คิดเผื่อคนอื่น ย่อมจะมีคนคิดถึงคุณ !

ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณแฟนคลับที่ทักทายกันในงานต่างๆและขอให้เขียนหลายเรื่องวันนี้ก็จะขอแชร์ประสบการณ์

สังคมที่นี่ในอเมริกาตอนนี้ก็ยังมีปัญหามากมาย ทั้งเศรษฐกิจที่ดูเหมือนจะดีขึ้นตามลำดับ เพราะวัคซีนมีให้ฉีดกันได้ทั่วถึง แต่ธุรกิจกลับมีปัญหาการว่าจ้างคนงาน ซึ่งขาดมากมายในทุกสาขาอาชีพ มีบางส่วนที่บอกว่า รับเงินรัฐบาลที่เยียวยาให้ดีกว่า หยุดนานๆ เลยยากที่จะกลับไปทำงาน สภาพสังคมก็ไม่น่าจะดี เพราะโจรมากมาย สถิติอาชญากรรมสูงขึ้นทุกประเภทในปีนี้

มิจฉาชีพมาในหลากหลายรูปแบบ ปล้น จี้ ทำร้ายร่างกาย พาลไปเป็นการเหยียดสีผิว ชายเอเชียโดนมากขึ้นอย่างน่าตกใจ แม้แต่หญิงเอเชียด้วย คุกก็เต็มจึงต้องปล่อยคนที่กระทำผิดครั้งแรก ในคดีลหุโทษ Misdemeanor (มีโทษจำคุกน้อยกว่า 6 เดือน ถึง 1 ปี) ก็อนุญาตให้ออกจากคุกได้ ส่วนคดีร้ายแรง Felony (มีโทษตั้งแต่ 3 ปี ถึงตลอดชีวิต) ก็ยังต้องปรับลดเป็นลหุโทษก็มี และถ้าไม่มีประวัติ (อาชญากรรม) มาก่อน อัยการก็ไม่มีเวลาที่จะทำคดีเล็กๆ เช่น พวกไร้ถิ่นฐาน (Homeless) ฉะนั้นพวกเราต้องดูแลตัวเองกันก่อน หาวิธีป้องกัน อย่าได้ประมาทการ์ดตกโดยเด็ดขาดนะครับ

เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีโอกาสเข้าอบรมพร้อมกับตำรวจจากหลายหน่วย เป็นภาคบังคับให้ตำรวจทุกนายของรัฐฯ เข้ารับการอบรมเป็นเวลาถึง 3 วัน ตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ชื่อชั้นเรียนเรียกว่า “Use of Force / De-escalation” โดยหลักสูตรนี้ได้รับการอนุมัติจาก California Commission of Peace Officer Standards and Training (P.O.S.T.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของรัฐบาลของรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งอยู่ในกระทรวงยุติธรรม เพื่อดูแลการอบรมตำรวจ สอบวุฒิ และออกใบอนุญาตให้ตำรวจทุกนายในรัฐแคลิฟอร์เนียว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเป็นตำรวจได้หรือไม่ ชื่อของหลักสูตรนี้แปลโดยสังเขป คือการใช้กำลังกับผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด การลดระดับความตึงเครียด ก่อนที่ตำรวจจะตัดสินใจใช้กำลัง เริ่มตั้งแต่เบาไปหนัก จนถึงการใช้กำลังสูงสุด คือการหยุดการกระทำของผู้ต้องหาที่อาจถึงชีวิตได้เลย (Deadly Force)

การอบรมนี้ ก็สืบเนื่องมาจากคดีคนผิวดำ นายจอร์จ ฟลอยด์ (George Floyd) อายุ 46 ปี ถูกตำรวจจับในข้อหาใช้ธนบัตรปลอมไปซื้อบุหรี่และมีอาการเมาจากการเสพยาเสพติด ในวันที่ 25 พ.ค. 2520 โดยมีตำรวจผิวขาวชื่อนายเดริค ชอว์วิน (Officer Derek Chauvin) ใช้เข่ากดที่คอนายจอร์จ ฟลอยด์ เป็นเวลา 9 นาที ขณะถูกสวมกุญแจมือและนอนราบกับพื้นถนน จนผู้ต้องหาร้องบอกว่าเขาหายใจไม่ออก (I Can’t Breathe) เป็นประโยคที่นำมาใช้กันเพื่อการประท้วงทั่วอเมริกา เป็นข่าวดังไปทั่วโลก จนมีการร้องประท้วงให้ตัดงบประมาณตำรวจ หรือยุบไปเลย

นายตำรวจเดริคถูกไล่ออก โดนจับตัวด้วยหลายข้อหา เช่น ฆ่าคนตายโดยไม่เจนตา ใช้กำลังเกินความจำเป็น จนถูกศาล โดยคณะลูกขุน ตัดสินว่าผิด ถูกจำคุก 22.5 ปี เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2021 ขณะที่ครอบครัวนายจอร์จฟ้องคดีแพ่งกับทางตำรวจ Minneapolis Police Department ด้วยเงินยอมความกัน ถูกให้ชดใช้ถึง 27 ล้านเหรียญ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2021

สภานิติบัญญัติทั้งของรัฐและรัฐบาลกลาง จึงได้ออกกฎระเบียบเพิ่มเติมหลายฉบับ ให้ตำรวจทุกแห่งต้องมีการอบรมในการใช้กำลังที่เหมาะสมกับผู้ต้องหาต่างๆ จึงเป็นที่มาในการไปเรียนหลักสูตร 3 วันนี้ ผมก็นึกว่าเขาจะสอนวิธีการใช้กำลังที่ไม่ต้องรุนแรง หรือเทคนิคต่างๆ ในการเจรจากับผู้ต้องหาก่อนที่จะใช้กำลัง กลับปรากฏว่าการเรียนวันที่ 1 เป็นการเอานักจิตวิทยา เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย มาสอนตำรวจให้เข้าใจเกี่ยวกับอุปนิสัยของคน สาเหตุถึงการประพฤติตัวแบบแปลกๆ แล้วตำรวจควรเข้าใจพวกโรคจิตที่มีผลและปัญหาอย่างไร

อาจารย์นายนี้ชื่อ Pete Bowen (www.petebowen.net) เป็นอดีตทหารอากาศ เป็นนักบินรบเก่า เขาก็ใช้เวลา 4 ชั่วโมง สอนว่าคนเราทุกคน ต่างก็ต้องการความสุขกันทั้งนั้น ต้องการประสบความสำเร็จ ต้องการเติมชีวิตที่มันขาดอะไรต่างๆ ให้สมบูรณ์โดยเร็ว เรียกว่า Purpose of Life  Happiness  Success อาจารย์บอกว่า ก่อนที่พวกเราจะไปเจอความสุขที่แท้จริงนั้น มันเป็นกระบวนการที่เราต้องเก็บสะสมทุกวัน คือ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี (Good Relationships) ซึ่งอันนี้ไม่ใช่ว่าท่านจะมีเงินมากสักเท่าไร จะมียศถาบรรดาศักดิ์ในสังคมสูงสักเพียงใด หรือแม้แต่การศึกษาปริญญาบัตรสักกี่ใบก็ตาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้ท่านพบเจอความสุขที่ถาวรได้เลย

ท่านยกตัวอย่างจากการวิจัยศึกษาทดสอบของมหาวิทยาลัย Harvard เป็นเวลา 80 ปี พบว่า ถ้าคุณเอาเด็กทารก 10 คน ให้น้ำอาหารอย่างดี แต่ไม่ได้ให้ความรัก และการดูแลเอาใจใส่แล้ว (Love and Affection) 4 ใน 10 ตายครับ อีก 6 คน โตมามีปัญหาทางด้านจิตใจ เป็นโรคทางจิต (Mental Disorder)

อีกตัวอย่างที่อาจารย์ยกมาให้ฟัง คือคดีอุกฉกรรณ์ที่กราดยิงคนเป็น 10 ขึ้นไป ทั้งที่ไม่รู้จักกันเลย เกือบทุกคดีพอยิงเสร็จ ตำรวจเข้าประชิดตัว ผู้ร้ายกลับยิงตัวเองตายแทบทุกราย คนเหล่านี้เป็น 6 คนจากเด็กที่ขาดความรัก ความเอื้ออาทรที่เขาไม่เคยได้รับ พอถึงจุดหนึ่งเขาต้องการแสดงตนว่า เขาก็มีฝีมือ ทำชื่อเสียงให้คนรู้จักได้ (ในทางที่ผิด) แต่พอตำรวจจะเข้าจับ เขาก็กลัวต้องโดนขังเดี่ยวในคุก ต้องถูกบีบบังคับทั้งกายและใจ เลยตัดสินใจ ปลิดชีพตนเองเสียดีกว่าที่จะกลับไปอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวเดียวดายอีก

เช่นเดียวกับคดีแฟน หรือ สามี ภรรยา เลิกรากัน ทุบตีกัน ฝ่ายหนึ่งจะขอเลิก อีกฝ่ายไม่ยอม เพราะกลัวจะต้องอยู่คนเดียว โดดเดี่ยว เลยไม่ยอม ก่อคดีฆ่ากันตายที่เห็นบ่อยๆ เด็กก็เลยตกเป็นเหยื่อขาดพ่อหรือแม่ไป เด็กโตขึ้น ก็เป็นปัญหากับสังคม ไม่มีความรักและความสัมพันธ์ที่ดี การสร้างสัมพันธ์ด้วยความรัก ความเมตตากรุณา คุณสามารถทำได้ทันที ด้วย Good Relationships - Practice Love

การฝึกให้ความรักเอื้ออาทรจากใจ ให้ความเชื่อใจ เพื่อประสิทธิผล High Trust, High Performance โดยเริ่มที่

1.ตัวเอง (Self) ปฏิบัติกับตัวเอง ความรักเมตตาต่อตัวเองและผู้อื่น (Acts of Kindness) ยิ้ม การหมั่นพัฒนาตัวเอง มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น เช่นการลดความโกรธ ยอมสละที่นั่งบนรถเมล์ รถไฟฟ้าให้ผู้อื่น สละที่จอดรถให้ผู้อื่น สละทุนทรัพย์ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีความสุข มีความรู้สึกที่ดีต่อทุกๆ คน ความรักที่ให้ออกไป ก็จะกลับคืนมาให้คุณเอง

2.ต่อครอบครัวและเพื่อน (Family and Friends) ทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ให้คนรัก คนในครอบครัว และเพื่อนๆ ทำอาหาร ซื้อเสื้อผ้าสิ่งของโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้คาดหวัง เขียนจดหมายขอบคุณที่เขาอยู่กับเรา อยู่เป็นเพื่อนเราในทุกสถานการณ์ ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกัน จะได้ไม่เสียดายตอนเราไม่มีโอกาส เพราะเมื่อเราเจ็บป่วยหรือทำกิจกรรมไม่ได้แล้ว ไม่เคยที่เราจะได้ยินคนที่จะตายพูดว่า “เสียดายที่ไม่ได้ใช้เวลาทำงานให้มากกว่านี้“ มีแต่ว่า ”เสียดายที่ไม่ได้ใช้เวลากับครอบครัวหรือคนที่เรารักเราแคร์เลย“ นายสตีฟ จอบส์ มหาเศรษฐีของแอปเปิล ขณะติดเตียงในโรงพยาบาล กำลังจะตาย เขากล่าวว่า ”หากเขาย้อนเวลากลับไปได้… เงินทองที่เขาหามาได้จากการทำงานมาตลอดชีวิตนั้น ไม่ได้ช่วยให้เขาพบกับความสุขเลย เขาน่าจะมีเวลาใช้กับครอบครัว และคนรักให้มากกว่านี้ เงินทอง ทรัพย์สินไม่ได้มีโอกาสติดตัวเขาไปได้เลย”

3.ที่ทำงานและสังคม (Work and Community) – การมีความรักและความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นสามารถสร้างความสุขได้ การมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกค้า ต่อเจ้านาย หรือลูกน้อง และสุดท้าย ผลที่ได้ก็สามารถทำให้กิจการค้าเจริญรุ่งเรือง ลูกน้องและเพื่อนร่วมงานรักใคร่สามัคคีกัน แล้วถ้ามีโอกาส แสดงความรักกับเพื่อนร่วมสังคม เพื่อให้สังคมที่เราอยู่ดีขึ้น

อาจารย์สรุปว่า ถ้าทุกๆ คนปฏิบัติต่อตนและผู้อื่น รวมถึงผู้กระทำผิดกฎหมายก็ตาม ด้วยความรัก สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแล้ว สังคมก็จะอยู่อย่างมีความสุข ปัญหาเศรษฐกิจ และสังคมจะดีขึ้น คดีอาชญากรรมต่างๆ ก็จะลดลงตามลำดับ ไม่มีสงครามระหว่างประเทศ ความเหลื่อมล้ำลดน้อยลง ปลาใหญ่ไม่กินปลาเล็ก นอกจากจะให้ความรัก ความเมตตาต่อกันและกันแล้ว ทุกอย่างอยู่ที่เรา การฝึกฝนให้มันเป็นเรื่องปกติ Win-Win ครับ ตำรวจไม่ต้องการที่จะใช้กำลังในการแก้ปัญหาเลย นอกเหนือจากความจำเป็น เป็นหนทางสุดท้ายที่จะระงับความรุนแรงที่ผู้กระทำผิดอาจทำให้เกิดความเสียหาย อันตรายต่อตัวเขาและผู้อื่นเท่านั้น


สรุปว่า จุดประสงค์ของมนุษย์ทุกคนคือ ความสุข

Purpose in Life - Happiness - Success - Happiness from Good Relationships

Relationships - Self - Family - Friends - Work - Community

Ways to Do It:

- Seek Wisdom - การพัฒนาตัวเอง หาความรู้และเปลี่ยนอุปนิสัยจากความกลียด แค้น อิจฉา มาเป็นความรัก ความเมตตาต่อผู้อื่น

- Practice Love - ฝึกฝนการแสดงความรักต่อผู้อื่นได้ตลอด 24 ชั่วโมง

- Get Results - ผลลัพธ์ที่เป็นความสำเร็จและความสุขที่แท้จริง

ทุกท่านทำได้นะครับ และเราจะสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เปลี่ยนสังคมและโลกได้ในที่สุด


โชคดีครับ

คิด ฉัตรประภาชัย