Special Scoop



ความรับผิดชอบกับการมีบัตรเครดิตการ์ดที่มากเกินเหตุ!

คุณค่าของคนจะวัดกันที่อะไร" ขึ้นอยู่กับว่า เป็นค่าของคนในสายตาของใคร

ในประเทศทุน (Captilalism) และวัตถุนิยม (Materialism) อย่างในอเมริกา ค่าของคนกลับวัดกันด้วยเครดิต ใครมีเครดิตที่มีวงเงินสูงมากๆ ถือว่าเป็นคนที่น่าเชื่อถือในสายตาของนายธนาคาร หรือคนรู้จัก

โดยไม่ได้พิจารณาถึงความประพฤติ หรือการมีวินัยในการบริหารจัดการกับเงิน หรือเครดิตที่ได้รับมาเลย ในทางตรงกันข้าม ธนาคารหรือบริษัทขายสินค้าต่างๆ ก็โหมโฆษณากระหน่ำ ลด แลก แจก แถม แบบให้รีบๆ “ซื้อก่อน จ่ายหรือผ่อนทีหลัง” “Buy Now, Pay Later” ให้เราเสพทุกวี่ทุกวัน ซื้อมันทุกอย่างที่ “ON SALE” ที่ไม่จำเป็น ยิ่งพวกนักช็อปออนไลน์ มีให้ซื้อกันได้ตลอด 24 ชั่วโมงด้วย จนมีหนี้สินล้นตัว ไม่มีเงินจ่ายหนี้ ชักหน้าไม่ถึงหลัง จนในที่สุดก็ต้องเป็นบุคคลล้มละลาย เพราะทนการทวงหนี้จากสารพัดเจ้า หนี้ไม่ไหว หมดโอกาสที่จะหางานดีๆ ทำ เพราะสมัยนี้นายจ้างจะขอตรวจประวัติเครดิตของคุณด้วย ในการ พิจารณารับคุณเข้าทำงานในตำแหน่งสำคัญๆ หรือแม้แต่การจะไปเช่าบ้าน อพาร์ทเมนต์ เขาก็ตรวจประวัติ เครดิต ทั้งสิ้น

เมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้ข่าวว่า หนึ่งในสามบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เก็บข้อมูลประวัติเครดิต Equifax ก็ถูกขโมยแฮกข้อมูล ไป (Data Breach) มีผลกระทบต่อผู้ที่มีบัตรเครดิตถีง 145.5 ล้านคน ข้อมูลนี้รวมถึง ชื่อ เบอร์โซเชียล วัน เดือน ปี เกิด ที่อยู่ บางรายมีเบอร์ใบขับขี่ ข้อมูลเหล่านี้สามารถขายในตลาดมืดได้ โจรก็สามารถไปเปิด บัญชี สวมรอยว่าเป็นเราได้

เรื่องที่คนไทยพบเจอกันบ่อยๆ และมีผู้ได้สอบถามมา คือ เรื่อง Identity Theft เนื่องจากคนส่วนใหญ่ ไม่ค่อยให้ความสนใจกับไอดีต่างๆ ของตัวเอง เช่น ใบขับขี่ ใบโซเชียล บัตรเครดิต วันเดือนปีเกิด บัญชีธนาคาร จดหมาย สเตทเม้นท์ บิลต่างๆ ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับบัญชีเครดิตการ์ด บิลโทรศัพท์ บิลค่าน้ำไฟ และเมื่อข้อมูลเหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดี วันดีคืนดีคุณก็จะได้รับโทรศัพท์มาทวงหนี้ หรือจดหมายจากสำนักงานของรัฐบาลต่างๆ ในเรื่องภาษีย้อนหลัง กว่าเราจะรู้ ผู้ร้ายก็แอบเอาข้อมูลของเรา ไปใช้เรียบร้อย และหนีไปไกลแสนไกลแล้ว เหลือแต่ความทุกข์ทรมานใจ และปัญหาที่มอบให้เราตามแก้ไข ซึ่งบางครั้งเราไม่มีความชำนาญด้านภาษา และไม่รู้จักกระบวนการว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง

ดังนั้น ผมก็จะเขียนเรื่องการสวมรอย หรือการโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคล คือ Identity Theft ในโอกาสนี้อีกครั้ง พวกเราจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ หรือเสียรู้ เพราะทุกอย่างเราสามารถป้องกันไว้ก่อน ก่อนที่เหตุร้ายจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งมันดีกว่าแน่ๆ

ส่วนเมื่อท่านตกเป็นเหยี่อแล้ว สิ่งที่ควรทำมีดังนี้

1. แจ้งศูนย์เครดิตต่างๆ ซึ่งในประเทศนี้ มี 3 บริษัทใหญ่ๆ คือ

Equifax 1-866-447-7559 เบอร์เฉพาะที่สงสัยว่าเราเป็นเหยื่อที่ถูกขโมยข้อมูล

Experian 1-888-397-3742

Trans Union 1-800-916-8800

โทรฯ แจ้งว่าเราเป็นเหยี่อที่เบอร์ 1-800-888-4213 ขอคุยกับแผนก Fraud Unit บอกว่าเรามี เครดิตการ์ดกี่ใบที่ถูกขโมย พร้อมรายละเอียดต่างๆ แล้วเจ้าหน้าที่จะทำหมายเหตุในบัญชีเราทันที เรียกว่า บัญชี ถูก “Flagged” เพื่อบล็อคการเคลื่อนไหว… หรือถ้าสงสัยว่ามีคนนำข้อมูลของเรา ไปเปิดบัญชีธนาคารเพื่อขอสมัครเครดิตการ์ด ขอกู้เงิน เราก็บอกเขาว่า “If my I.D. has been used to apply for credit fraudulently, please contact me at (เบอร์โทรศัพท์ของเรา)” เพื่อยืนยันกับเราเมื่อมีผู้ใดไปสมัครขอเครดิต โดยทางศูนย์เครดิตจะใส่หมายเหตุอันนี้ไปเลย แล้วธนาคารหรือแหล่งเงินกู้ก็จะให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือ ต้องสอบถามยืนยันกับเราก่อน ในกรณีมีคน หรือผู้แอบแฝงมาสมัครขอเครดิต

2. แจ้งกับเจ้าหนี้ต่างๆ (Creditors) ทั้งทางโทรศัพท์ และแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร โดยส่งทางไปรษณีย์ แบบมีการเซ็นรับปลายทาง (Certified Mail)

3. แจ้งตำรวจท้องที่ ที่ท่านอาศัยอยู่ จดหมายเลขเรื่อง/คดี (Case#) ในการแจ้งความ หรือขอ Police Report เก็บไว้เป็นหลักฐาน ในกรณีหากมีบริษัทมาทวงหนี้ที่เราไม่ได้ไปก่อไว้

4. ถ้าเช็ค หรือสมุดเช็ค หรือบัตรเครดิตหาย ต้องแจ้งแบงค์ทันที และให้หยุดจ่ายเช็คที่ได้เขียนสั่งจ่ายไปแล้วด้วยกับบริษัทที่ยังไม่มาเบิกหรือขึ้นเงิน โดยแบงค์จะปิดบัญชีนั้นไป และเปิดบัญชีใหม่ให้ เราควรจะแจ้งบริษัทตรวจสอบเช็ค (Verify Check Service) เวลาเราเขียนเช็คด้วย มีบริษัทใหญ่ ๆ คือ

Check Rite 1-800-552-1900

Chex Systems 1-800-428-9623

Equifax 1-800-685-1111

Tele Check 1-800-710-9998

International Check Service 1-800-526-5380

5. กรณีที่สงสัยว่ามีคนแจ้งย้ายที่อยู่ของเรา (Fraudulent Change of Address) ต้องรีบไปสำนักงานไปรษณีย์ที่อยู่ในเขตของท่าน เพื่อตรวจสอบว่า ใครแจ้งย้ายที่อยู่ของเรา โดยไม่ได้ รับอนุญาต ไปรษณีย์มีตำรวจของตัวเองเรียกว่า U.S. Postal Inspector

6. กรณีที่สงสัยว่ามีคนเอาเบอร์โซเชียลของเราไปใช้ ต้องติดต่อสำนักงาน Social Security Administration แผนก Fraud Investigation ที่ 1-800-269-0271 ถ้ามีเหตุผลครบถ้วน เขาสามารถ ออกใบโซเชียลเบอร์ใหม่ให้ ควรตรวจสอบใบแจ้งรายได้ และสวัสดิการประจำปี ว่ามีใครจงใจเอารายได้ มาใส่บัญชีเราหรือเปล่า (Earning and Benefits Statement) เพราะเขาแอบเอาเบอร์โซเชียลของเราไปใช้ เพื่อทำงาน

7. พาสปอร์ตหาย ต้องแจ้งสำนักงานที่ออกพาสปอร์ตเป็นลายลักษณ์อักษร เขาจะได้ให้ความสำคัญ เป็นพิเศษ ในกรณีที่ผู้ร้ายอาจเอาข้อมูลเพื่อไปขอพาสปอร์ตเล่มใหม่

8. ใบขับขี่ถูกขโมย หรือหาย ติดต่อกับ DMV บางกรณีคนขโมยข้อมูลของเรา ไปสมัครขอใบขับขี่ใหม่ในชื่อเดิมของเรา เบอร์เหมือนกัน แต่รูปถ่ายคนละคนกัน เจอมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้น DMV สามารถตรวจสอบและทำหมายเหตุในไลเซ่นส์เราได้ ว่าเราเป็นเหยื่อ I.D. Theft โดยเข้าไปในเว็บไซต์ www.dmv.ca.gov หรือแวะไปสำนักงาน DMV ใกล้บ้านคุณ

9. ถ้ากรณีมีคนนำคำสั่งศาลที่ผู้ไม่หวังดีแอบเอาข้อมูลของเราไปใช้แล้วก่อหนี้ หากบริษัทหรือบุคคล ที่เป็นเจ้าหนี้ได้ไปยื่นฟ้องต่อศาลแล้วชนะ บริษัทจะได้รับคำสั่งศาล (Judgments) ในการเรียกร้องค่าเสียหายจากเราที่เป็นแพะเป็นเงินจำนวนเท่านั้นเท่านี้ เราต้องเอาใบแจ้งความ และหลักฐานอื่นๆ ไปยื่นต่อศาลที่ออกคำสั่ง บอกท่านว่าเราเป็นเหยื่อ I.D. Theft โดยศาลจะพิจารณายกเลิกคำสั่งได้ บางรายเอา Judgment ไปลงทะเบียนอายัดบ้านเราอีกด้วย (Liens)

ขอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวผู้เขียนเอง เพื่อเป็นการเตือนว่า ขนาดผมที่คิดว่ารอบคอบดูซ้ายดูขวาแล้ว ก่อนเข้าไปใช้เครื่อง ATM ของซิตี้แบ็งค์ในร้าน 7/11 ในเมืองเวสมินสเตอร์ ออเร้นจ์เคาน์ตี้ ตอนสองทุ่ม เพื่อเบิกเงินสด 400 เหรียญนั้น พอวันรุ่งขึ้น ลองตรวจบัญชีทางออนไลน์ ซึ่งทุกธนาคารสามารถให้เจ้าของ บัญชีตรวจดูรายละเอียดถึงการจ่าย การเข้าออกบัญชีได้ตลอดเวลา พอมาดูก็แทบไม่เชื่อตาตัวเอง ว่าเงินได้ถูกถอนออกไปอีก 1,460 เหรียญ โดยที่บัตรเดบิต (Debit Card) ก็ยังอยู่กับตัวตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เคยเขียนรายงานรับแจ้งความเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้หลายสิบครั้งก็ตาม ตอนเป็นสายตรวจ เราเลยเข้าใจความรู้สึกของคนที่ตกเป็นเหยื่อได้ดี ดังนั้น สิ่งที่ต้องรีบทำเพื่อขอเงินคืนจากธนาคารมีดังนี้

1. เช็คบัญชีของเราให้รอบคอบว่า เราถูกคนโจรกรรมบัญชีเราจริง เมื่อวัน เดือน ปี ที่เท่าไร เวลาอะไร สถานที่ที่คนร้ายไปกดถอน และจำนวนเงินเท่าไร

2. หลังจากที่จดรายละเอียดจากข้อหนึ่งแล้ว ให้โทรฯ หาตำรวจที่ดูแลท้องที่ที่คุณอาศัยอยู่ (ไม่ใช่โทรฯ หาสถานีตำรวจที่เป็นที่ตั้งของเครื่อง ATM) บางกรณี เราอาจต้องไปที่สถานีตำรวจเอง เพราะตำรวจ อาจไม่มีเวลามาที่บ้านเรา หลังจากที่ตำรวจสัมภาษณ์เราแล้ว อย่าลืมข้อสำคัญที่สุด คือ ขอ Police Report Number นะครับ อันนี้จะนำไปใช้ได้ในอีกหลายกรณี เป็นการป้องกันตัวเราด้วย ว่าเราไม่รับผิดชอบในกรณีที่คนร้ายนำบัตรเราไปใช้ต่ออีก

3. รีบโทรศัพท์แจ้งธนาคารของเรา ว่าเราตกเป็นเหยื่อที่ถูกคนร้ายเบิกเงินบัญชีเรา โดยไม่ได้รับอนุญาต จากเรา (Unauthorized Transactions) เจ้าหน้าที่จะสอบถามรายละเอียด ขอ Police Report Number เสร็จแล้วเขาจะให้เราทำลายบัตรเก่า เขาจะรีบส่งบัตรใบใหม่ให้ พร้อมเบอร์บัญชีใหม่ทันที แล้วจะส่งเรื่องต่อ ให้แผนกสอบสวนของธนาคาร เพื่อประสานกับตำรวจที่เราได้แจ้งความไว้แล้ว ถ้าพิสูจน์ได้ว่า เราไม่ได้เป็นคนเบิกเงินไป ธนาคารก็จะเครดิตเงินที่เราถูกขโมยไปภายใน 10 วัน

ข้อแนะนำสิ่งที่ควรทำ

- ไม่ควรพกบัตรเครดิตการ์ดติดตัวเกินความจำเป็น โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าในกระเป๋ามีบัตรอะไรบ้าง พกติดตัวเท่าที่จำเป็นจะใช้ ที่เหลือเก็บไว้ที่บ้าน ควรจดหรือถ่ายเอกสารของบัตรทั้งหมดไว้ และเก็บรักษาอย่างดี เผื่อต้องการใช้ข้อมูลเหล่านี้ยามฉุกเฉิน และกรณีที่กระเป๋าหาย หรือถูกขโมย จะได้แจ้งได้ถูก กับบริษัทที่ออกบัตร อย่าได้เที่ยวสมัครเครดิตการ์ดที่ไม่จำเป็น หรือแค่อยากได้มา ติดกระเป๋าให้ดูดี อวดชาวบ้าน

- หมั่นตรวจสอบบัญชีต่างๆ ของคุณทางออนไลน์

- รีบแจ้งธนาคาร ถ้าสงสัยในการใช้จ่าย การเข้าออกของเงินในบัญชีที่ต้องสงสัย

- หลีกเลี่ยงการใช้บัตรในร้านสะดวกซื้อต่างๆ หรือแม้แต่ในปั๊มน้ำมัน ให้ใช้เงินสด ถ้าจำเป็นต้องเบิกเงินสด ก็ใช้เครื่อง ATM ของธนาคารเอง ไม่ใช้ของบริษัทที่รับเป็นนายหน้าให้แบ็งค์

- หลีกเลี่ยงการไหว้วานผู้อื่นไปเบิกหรือกดเงินให้ เพราะเราไม่รู้ว่า วันดีคืนดี เกิดเขาโกรธเรา อาจเอาข้อมูลไปให้กับคนอื่น

คดีต่างๆ เหล่านี้ เป็นคดีอาญาร้ายแรงทั้งสิ้น แต่จับผู้ร้ายยาก เพราะเขาเหล่านั้นไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ในปี 2015 ตามสถิติจากกระทรวงยุติธรรมของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีผู้ตกเป็นเหยื่อกว่า 17.4 ล้านคน มูลค่าความเสียหายของธนาคารกว่า $15.4 Billion

เอาละครับ ป้องกันไว้ก่อน อย่าไว้ใจใคร โดยเฉพาะรูมเมทที่อาศัยอยู่ด้วยกัน หรือแฟนเก่า เวลาดีกันก็รักกันปานจะกลืนกิน เวลาเลิกกันก็มักจะมีวิชามารออกมาเสมอๆ อย่าไป Co-Sign ค้ำประกันให้กับใคร เพราะดีไม่ดีคุณเองต้องรับผิดชอบทุกบาททุกสตางค์เต็มๆ ด้วย และสุดท้าย หุ้นส่วนที่เป็นพาร์ทเนอร์ชิป (Partnership) กัน ควรจะมีสัญญาที่เขียนโดยทนายความที่มีความรู้ ในเรื่องธุรกิจการค้า เขียนให้ละเอียดในกรณีมีการทะเลาะพิพาทกัน แล้วหุ้นส่วนจะขอออก ว่าใครต้องทำอะไร จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจ มาด่าทอกันเสียๆ หายๆ ในโซเชียลมีเดีย ฟังแล้วมันหดหู่ใจจริงๆ มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆ หรือหาเพื่อนสนิทที่ต่างฝ่ายต่างนับถือช่วยไกล่เกลี่ย ใช้สติแทนอารมณ์กันดีกว่า เราพูดภาษาเดียวกัน คิดถึงอดีต เวลาที่เพื่อนเขาก็เคยดีกับเราบ้างเถอะ!

ยังมีอีกหลายตัวอย่างที่คนไทยถูกหลอกทางโทรศัพท์ (Phone Scams) เช่น การมาทวงหนี้ การเรี่ยไรเงิน การแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ บริษัท ไฟฟ้า ประปา ก๊าซ อัยการ ตำรวจ หรือจากการรู้จักกัน ทางอินเตอร์เน็ต อ้างเป็นหมอ นักวิทยาศาสตร์บ้าง เป็นต้น พวกนี้จะพยายามโฆษณา อ้างเหตุสารพัด โดยสุดท้าย จะขอให้เราไปซื้อบัตร Prepaid Credit Cards แล้วให้เราขูดเลขรหัส เพื่อคนร้ายจะได้ ไปขึ้นเงินได้ ฉะนั้น ถ้าต้องจ่ายเงินอะไรก่อน สันนิษฐานได้เลยว่า... กำลังถูกเขาหลอก (Never Pay Upfront)


โชคดีครับ
คิด ฉัตรประภาชัย