Special Scoop



จับตาศึกวัดไทยแอลเอ บอร์ดวัดVSคนวัดไทย

วัดไทยลอสแองเจลิสกำลังถูกทำลายจากคณะบอร์ดของวัดไทยเอง แต่อุบาสกอุบาสิกาผู้ทนุบำรุงวัดไทยแห่งนี้มากว่า 40 ปี ลุกขึ้นประกาศความเป็นเจ้าของและจะปกป้องมิให้วัดพุทธแห่งนี้ถูกฉุดให้ล่มสลายไปตามเล่ห์ร้ายและความประสงค์เลวของคณะบอร์ดที่จนถึงที่สุด

วัดไทยลอสแองเจลิส ดูจากเปลือกนอก สวยสดุดตา งามสง่าน่าเลื่อมใสเป็นพุทธศาสนสถานสำคัญที่พุทธศาสนิกชนต่างหลั่งไหลเดินทางมาทำบุญ ปฏิบัติศาสนกิจกันอย่างล้นหลาม แต่เบื้องลึกและเบื้องหลังที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นอยู่ในปัจจุบันก็คือวัดไทยแห่งนี้กำลังถูกบ่อนเซาะ และถูกกัดกร่อนจากภายในจนถึงขั้นไม่อาจคงความเป็นพุทธศาสนสถานให้พุทธศาสนิกชนได้ปฏิบัติศาสนากิจกันได้อีกต่อไปในอนาคตอันใกล้ หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเงียบๆและอย่างรวดเร็ว จากการบริหารงานที่ผิดพลาดของคณะบอร์ดวัดไทยในปัจจุบันที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในตำแหน่งกรรมการบอร์ดมากันคนละ 30-40 ปี

เรื่องสำคัญที่เจ้าหน้าที่รัฐสามารถยึดใบอนุญาติการเป็น non profit organization ของวัดไทยให้ยุติการดำเนินการได้ทันทีก็คือ :

1.การที่กรรมการบอร์ดบางท่านให้ญาติพี่น้องมาเป็นนายหน้าขายที่ดินให้วัด เป็นความผิดในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างร้ายแรง เนื่องจากนายหน้าขายที่ดินย่อมมุ่งหวังผลประโยชน์ของตนเองและผลประโยชน์ของเจ้าของที่ดินเป็นสำคัญ มากกว่าผลประโยชน์ของวัดไทยที่เป็น non profit organization แต่นายหน้ากลับได้รับการสนับสนุนจากกรรมการบอร์ด

2. การบริหารจัดการเรื่องการเงินและบัญชีรายรับรายจ่ายของวัดไทยที่เหลวแหลกฟุ่มเฟือยโดยไม่มีที่มาที่ไป หากรู้ไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐผู้รับผิดชอบด้าน non profit organization วัดไทยแอลเอแห่งนี้จะต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นจนถึงขั้นถูกยึดใบอนุญาติและอาจถูกสั่งให้ยุติการเป็นศาสนสถานตาม ข้อบังคับมาตรา 105 (c) (3) ทันที

3. ธรรมนูญหรือ by law ของวัดไทยไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการตั้งแต่สร้างวัดไทยแอลเอมากว่า 40 ปี ซึ่งตามข้อบังคับของ non profit organization ตามมาตรา105(c) (3) ระบุให้ทุกองค์กรที่จดทะเบียนเป็น non profit organization ต้องระบุจำนวนสมาชิกขององค์กรว่ามีเท่าใดและกรรมการของบอร์ดมีกรรมการกี่ท่านและมีวาระอยู่ในตำแหน่งครั้งละกี่ปี

ธรรมนูญ หรือ bylaw ใหม่ของวัดไทยในฐานะ non profit organization ขัดกับข้อบังคับของมาตรา 105 (c) (3) ตลอดมา โดยธรรมนูญ non profit organization ของวัดไทยแอลเอระบุว่า non profit organization แห่งนี้ไม่มีสมาชิกและไม่กำหนดวาระว่ากรรมการบอร์ดจะดำรงตำแหน่งอยู่ในตำแหน่งวาระละกี่ปี นอกกำหนดว่าสมาชิกภาพของกรรมบอร์ดสิ้นสุดลงเมื่อลาออกหรือถูกให้ออก แม้กรรมการบอร์ดที่เสียชีวิตไปแล้วก็ยังคงดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบอร์ดอยู่ได้ต่อไป เนื่องจากยังไม่ได้ลาออกและยังไม่ได้ถูกให้ออก

ในทางนิตินัยและทั้งในทางพฤตินัยวัดไทยลอสแองเจลิสเป็นกรรมสิทธิ์โดยชอบธรรมและโดยเด็ดขาดของคณะบอร์ดที่มีเพียง10 ท่านเท่านั้นได้แก่ 1. พระเทพมงคลวิเทศ เจ้าอาวาสวัดไทย 2. พระกิตติโสภณวิเทศ (พระครูเศรษฐกิจ) 3. นายอุไร เรือนพรหม 4. นายเกียรติ ประชาศรัยสรเดช 5. นายเกริกชัย ซอโสตถิกุล 6. นายพัลลภ บัวสุวรรณ 7. นายสุรพงษ์ ชิโนทัยกุล 8. นายสง่า นาดี 9. นายชวพจน์ ถุงสุวรรณ และ10. นายสุรพล เมฆพงษ์สาธร ที่ได้ลาออกจากตำแหน่งไปแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน

ทั้งนี้พุทธศาสนิกชนในแอลเอที่ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างบุญด้วยจิตศรัทธาทนุบำรุงวัดไทยมาตั้งแต่ต้นไม่มีสิทธิในการเป็นเจ้าของวัดไทยแห่งนี้แต่ประการใดและไม่มีสิทธิแต่งตั้งหรือเสนอผู้หนึ่งผู้ใดเข้าไปเป็นตัวแทนในกรรมการบอร์ดอีกด้วยเช่นกัน

การกำหนดนโยบายบริหารงานและการดำเนินกิจกรรมทุกอย่างของวัดไทยแอลเอจึงขึ้นอยู่กับกรรมการบอร์ดทั้ง10 ท่านดังกล่าวข้างต้นเท่านั้นโดยใช้เสียง 6 ใน 10 เสียงเป็นเสียงชี้ขาดในการลงมติทุกเรื่อง แม้แต่องค์ประชุมก็ต้องมีอย่างน้อย 6 คนจึงจะถือว่าครบองค์ประชุม สามารถดำเนินการประชุมและลงมติในเรื่องใดๆได้ ผู้คุมเสียงข้างมากในกรรมการบอร์ดวัดไทยได้แก่นายเกริกชัย ซอโสตถิกุล สมาชิกของตระกุล "ซอโสตถอกุล" ผู้บริจาคที่ดินประมาณ 2 เอเคอร์ให้ใช้เป็นสถานที่ตั้งของวัดไทยเมื่อ 43 ก่อน

เสียงข้างมากที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนายเกริกชัย ซอโสตถิกุล ได้แก่1. นายสุรพล เมฆพงษ์สาธร 2. นายสง่า นาดี 3. นายสุรพงษ์ โชนิทัยกุล 4. นายชวพจน์ ถุงสุวรรณ 5. นายเกียรติ ประชาศรัยสรเดช และ 6. นายพัลลภ บัวสุวรรณ ทั้งนี้ถ้ารวมเสียงของนายเกริกชัย ซอโสตถิกุลเข้าไปด้วยแล้ว จะมีเสียงข้างมากที่สามารถชี้ขาดในทุกเรื่องได้ถึง 7 เสียงโดยอีก 2 เสียงได้แก่ 1. เสียงจากพระเทพมงคลวิเทศ เจ้าอาวาสวัดไทยและ 2. เสียงจากนายอุไร เรือนพรหมซึ่งตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของวัดไทยเป็นสำคัญเสมอมา จึงกลายเป็นฝ่านค้านเสียงข้างน้อยที่มักจะออกเสียงสวนกระแสกับมติของเสียงข้างมาก ในการลงมติเรื่องสำคัญๆในการบริหารกิจการของวัดไทยแอลเอ สำหรับเสียงสุดท้ายคือเสียงจากพระกิตติโสภณวิเทศ (หรือพระครูเศาษฐกิจ) นั้นขึ้นอยู่กับว่าคลื่นลมแรงจะพัดไปในทิศทางใด

เพียง 7 ท่านดังกล่าวข้างต้นเท่านั้นที่กุมชะตากรรมของวัดไทยลอสแองเจลิส แต่พุทธศาสนิกชนในแอลเอผู้บริจาคปัจจัยและทุนทรัพย์นับล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสร้างถาวรวัตถุ เพื่อซื้อที่ดินขยายธรณีสงฆ์ให้ใหญ่โตกว้างขวาง และยังร่วมแรงศรัทธาบริจาคปัจจัยนับล้านเหรียญเพื่อเลี้ยงดูพระภิกษุสามเณรและแบกรับภาระค่าใช้จ่ายต่างๆของวัดไทยแอลเอตลอดมากว่า 40 ปี กลับไม่มีสิทธิใดๆในการบริหารจัดการเรื่องของวัดไทยเนื่องจากไม่ใช่เจ้าของวัด

ความเหลวแหลกจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของกรรมการบอร์ดวัดไทยแอลเอที่เคยเก็บเงียบเป็นความลับตลอดมาได้ถูกกล่าวถึงเพียงด้านเดียวในระยะ 2 เดือนที่ผ่านมาหลังจากที่นายสุรพล เมฆพงษ์สาธรได้ประการลาออกจากตำแหน่งกรรมบอร์ดวัดไทยแล้วไประยะหนึ่งด้วยจุดประสงค์เพื่อเขี่ยเจ้าอาวาสวัดไทยให้พ้นไปจากเส้นทาง โดยใช้สื่อมวลชนไทยในแอลเอเป็นเครื่องมือประโคมข่าวรณรงค์ให้ปลดพระเทพมงคลวิเทศออกจากตำแหน่งด้วยข้อกล่าวหาว่า"ยกวัดไทย" ให้กับวัดพระเชตุพนวิมนมังคลารามหรือวัดโพธิ์

จากการรณรงค์ให้ปลดเจ้าอาวาสวัดไทยดังกล่าว นายสุรพล เมฆพงษ์สาธรหวังว่าตนจะได้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการบอร์ดวัดไทยอีกครั้งหนึ่งด้วยเสียงข้างมาก จากการแต่งตั้งของคณะกรรมการบอร์ดวัดไทย ทั้งๆที่ตนได้ประกาศลาออกไปแล้วหลายครั้ง ทั้งด้วยวาจาและด้วยจดหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและด้วยการยืนยันการลาออกของตนต่อหน้าสื่อมวลชนไทยในแอลเอ แต่ใจจริงแล้วนายสุรพล เมฆพงษ์สาธร ต้องการกลับเข้ามาเป็นกรรมบอร์ดวัดไทยอย่างมากถึงขั้นเอ่ยกับผู้ใกล้ชิดว่า "ถ้าหากตนไม่ได้รับแต่งตั้งให้กลับเข้าไปเป็นกรรมบอร์ดอีกครั้ง วัดไทยแอลเอจะต้องล้มละลายภายในสองปี"

เรื่องราวการรณรงค์ปลดพระเทพมงคลวิเทศออกจากตำแหน่งมิใช่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนสองเดือนที่ผ่านมา แต่ได้มีการดำเนินงานกันเป็นขั้นเป็นตอนมาเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนหน้านั้นแแล้ว เนื่องจากพระเทพมงคลวิเทศมักจะขัดขวางความประสงค์ของคณะบอร์ดในการนำพาวัดไทยไปในทิศทางที่ไม่ก่อประโยชน์แก่วัดไทย นั่นคือในการประชุมบอร์ดประจำปีของวัดไทยที่กรุงเทพมหานครครั้งหนึ่ง นายเกริกชัย ซอโสตถิกุลถึงกับเสนอ"ให้พักงานเจ้าอาวาสวัดไทย" และให้ "นายสุรพล เมฆพงษ์สาธร" ซึ่งเป็น "ฆราวาส" เป็นผู้ "รักษาการเจ้าอาวาสวัดไทย" แทนพระเทพมงคลวิเทศ

การแต่งตั้ง "ฆราวาสให้รักษาการเจ้าอาวาสวัดไทย" เป็นมติที่อัปมงคลอย่างยิ่งที่พุทธศาสนิกชนรับไม่ได้ นางสาววิจิตรา กาญจนทัพพะ ผู้จดบันทึกการประชุม จึงไม่กล้ารายงานหรือเอ่ยถึงมติของที่ประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้ในรายงานการประชุมแต่อย่างใด อีกทั้งผู้ที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนั้นต่างปิดปากเงียบสนิท แต่แปลกที่นายสุรพล เมฆพงษ์สาธรกลับไม่ปฏิเสธมติอัปยศที่คณะบอร์ดได้มีมติแต่งตั้งตนให้ "รักษาการเจ้าอาวาส" แทนพระเทพมงคลวิเทศแต่อย่างใด (หากสาระและเนื้อหาในวรรคนี้ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้ง"นายสุรพล เมฆพงษ์สาธร" ให้เป็น "ผู้รักษาการเจ้าอาวาส" แทนพระเทพมงคลวิเทศ ไม่เป็นความจริงขอให้เลขาธิการบอร์ดและผู้ร่วมประชุมในวันนั้นรวมทั้งนางสาววิจิตรา กาญจนทัพพะด้วย จงก้าวออกมาบอกความจริงให้สังคมไทยในแอลเอได้รับรู้ด้วย)

การปิดตลาดวัดไทยก็เป็นมติของบอร์ดแต่บอร์ดกลับโกหกประชาชนว่าซีตี้สั่งให้ปิด การทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินก็ไปจ้าง"ทะแนะ" ด้วยค่าชั่วโมงที่สูงกว่าค่าจ้างทนายความเพื่อเปิดตลาดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเป็นเหตุให้สูญเสียเงินค่าจ้างจำนวนมากไปโดยเปล่าประโยชน์

ผิดกับวัดไทยโดยพระและเจ้าหน้าที่วัดที่ดำเนินเรื่องขอเปิดตลาดด้วยตนเองกลับไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด จนการดำเนินเรื่องขอเปิดตลาดวัดสำเร็จสำเสร็จและตลาดวัดไทยจะกลับมาคึกคักเหมือนเดิมหรืออาจจะคึกคักมากกว่าเดิมอีกครั้งในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการ การจัดระเบียบและการจัดแบ่งผลประโยชน์กันระหว่างวัดกับผู้ขาย

จากข่าววัดไทยที่ถูกทำให้อื้อฉาวอย่างเป็นขบวนการ จนเป็นข่าวดังในอินเตอร์เนต ทำให้พุทธศาสนิกชนในแอลเอและผู้รักวัดไทยไม่สบายใจและเกิดความเป็นห่วงจนวัดไทยต้องจัดประชุมแถลง "ความจริง" เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ 4 เมษายน 2558 ถึงที่ไปที่มาของข่าวอื้อฉาวนั้น

แต่การแถลงข่าวในวันนั้นยังไม่สามารถดับความทุกข์และความห่วงใยของพุทธศาสนิกชนไทยในนครลอสแองเจลิสลงได้ วัดไทยลอสแองเจลิส จึงจำเป็นต้องจัดการประชุมขึ้นอีกครั้งเมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2558 ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ พุทธศาสนิกชนในนครลอสแองเจลิสได้ประการความเป็นเจ้าของโดยชอบธรรมของวัดไทยลอสแองเจลิสและประกาศขอเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของวัดไทยแห่งนี้ด้วยตนเองโดยจะร่วมกันรณรงค์ "ขอมติมหาชน" ผลักดันให้ นายบุญเลิศ บุญศุขะ เป็นตัวแทนเข้าไปเป็นกรรมการบอร์ดวัดไทย

การบริจาคที่ดินประมาณ 2 เอเคอร์เมื่อ 43 ปีก่อนของ"ตระกูลซอโสตถิกูล" ถือว่า "ตระกูลซอโสตถิกูล" ได้ประกาศยกกรรมสิทธิ์การถือครองให้กับผู้รับคือวัดไทยลอสแองเจลิสไปเรียบร้อยแล้ว การยึดติดกับการบริจาคที่ดินจนยกตนขึ้นเป็นผู้คุมเสียงข้างมากในบอร์ดวัดไทยมีอิทธิพลบารมีมากจนสามารถสั่งให้กรรมการบอร์ดซ้ายหันหรือขวาหันตามความต้องการของตนจึงเป็นเรื่องไม่สมควร ที่พุทธศาสนิกไทยในแอลเอจะต้องกัดฟันทนอีกต่อไป

พุทธศาสนิกชนไทยในแอลเอต่างรู้กันเป็นอย่างดีแล้วว่าคณะบอร์ดวัดไทยได้จัดให้มีการเขียนธรรมนูญหรือ by law ของวัดไทยเพื่อปิดประตูไว้หมดทุกช่องทาง สำหรับกีดกั้นคนนอกที่ไม่ใช้พรรคพวกของตน หรือบุคคลที่ไม่ยอมเป็นคนของตนเข้าไปนั่งเป็นกรรมการบอร์ดวัดไทยอย่างเด็ดขาด

ทางออกซึ่งเหลืออยู่ทางเดียวที่พุทธศาสนิกชนไทยในนครลอสแองเจลิสสามารถตั้งตัวแทนของตนให้เข้าไปเป็นสมาชิกบอร์ดได้ก็คือการทำผ่าน"มติมหาชน" ของคนไทยในนครลอสแองเจลิส อย่างไรก็ตามถ้าการดำเนินการโดยผ่าน "มติมหาชน" ไม่ได้ผล ผู้รู้ท่านหนึ่งซึ่งเคยเป็นลูกจ้างของรัฐบาลอเมริกันมีความรู้เกี่ยวกับ non profit organization เป็นอย่างดีเสนอให้ทำเรื่องถึงหน่วยงานที่ควบคุมกิจการของ non profit organization เพื่อขอเปลี่ยนแปลงทั้งกรรมการบอร์ดและ by law ได้เนื่องจากพุทธศาสนิกชนไทยในแอลเอคือผู้ทนุบำรุงวัดไทยตัวจริง เป็นสมาชิกในชุมชนไทยผู้ให้การสนับสนุน non profit organization แห่งนี้จริง และเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับผลได้ผลเสียของ non profit organization วัดไทยจริง

อนาคตของวัดไทยจะเป็นเช่นไร อนาคตของบอร์ดวัดไทยจะเป็นเช่นไร ความต้องการของพุทธศาสนิกชนไทยในแอลเอจะบรรลุผลหรือไม่ ล้วน

เป็นข่าวสำคัญยิ่งของชุมชนไทยในแอลเอ ที่สื่อมวลชนไทยอย่าง นสพ.ไทยแอลเอ จะติดตามรายงานให้ผู้อ่านได้รับรู้ และรับทราบทุกระยะและทุกขั้นตอนในโอกาสต่อไป


ด่วน! คนวัดไทยแอลเอได้เฮ บอร์ดลาออกยกแก๊ง 6 คน

คณะบอร์ดวัดไทยลาออกยกแก๊ง 6 คน เป็นผลให้วัดไทยแอลเอ กลายเป็นวัดของพุทธศาสนิกชนไทยในนครลอสแองเจลิสอย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องฝากชะตากรรมของวัดไว้กับการชี้นำของคณะกรรมการบอร์ดเสียงข้างมากจากประเทศไทยอีกต่อไป

จากรายงานข่าว กรรมการบอร์ดวัดไทยทั้ง 6 ท่านที่ลาออกประกอบด้วย 1. นายเกริกชัย ซอโสตถิกุล 2. นายเกียรติ ประชาศรัยสรเดช 3. นายพัลลภ บัวสุวรรณ 4. นายสง่า นาดี 5. นายสุรพงษ์ ชิโนทัยกุล และ6. นายสุรพล เมฆพงษ์สาธร ที่ประกาศลาออกไปก่อนหน้านี้แล้ว

คณะบอร์ดที่ลาออกได้แถลงข่าวการลาออกของตนต่อสื่อมวลชนเมื่อวันศุกร์ที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ถึงการตัดสินใจลาออกจากการเป็นกรรมการบอร์ดวัดไทยลอสแองเจลิสหลังจากที่พวกตนได้ทำหน้าที่รับใช้วัดไทยลอสแองเจลิสมาหลายสิบปี

การลาออกของคณะกรรมบอร์ดทั้ง 6 ทำให้เหลือสมาชิกบอร์ดวัดไทยเพียง 4 ท่านได้แก่1. พระเทพมงคลวิเทศ เจ้าอาวาสวัดไทย 2. พระกิตติโสภณวิเทศ (หรือพระครูเศรษฐกิจ) 3. นายอุไร เรือนพรหม และ 4. นายชวพจน์ ถุงสุวรรณ เลขาธิการบอร์ด

อย่างไรก็ตาม วัดไทยลอสแองเจลิสกำลังรอจดหมาย เพื่อยืนยันการลาออกอย่างเป็นทางการอีกครั้งก่อนดำเนินการในเรื่องของการปรับปรุงคณะบอร์ดให้เป็นไปตามธรรมนูณหรือ By Law ของวัดต่อไป