Special Scoop



นาทีวิกฤต…กับโศกนาฏกรรมสังหารหมู่!

จากข่าวน่าสลดหดหู่กับการฆ่าหมู่ (Mass Killings) คือ การฆ่าที่มีคนตายมากกว่า 3 คนขึ้นไป ซึ่งล่าสุดเป็นฆาตกรสองสามีภรรยาที่ซานเบอร์นาดิโนที่ ยิงเพื่อนร่วมงานตาย 14 คน บาดเจ็บ 22 คน

จากบทวิเคราะห์ของทาง FBI ตั้งแต่ปี 2000-2013 มีคนบุกยิง (Active Shootings) ถึง 160 เหตุการณ์ เฉลี่ยการเกิดเหตุการณ์นี้ 12 ครั้งต่อปี ซึ่งใน 160 เหตุการณ์นั้น มีคนเสียชีวิต 486 และบาดเจ็บถึง 557 รวม 1,043 ราย โดย 70% เกิดที่เขตการค้า โรงเรียน หรือที่ทำงาน และเกิดใน 40 รัฐ (จาก 50 รัฐทั่วประเทศ) และที่สำคัญ 60% ของเหตุการณ์นั้นจบลงก่อนที่ตำรวจจะไปถึง…


ลองดูเหตุการณ์ใหญ่ๆ ดังนี้

04/16/2007 (แบล็คส์เบิร์ก-เวอร์จิเนีย) ยิงนักเรียนตาย 32 คน บาดเจ็บ 17 คน – Virginia Polytechnic Institute and State University, Blacksburg, Virginia

11/05/2009 (ฟอร์ตฮูด-เท็กซัส) ยิงทหารตาย 13 คน บาดเจ็บ 32 คน – Ft. Hood Soldier Processing Center – Ft. Hood, Texas

07/20/2012 (ออโรร่า-โคโลราโด) ยิงคนดูหนังตาย 12 คน บาดเจ็บ 58 คน – Cinemark Century 16 Theater -- Aurora, Colorado

12/14/2012 (นิวทาวน์-คอนเน็คติคัท) ยิงนักเรียนตาย 27 คน บาดเจ็บ 2 คน – Sandy Hook Elementary School – Newtown, Connecticut

และ 40% ของคนร้ายจะยิงตัวตายหลังจากก่อเหตุสยดสยองแล้ว

ฉะนั้น เราต้องคิดว่า มันคงจะต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกแน่นอน และถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว เราจะทำอย่างไร แล้วหากเราบังเอิญอยู่ในสถานที่นั้นๆ ไม่ว่าที่ทำงาน งานสังสรรค์ หรือในโบสถ์หรือวัดก็ดี คุณมีแผนป้องกันเอาตัวรอดอย่างไร

ผมขอนำข้อคิดจากการวิเคราะห์ของ FBI มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้เราเตรียมความพร้อมทั้งร่างกาย และจิตใจให้ดีได้อย่างไร ทางตำรวจเราเองก็ต้องฝึกอยู่ตลอด หากแต่ท่านจะคิดพึ่งตำรวจแต่อย่างเดียวนั้น อาจจะสายเกินไป เพราะอย่าลืมว่ากว่าครึ่งของเหตุการณ์นั้น จบก่อนที่ตำรวจจะไปถึง

พวกฆาตกรเหล่านี้เขามีความคิด และเชื่อว่า เขาเป็นเหยื่อของสังคม จะด้วยการถูกกีดกันทางผิว เผ่าพันธุ์ ศาสนา เพศ โอกาส ลัทธิ ฯลฯ สารพัดเหตุผล หรือพวกเดียวกับเขาถูกกระทำมา ส่วนใหญ่คนพวกนี้มาจากครอบครัวที่แตกสาแหลกขาด พ่อแม่หย่าหรือทะเลาะตบตีกันเป็นนิจ จนทำให้ผู้ก่อการในขณะเป็นเด็กเห็นความรุนแรงว่าเป็นเรื่องธรรมดา พวกเขาไม่มีเพื่อนฝูง พอไปถูกพวกก่อการร้ายล้างสมอง ถูกยุยงให้เป็นตัวแทนทำการล้างแค้นเพื่อพวกเดียวกัน แล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้น 7 ก็เลยอาสาทีเดียว

เขาเลือกที่จะทำการเพื่อก่อให้เกิดความหวาดกลัว ยิ่งโหด ยิ่งฆ่าได้มากเท่าใดก็ยิ่งดี ยอมตายเพื่อพวกพ้อง ต้องการเป็นข่าวใหญ่ดังไปทั่วโลก โดยไม่เลือกเหยื่อว่าจะเป็นหญิง เด็ก คนชรา และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำการได้ง่ายเพราะ สังคมอเมริกันเป็นสังคมที่ค่อนข้างจะอยู่กันแบบตัวใครตัวมัน เห็นแก่ตัวบ้าง คนส่วนมากบางครั้งเห็นอะไรผิดสังเกตก็ไม่แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้ ซึ่งอาจจะป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นได้ในหลายๆ กรณี เช่นในกรณีล่าสุดที่คนร้ายอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ มีการผลิตระเบิดโดยใช้ท่อน้ำเป็นสิบๆ แท่ง ทำในโรงจอดรถ ข้างบ้านก็ไม่สงสัยหรือแจ้งเบาะแส ฉะนั้นถ้าเราเห็นอะไรที่น่าสงสัย ก็โทรแจ้งตำรวจท้องที่ FBI หรือหน่วยงานรัฐต่างๆ ได้ “If you see something, say something” บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ ที่คุณคิดว่ามันไร้สาระ แต่ถ้าคุณเห็นว่ามันผิดสังเกต ทางเจ้าหน้าที่ก็สามารถส่งคนไปตรวจสอบ ขอหมายศาลเข้าค้นได้ ถ้าทุกคนช่วยเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ โอกาสที่ผู้ก่อการร้ายจะทำการก็ยากที่จะสำเร็จ เราต้องเป็น “Proactive Citizens”

การก่อการร้ายของฆาตกรเหล่านี้ มีการฝึก และวางแผนเป็นอย่างดี มีอุปกรณ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย โดยการซื้ออย่างเปิดเผยก็ได้ เพราะส่วนใหญ่คนเหล่านี้ไม่มีประวัติอาชญากรรมที่จะห้ามเขาซื้ออาวุธ ตามการวิเคราะห์จากการวางแผนของบุคคลพวกนี้นั้น ผู้เชี่ยวชาญสรุปจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นไว้ถึง 5 ขั้นตอน คือ

1. ขั้นจินตนาการ (Fantasy Stage) โดยมีการแสดงออกชัดเจนด้วยคำพูดน้อยเนื้อต่ำใจ เจ็บแค้น อาจถูกครูหรือนายจ้างลงโทษ การวาดรูปแสดงความรู้สึก แล้วเข้าโพสต์ตามโซเชียลมีเดียต่างๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจ ถ้าทางการรู้ในขั้นนี้ ก็สามารถช่วยเขาได้ เพราะยังไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ยังพอจะเยียวยาได้ ผู้ปกครอง ญาติๆ ควรจะสนใจคนของเราว่า มีความประพฤติที่แปลกกว่าคนทั่วๆไปหรือไม่ ต่อต้านอะไรหรือเปล่า แล้วรีบแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เขาช่วยเหลือในเบื้องต้น

2. ขั้นเตรียมแผน (Planning Stage) ผู้หลงผิดได้ตัดสินใจว่าจะเลือกเป้าหมายที่ไหน เมื่อไร และต้องมีการประสานงากับใครอย่างไรให้เกิดผลเสียหาย คือมีคนตายมากที่สุด โดยจะค้นคว้าข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต จากหนังสือตามห้องสมุด เขียนแผนไว้เรียบร้อย ในขั้นนี้ถ้าได้รับการแจ้งเบาะแส ตำรวจจะต้องเข้าดำเนินการทันที อาจจะส่งโรงพยาบาลจิตเวช เพื่อการบำบัดจากจิตแพทย์ เป็นต้น ซึ่งโอกาสที่จะหยุดการฆ่าหมู่ก็ยังทำได้อยู่

3. ขั้นเตรียมความพร้อม (Preparation Stage) ผู้ก่อการจะหาอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นในการปฏิบัติการโหดนี้ มีอาวุธปืน กระสุน ระเบิด เสื้อเกราะกันกระสุน ที่จัดซื้อจัดหามาเรียบร้อย เพื่อให้การปฏิบัติการในวันจริงเป็นผลสำเร็จ มีการไปฝึกซ้อมยิงปืน ทดลองระเบิดเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า เขาต้องทำได้ ในขั้นนี้อาจจะบอกเพื่อนแบบอ้อมๆ ให้อยู่ห่างๆ หน่อย พวกพ่อค้าขายปืน กระสุน พ่อค้าขายวัสดุทำระเบิดก็เช่นกัน ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบหากมีการซื้อการขายอย่างผิดปกติ ขั้นนี้เป็นขั้นสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่จะสามารถระงับการ ก่อนจะถึงขั้นปฏิบัติการหรือโศกนาฏกรรม

4. ขั้นซ้อมใหญ่ (Approach Stage) เป็นขั้นอันตราย คือผู้ก่อการมีอาวุธ อุปกรณ์เพื่อใช้ในการปฏิบัติการแล้ว อาจจะเข้าไปดูสถานที่ เหยื่อที่เขาตั้งใจจะฆ่าหมู่ ซึ่งบางกรณี เจ้าหน้าที่อาจจะโชคดีถ้ามีคนแจ้งในขั้นนี้ หรือเจ้าหน้าที่พบเห็นเจอเอง เพราะผู้ก่อการทำผิดกฎจราจร โดนหยุดตรวจแล้วก็เจอหลักฐานที่เป็นอาวุธในรถ ซึ่งเป็นโอกาสสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่สามารถหยุดผู้จะก่อการ ก่อนที่เขาจะลงมือปฏิบัติการจริง

5. ขั้นปฏิบัติการ (Implementation Stage) ผู้ก่อการจะเข้าจุดเป้าหมายตามแผนที่วางไว้อย่างรวดเร็ว ปฏิบัติการยิงให้มากที่สุด มีคนตาย และบาดเจ็บเป็นจำนวนมากในขั้นนี้ ซึ่งหลังเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเหตุแล้ว ก็ต้องรีบไปถึงสถานที่เกิดเหตุ และเข้าประจันหน้ากับผู้ก่อการทันที แต่บ่อยครั้งมันก็สายเกินไป เพราะผู้ก่อการร้ายอาจฆ่าตัวตาย หรือหนีออกจากที่เกิดเหตุไปทำความเสียหายที่อื่นต่อแล้ว หรือไม่ก็หนีไปกบดาลและหายเข้ากลีบเมฆไปเลย

สิ่งที่พวกเราจะต้องเตรียมพร้อมก็คือ การฝึกฝน เรียนรู้ทางหนีทีไล่และมีสติ ในการเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านี้ เพราะเมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้ว สติและประสบการณ์จากการฝึกอบรมมาเท่านั้น ที่จะนำคุณให้รอดภัยจากผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ ในเมื่อผู้ก่อการมีการวางแผนตามขั้นตอนเป็นอย่างดี พวกเราก็ควรมีแผนการที่จะมารองรับด้วยนะครับ ขอแนะนำดังนี้

3 สิ่งที่คุณควรทำถ้าเจอเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิด จากการได้ยินเสียงปืน คนหวีดร้องไห้โฮ คนวิ่งกันอย่างโกลาหล พึงคิดไว้ว่าน่าจะมีคนร้ายบุกเข้ามากระหน่ำยิง (Active Shooting) ฉะนั้นหลังจากที่ตั้งสติได้แล้ว

1. Run : วิ่ง หนีให้เร็วที่สุด ไม่ต้องเป็นห่วงของติดตัวใดๆ ทั้งสิ้น วิ่งไปที่ทางออก ลงบันได คือพาตัวเองให้ออกจากสถานที่ที่กำลังเกิดเหตุร้ายนี้ ช่วยเหลือคนอื่นถ้าคุณสามารถช่วยได้ เมื่อออกจากสถานที่แล้ว ห้ามไม่ให้คนอื่นๆ เข้าไปในตึกที่เกิดเหตุ รีบโทรแจ้ง 911 บอกตำรวจว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ไหน คนร้ายอยู่ตรงไหน มีกี่คน รูปพรรณสัณฐานของคนร้ายหากรู้ เป็นต้น ถ้าในกรณีที่วิ่งหนีไม่ได้ก็ต้องทำตามข้อ 2

2. Hide : ซ่อนตัว ในสถานที่ที่คิดว่าผู้ร้ายจะเข้าถึงไม่ได้โดยเร็ว และทำให้เงียบที่สุด ปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ ปิดไฟ นำวัตถุเช่น โต๊ะ หรือสิ่งของใหญ่ๆ มากั้นประตูทางเข้าไว้ อย่างไรก็ดี ถ้ายังหนีไม่พ้นแน่จากข้อ 1 และ 2 ก็ต้องสู้กันในข้อ 3

3. Fight : ต่อสู้ เป็นวิธีสุดท้าย และคิดแล้วว่า ถ้าไม่สู้ก็คงต้องถูกฆ่าตายหมู่ ให้เรียกคนมารวมกลุ่มกัน เตรียมพร้อมว่าถ้าผู้ร้ายบุกเข้ามาในห้องแล้ว มีอะไรที่จะสามารถใช้เป็นอาวุธได้ เช่น เก้าอี้ เข็มขัด เครื่องฉีดดับเพลิง เลือกคนที่แข็งแรงที่จะอาสาเข้าปะทะ ประกบผู้ก่อการร้าย และทุกคนก็ต้องรุมสกรัม มิฉะนั้นก็ต้องตายกันหมด

สุดท้ายนะครับ จำไว้ว่า การเกิดเหตุลักษณะการยิงสังหารหมู่จะเกิดขึ้นอีกแน่นอน เพียงแต่ที่ไหน และเมื่อไรเท่านั้น มันจะไม่เลือกว่าเหยื่อจะเป็นคนสีอะไร ศาสนาอะไร และที่ใด ให้ถามตัวเองว่าเราพร้อมที่จะรับมือหรือยัง!

ผมขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านคอลัมน์หลายๆ ท่านที่เข้ามาทักทาย เมื่อพบเจอกันนะครับ ขอบพระคุณกับคำชมเชย คำแนะนำ และกำลังใจที่ให้กับผม ซึ่งมันมีความหมาย และคุณค่าสำหรับผมมากนะครับ


โชคดีครับ
คิด ฉัตรประภาชัย