Special Scoop
ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ตอบคำถามเกี่ยวกับโควิด-19 และเรื่องเกี่ยวกับเด็ก

ตามนโยบาย “สัปดาห์แห่งการปฏิบัติ” ของกระทรวงสาธารณสุขแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย Ethnic Media Service ได้เชิญแพทย์ในรัฐ ฯ มาร่วมบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเด็กให้ผู้สื่อข่าวหลากหลายเชื้อชาติได้นำเอาความรู้ไปเผยแพร่ต่อสาธารณชนในหลายภาษา

วิทยากรรับเชิญ ได้แก่ ดร. ปริยา โซนิ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคติดเชื้อในเด็ก จาก Cedars-Sinai Medical Center ดร. มานิชา นิวาสการ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอดจาก Stanford Children’s Health ดร. โฮเซ หลุยส์ เปเรซ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จาก South Central Family Health Center และ เดวิด โรมัน ผู้อำนวยการแผนกการพัฒนาและสื่อสาร จาก South Central Family Health ซึ่งมาเป็นตัวแทนของผู้ปกครอง

1. ขณะนี้มีการเพิ่มจำนวนของเคสผู้ป่วยเด็กมากขึ้นอย่างฉับพลัน มีเด็กจำนวนมากกว่า 10 ล้านคนตรวจพบเชื้อโควิด -19 ซึ่งถือเป็นจำนวน 5% ของผู้ที่อยู่ในโรงพยาบาลและ 2% ของผู้เสียชีวิต เหตุนี้เกิดจากอะไร

ดร. โซนิ: การที่มีจำนวนของผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างกระทันหันเพราะไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนมีการแพร่กระจายได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดลต้า เมื่อคนในครอบครัวติดกันมากขึ้นกว่า 2 เท่าก็ทำให้เด็กพลอยติดไปด้วย และช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงเทศกาลวันหยุดที่คนมาอยู่ด้วยกัน รวมทั้งเราจะต้องเข้าใจว่าปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลทำให้เพิ่มจำนวนก็สนับสนุนจำนวนของเคสในเด็กให้เพิ่มขึ้นเช่นกัน

2. หากเด็กตรวจพบเป็นโควิด-19 สัญญาณอาการที่ผู้ปกครองจะต้องรีบพาไปพบแพทย์มีอย่างไรบ้าง และจากประสบการณ์ในฐานะกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอดกรณีที่ร้ายแรงสุดเป็นอย่างไร

ดร. นิวาสการ์: อาการของผู้ป่วยโควิด-19 มีตั้งแต่เบาไปจนถึงหนักมาก โดยทั่วไปเริ่มหลังจาก 14 วันที่ได้รับเชื้อไวรัส อาการทั่วไปได้แก่ มีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ แน่นจมูก น้ำมูกไหล ปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอ อ่อนเพลีย บางคนอาจมีอาการสูญเสียการรับรสและได้กลิ่น รวมทั้งอาจมีอาการวิงเวียน อาเจียน ท้องเสีย เป็นต้น

ส่วนอาการที่จะต้องพบแพทย์ทันทีได้แก่ วิงเวียน เจ็บหน้าอก หายใจขัด ปวดท้องอย่างรุนแรง สับสน ง่วงนอนอย่างมาก หากเด็กพบว่ามีอาการเขียวบนใบหน้าและปาก ควรพาไปพบแพทย์ทันที

เด็กส่วนใหญ่มีอาการเบาและสามารถฟื้นฟูได้ด้วยตัวเอง แต่เด็กหลายคนมีอาการหนักถึงต้องเข้าโรงพยาบาลซึ่งจะเป็นกลุ่มเด็กที่มีภาวะโรคอื่นอยู่ แต่ก็มีเด็กบางคนที่สุขภาพแข็งแรงสามารถเจ็บป่วยอย่างรุนแรงได้เช่นกัน หลายคนมีภาวะอักเสบของอวัยวะภายในอื่น ๆ พร้อมกัน ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่ต้องเข้าเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล เราพบเด็กที่มีภาวะปอดบวมและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ มีภาวะการล้มเหลวของอวัยวะในร่างกาย จนถึงเสียชีวิต

3. ผลกระทบของครอบครัวเมื่อเด็กเป็นโควิด-19 ทั้งกลุ่มที่ต้องแยกกักตัวและกลุ่มที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ได้พบผู้ปกครองที่ไม่อยากจะนำบุตรเข้ารับการรักษาหรือไม่

ดร.เปเรซ: ในศูนย์ ฯ ของเราผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเชื้อสายลาติโน ผู้ที่พูดภาษาสแปนิช ผู้ปกครองส่วนใหญ่ทำงานก่อสร้าง ร้านอาหารซึ่งไม่สามารถหยุดงานได้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงไม่ได้พาบุตรมารับการรักษา แต่เราก็มีหลายเคสที่เข้ามาประมาณ 20-30 รายต่อสัปดาห์ ส่วนใหญ่มีอาการไม่หนัก มีอาการแค่ไอและน้ำมูกไหล แต่ก็มีบางรายที่มีอาการปวดท้องและอาเจียนโดยเฉพาะเด็กที่มีอายุน้อย เราให้เด็กกลับไปอยู่กับครอบครัวและใช้การติดตามภาวะสุขภาพทางไกล จนถึงขณะนี้ยังไม่มีเด็กคนไหนที่เสียชีวิต แต่อย่างไรก็ตามเรื่องเหล่านี้ก็ทำให้ผู้ปกครองต้องแบกรับภาระในการดูแลเด็กป่วยที่บ้านอย่างมาก ทางศูนย์ ฯ ก็มีการช่วยเหลือครอบครัวเรื่องภาวะสุขภาพจิตในช่วงไวรัสระบาดนี้

ในผู้ป่วยที่มีอาการเบาและปานกลางก็คล้ายกับการไอและภาวะติดเชื้อทางเดินลมหายใจทั่วไป ก็ให้ยาแก้ไข้ แนะนำให้ดื่มน้ำมาก และให้เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าหากเด็กมีอาการหายใจสั้น หายใจขัดก็ให้พาไปส่งห้องฉุกเฉินทันที

4. ประสบการณ์ในการเป็นพ่อแม่ซึ่งลูกอายุ 13 เดือนไปสถานเลี้ยงเด็ก เป็นอย่างไร

มร. โรมัน: เพราะลูกไม่สามารถได้รับวัคซีนได้ในขณะนี้แม้เราจะอยากให้ลูกได้รับวัคซีนทำให้เราเป็นห่วงลูกมาก การนำลูกไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกคนได้รับวัคซีนกันหมดจึงถือว่าเป็นเรื่องที่ปลอดภัย เราอยู่ใน South LA พ่อแม่ในบริเวณนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องพาลูกไปอยู่ เพราะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีไม่สามารถได้รับวัคซีนได้

5. ขณะนี้มีเด็กแค่ 18% ที่มีคุณสมบัติสามารถได้รับวัคซีนมาฉีดวัคซีนไปแล้ว จะมีแนวทางอย่างไรให้เด็กได้รับวัคซีนมากขึ้น

ดร.เปเรซ: คนมักจะห่วงว่าจะปลอดภัยไหมในการฉีดวัคซีน เนื่องจากข้อมูลในโซเชี่ยลมีเดีย ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือให้ความรู้ไปยังชุมชน นักวิทยาศาสตร์ผู้ผลิตวัคซีนได้ใช้ความรู้อย่างดีที่สุดในการทำให้วัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

ดร.โซนิ: เห็นด้วยกับดร.เปเรซ เราจะต้องให้ข้อมูลความเป็นจริงกับพ่อแม่ แต่เราก็รู้ว่าจะมีเพียง 1/3 ของพ่อแม่ที่เห็นด้วย ส่วนหนึ่งก็จะไม่เห็นด้วย และมีอีกส่วนที่ยังไม่แน่ใจ ดังนั้นเราก็ต้องใช้วิทยาศาสตร์มาอธิบาย ขณะนี้เราประสบความสำเร็จในการฉีดวัคซีนในกลุ่ม 5-12 ปี ซึ่งพบว่าไม่มีปัญหาในเรื่องผลข้างเคียงเลย แน่นอนว่าเราไม่สามารถจะการันตีได้ว่าจะไม่มีผลข้างเคียงเลย ดังนั้นผู้ปกครองก็จะต้องใช้ข้อมูลผลดีและผลเสียในการตัดสินใจ

ดร.นิวาสการ์: พ่อแม่ส่วนใหญ่ห่วงเรื่องความปลอดภัย ว่าจะไม่ทำให้เกิดผลกับสุขภาพภายหลัง แต่อย่างที่ทราบว่าวัคซีนมีความปลอดภัย เด็กหลายล้านคนที่ฉีดวัคซีนไป มีเพียงจำนวนน้อยมากที่เกิดผลข้างเคียงอย่างรุนแรง

ดร. เปเรซ: ในกรณีพ่อแม่ที่ไม่มีเวลา ยิ่งทำให้ลำบากที่ให้เด็กฉีดวัคซีน เพราะว่าในการฉีดวัคซีนใช้เวลาในการถามข้อมูล ฯลฯ หลายคนก็อยู่ไกล หลายคนก็เดินทางด้วยรถสาธารณะ ดังนั้นถ้าเขาไม่ได้ทำงาน ไม่มีเงิน ก็ยิ่งยากที่จะพาลูกมาฉีดวัคซีน

มร.โรมัน: คิดว่าเราให้ความรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือพ่อแม่ไปฟังคนที่อ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นเราจึงต้องสนับสนุนให้พวกเขาเชื่อผู้ที่มีความรู้จริง และใช้ผู้ที่ชุมชนเชื่อถือ เช่น ผู้นำทางศาสนา ดารา ฯลฯ เป็นผู้ที่กระจายข้อมูลกับชุมชน

6. ระบบโรงเรียนในรัฐแคลิฟอร์เนียนับเป็น 12% ของรร.ทั้งประเทศ แต่มีเพียง 1% ของประเทศที่ปิดโรงเรียน เราจะทำอย่างไรให้โรงเรียนเป็นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก

ดร.โซนิ: สภาพมันเปลี่ยนแปลงไปมาก เราจะต้องบอกให้พ่อแม่ใส่หน้ากากให้เด็ก ฉีดวัคซีนเด็กในวัย 5-12 ปี และเฝ้าระวัง ซึ่งที่ผ่านมาวิธีดังกล่าวก็สามารถคุมจำนวนของเคสที่ป่วย และเคสในโรงพยาบาลได้ดี

7. หลายแห่งได้ยกเลิกการใส่หน้ากากในหลายเคาน์ตี้ เราจะให้เด็กกลับมาอยู่อย่างปลอดภัยโดยไม่มีหน้ากากได้อย่างไร

ดร. นิวาสการ์: การที่รักษาความสะอาดเป็นเรื่องสำคัญ และการใส่หน้ากากก็เป็นเรื่องสำคัญด้วยจนกว่าเด็กจะได้รับวัคซีนในจำนวนที่มากกว่านี้

ดร.เปเรซ: เนื่องจากไวรัสแพร่กระจายทางน้ำลาย ถ้าเราเอาหน้ากากออกไปก็จะทำให้มีคนป่วยมากขึ้น โชคดีที่เรามีคนฉีดวัคซีนมากขึ้นทำให้อาการไม่รุนแรงเหมือนก่อน ดังนั้นการเอาหน้ากากออกไปก็ต้องทำใจว่าจะมีคนติดเชื้อมากขึ้นแน่นอน แต่ด้วยการรักษาพยาบาลและวัคซีนทำให้ผู้ป่วยมากและเสียชีวิตน้อยลง

มร. โรมัน : เห็นด้วยว่าเราจะต้องป้องกันลูกเหมือนแพทย์กล่าว แต่ที่สถานเลี้ยงเด็กก็จะมีการพูดคุยกับทุกคนถึงความสำคัญของการป้องกัน การรักษาความสะอาด การใส่หน้ากาก เพื่อปกป้องเด็ก

8. ขณะนี้ไฟเซอร์และองค์การอาหารและยาได้เลื่อนการฉีดวัคซีนให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มีความเห็นว่าอย่างไร

ดร.โซนิ: เห็นด้วยว่าควรจะให้แน่ใจว่าใช้ได้ดีแน่นอนดีกว่าเร่ง ขณะนี้กำลังพิจารณาเรื่องของปริมาณโดสที่จะฉีดให้กับเด็กอ่อน

ดร.นิวาสการ์: ขณะนี้กำลังศึกษาหาข้อมูลอย่างมากถึงประสิทธิภาพของวัคซีนต่อภูมิคุ้มกันของเด็ก

ดร.เปเรซ: คิดว่าเป็นเรื่องดีในการที่รอ นักวิทยาศาสตร์ต้องใช้เวลาให้แน่ใจก่อน และเราจะต้องใช้วิทยาศาสตร์นำทุกเรื่องในการตัดสินเรื่องที่เกี่ยวกับไวรัส


เรื่อง: วลัยพรรณ เกษทอง ผู้เขียน