลังติดเนินเขาทุ่งกว้างในเนื้อที่สองเอเคอร์ สวยงามและส่วนตัวมากๆ ภายในก็หรูหราสมกับรสนิยมผู้ชอบลิ้มอาหารฝรั่งเศส มีบาร์ดื่ม มีแกรนด์เปียโนที่ทางร้านจัดผู้เล่นมาให้ฟังกันฟรีๆ ทุกคืนวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ สำหรับใครมีรสนิยมอาร์ตทิสต์ มาชมภาพบนผนังที่มีทั่วร้านซึ่งทางร้านจะเปิดให้อาร์ติสต์ที่ต้องการโชว์ภาพวาดของตัวเองมาติดได้เลย และหากมีผู้สนใจก็ซื้อขายกันได้ตามใจลูกค้าค่ะ

ที่จริงถ้าจะเขียนแค่ประวัติอันน่าสนใจของร้านก็คงเต็มเนื้อที่ ไม่ถึงเรื่องอาหาร รสชาติอาหาร และกิจกรรมพิเศษที่ชุมชนไทยได้ไปใช้บริการที่นี่ ดังนั้นถ้าดิฉันเขียนเพลินไปหน่อยก็อาจจะต้องต่อฉบับหน้าล่ะค่ะ เพราะว่าปฐมบทของร้านนี้เป็นเรื่องน่าสนใจ เป็นเรื่องของการสู้ชีวิตในอเมริกาที่ประสบความสำเร็จของคนไทยท่านหนึ่งที่เป็นคนดั้งเดิมของสังคมซานฟรานซิสโกและเบย์แอเรีย

พี่ วาสนา โฟร์แมน คือคนไทยที่เริ่มร้านนี้ พี่เขาอยู่ในเบย์แอเรียนานนับห้าสิบปี ได้ก่อตั้งร้านอาหารฝรั่งเศสกับสามีคือคุณ Tom Foreman ซึ่งสามีบัดนี้ท่านถึงแก่กรรมไปแล้ว ทั้งสองก่อร่างสร้างร้านมาสองปี จึงได้มอบให้ คุณชาลี โฟร์แมน ลูกชายและ คุณต๋อย นิทรา บูรณนนท์ โฟร์แมน บริหารแทนมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 คุณต๋อยนิทราเข้าช่วยโดยเริ่มเป็นเชฟขณะที่คุณชาลีเป็นผู้บริหารร้าน ณ บัดนั้นจนบัดนี้ คุณต๋อย นิทรา มีประสบการณ์ทั้งการเป็นเชฟเองและจัดซื้อของเข้าร้านทุกอย่าง จะมีใครรู้งานดีเท่าเธอละคะ ทั้งคุณชาลีและคุณนิทรา มีบุตรสามคน ชายสอง หญิงหนึ่ง ลูกชายคนโต นิโคลัส มีครอบครัวและอาศัยอยู่ที่เมืองแซคคราเมนโต้ ลูกชายคนรอง คอร์เนอร์ เรียนปริญญาโทอยู่ที่ UC San Diego ส่วนคนสุดท้องสาวสวย ชานน่า ก็กำลังเรียนปริญญาโทอยู่ที่ St. Mary และมาช่วยงานเสิร์ฟให้คุณพ่อคุณแม่เมื่อมีเวลาว่างจากเรียน

ร้านประสบผลสำเร็จเป็นที่รู้จักในชุมชนอเมริกันขนาดนี้ แต่น่าเสียดายที่ลูกๆ ทุกคนของคุณชาลีและนิทรา ไม่มีใครสนใจจะสืบทอดร้านต่อเลย แต่ทั้งคุณชาลี และคุณนิทราก็เข้าใจลูกๆ ไม่เคยคิดจะบังคับในสิ่งที่เขาไม่ต้องการทำ เมื่อถามว่าแล้วร้านจะทำอย่างไรต่อไปถ้าลูกหลานไม่สืบทอด เสียดายมากๆ ทั้งคู่บอกไม่เป็นไร คงจะขายต่อและสองคนจะไปเกษียณชีวิตสบายๆ โดยอยากไปสร้างบ้านอยู่ที่เมือง Lake Tahoe อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ คุณชาลีมีเครื่องบินขนาดเล็กและใบอนุญาตนักบิน ก็คงจะใช้เวลาสนุกกับการขับเครื่องบินไปตามน่านฟ้า ชิล ชิล แบบนั่งชมวิหคอยากเป็นนก เอ้ย ! นักบินเหลือเกิน อ้าว ! จะเขียนเรื่องกินนะเนี่ย กลายเป็นประวัติ นิทรา ชาลีไปซะแล้ว คุณต๋อย นิทรา เป็นหนึ่งน้องในสมาชิกกินรำทำเพลง เธอเป็นคนแอ็คทีฟในกิจกรรมของสังคมซาน ฟรานและเบย์แอเรียมาตลอด ช่วยงานวัดแทบทุกวัดที่อยู่ในแคลิฟอร์เนียเหนือ ดังนั้นเมื่อมีอาคันตุกะระดับวีไอพีจากเมืองไทยมาเยือนซานฟรานและต้องการลิ้มรสอาหารฝรั่ง ร้านปาปิญองของคุณชาลี และคุณต๋อย จะได้รับเลือกให้รับรองอยู่บ่อยๆ

เล่าถึงระดับพวกเราก่อนค่ะ ระดับก๊วนกินรำทำเพลง เวลาไปทีไรคุณต๋อยรู้ว่าต้องการไปรเวซี่มาก (แปลว่าพวกเราเสียงดังและคุยภาษาไทยกัน เธอคงเกรงฝรั่งจะต๊กกะใจ) ดังนั้นพวกเราจึงสนุกกันได้เต็มที่เพราะเธอยกห้องปีกซ้ายของร้านให้เราเลย ไม่จำกัดเวลาด้วย ใครใคร่อยู่ยาว อยู่ไป.. บางครั้งหากเราพาคณะครูอาสาที่ไปสอนดนตรีไทยไปด้วยละก็ เราก็จะ (สั่ง) ให้ครูๆ ยึดเปียโนและเล่นเพลงไทยให้เราฟังซะเลย

เอ้า ! มาถึงอาหาร เช่นเคยนะคะ ไม่ได้มารีวิวอาหารหลักของร้าน แต่เป็นอาหารหลักที่พวกเราชอบสั่ง ของโปรดที่ไม่ต้องขอเจ้าของร้านรู้ดีนำมาวางให้ก่อน ก็คือเป็นเสมือนน้ำจิ้มที่คนไทยทุกคนติดใจทำจากครีมชีส เป็นก้อนสี่เหลี่ยมราดมาด้วย balsamic vinegrette มีหัวกระเทียมอบเป็นชิ้นๆ หัวหอมหัวเล็กๆ อบ พร้อมมะเขือเทศลูกเล็กๆ อบแห้งโรยมากับน้ำจิ้ม เสิรฟ์มากับขนมปังฝรั่งเศสในตระกร้าเล็กๆ บิขนมปังจิ้ม เมนูนี้ไม่มีขายนะคะ คุณนิทราทำให้พี่ๆ เพื่อนๆ เท่านั้น รับประกันอร่อยเกือบเหาะได้..พร้อมจิบไวน์เลิศรสราคาแพง Silver Oak ที่เจ้าของสรรมาให้อีกต่างหาก

ลำดับต่อไปที่ (ต้องสั่ง) ตามแต่สมาชิกค่ะ เราเริ่มด้วยออเดิร์ฟที่แสดงตัวตนว่าเป็นฝรั่งเศส อาทิเอสกาโก้หรือหอยทากอบเนยและกระเทียมแต่ละตัวเบ้งๆ เนื้อกรุบกรับ หรือ crab cake เนื้อปูทอดปั้นมาอย่างสวยงาม และอีกอย่างที่ป๊อปปูล่า คือ lobster ravioli และ coconut prawns คือกุ้งชุบแป้งและเกร็ดมะพร้าวทอด ทุกออเดิร์ฟสั่งทีไรก็ไม่เคยผิดหวัง

ส่วนอาหารหลักที่พวกเรามาร้านนี้แล้วต้องสั่ง ของเขาดีจริงก็คือซุปหัวหอม French onion soup หอมละมุนจริงๆ ค่ะ เสิร์ฟมาในแป้งกรอบเหมือนแป้งพาย อันนี้เป็นที่ชื่นชอบของชาวแก๊งค์ส่วนมากรวมทั้งดิฉันด้วย ตามมาด้วย beef/seafood wellington ซึ่งเป็นอาหารคลาสสิกของคนฝรั่งเศส ที่นำแป้งเพสตรี้หรือแป้งกรอบเหมือนพายหุ้มห่อเนื้ออบ หรืออาหารทะเลอบมาข้างใน มีเห็ดและน้ำซอสที่ปรุงจากไวน์คาเบอเน่ทำให้ทั้งหอมทั้งงนุ่มมากๆ และที่ขึ้นชื่อหรือเป็นไฮไลท์ของอาหารที่ทางร้านนำมาเสิร์ฟโชว์ที่โต๊ะแขกที่สั่งได้แก่ fillet mignon peppercorns steak flambe’ โดยเจ้าของร้านมาเอง คุณชาลีจะมาแสดงการเสิร์ฟอาหารแบบ “กระทะร้อน” คือนำสเต๊กมา “ทอด” แล้วราดด้วยบรั่นดีลงบนกระทะร้อนๆ ผลก็คือ “ไฟโชนแสง” ตื่นเต้น หอมกรุ่นชวนให้ลิ้มลอง ลูกค้าถูกใจปรบมือให้เชฟใหญ่ทุกครั้ง มีเมนูอีกมากมายที่เล่าไม่หมดล่ะค่ะ ขอยกไปต่อคราวหน้า และขอจบเมนูตรงขนมหวาน

ขนมหวานนี้ทางร้านทำเอง ก็ฝีมือคุณนิทรานั่นแเละค่ะ ไม่ได้สั่งมาจากที่ใดทั้งนั้น อร่อยทั้งความหวานความมัน ขอบอก ไม่ลองไม่ได้ล่ะค่ะ เวลาพวกเราไป ของหวานเหล่านี้จะถูกจัดมาให้ชิมอย่างละนิดละหน่อยบนจานและฝีมือจัดอันมีเอกลักษณ์ส่วนตัวของร้าน ยกตัวอย่างขนม และขอแจงชื่อขนมเป็นภาษาฝรั่งดีกว่านะคะ หากแปลจะทำให้เสียรสนิยมผู้ชื่นชอบขนมฝรั่งไปเสียก่อน (นี่เป็นข้อแก้ตัวของดิฉันเอง คือว่าแปลไม่เป็นค่า)

ขนมหวานที่ทางร้านทำเองมีอาทิ Creme Brulee’, Tiramisu, Chocolate Torte, Cheesecake, Peach Bread Pudding, Chocolate Mouse ส่วนที่นำมาแสดงเสิร์ฟที่โต๊ะ แบบขนมทอดบนกระทะไฟ ได้แก่ Flambe’ Desserts Bananna Foster, Strawberry, Cherry Jubilee อันนี้นำมาราดบน Vanilla Ice Creme หรือบางครั้งบน Crepte Suzette

เป็นไงคะ อาหารฝรั่งเศสโดยคนไทย ไม่ได้มาเขียนเชียร์แต่พวกเราไปกินและชุมนุมกันจริงค่ะ ร้านปาปิญองนี้นอกจากชุมชนฝรั่งนิยมแล้ว ยังเคยเป็นที่จัดคอนเสิร์ตประวัติศาสตร์อีกด้วย คือคอนเสิร์ตสุเทพโชว์อินยูเอสเอเมื่อปี ค.ศ. 2010 มาแล้ว

อ่านต่อถึงเรื่องเล่าคอนเสิร์ตนี้ในโอกาสหน้านะคะ เนื้อที่หมดลงแล้ว ชาวกินรำทำเพลงขอสวัสดีไปก่อนค่ะ