เรียนรู้เมื่ออยู่เมืองลุงแซม
วลัยพรรณ เกษทอง



ประวัติของประกันชีวิต (History of Life insurance)

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน เนื่องจากเดือนกันยายนนี้เป็น “เดือนแห่งความตื่นตัวเกี่ยวกับประกันชีวิต (Life Insurance Awareness Month หรือ LIAM) และมีผู้เขียนได้ให้คำปรึกษากับลูกค้าและท่านผู้อ่านจำนวนมากมายมาสิบกว่าปีแล้ว ผู้เขียนก็เลยอยากจะขอใช้เวลาในช่วงเดือนนี้ทั้งเดือนพูดกันถึงเรื่องเกี่ยวกับประกันชีวิตกันต่อค่ะ

ประกันชีวิต (Life insurance) นั้นเป็นสัญญาระหว่างผู้ถือกรมธรรม์ (Policy holder) กับบริษัทประกันหรือผู้รับประกัน (Insurer) โดยบริษัทผู้รับประกันสัญญาที่จะจ่ายผู้รับผลประโยชน์ (Beneficiary) เป็นเงินก้อนหรือผลประโยชน์ (Benefit) เพื่อแลกกับเบี้ยประกัน (Premium) เมื่อผู้รับความคุ้มครอง (Insured person) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ถือกรมธรรม์เสียชีวิต หรือบางสัญญาจะมีการจ่ายการเงินให้ในกรณีที่มีโรคที่ทำให้อยู่ในสภาพสุดท้ายของชีวิต (Terminal illness) หรือโรคร้ายแรง (Critical illness) ด้วยเช่นกัน การจ่ายเบี้ยประกันผู้ถือกรมธรรม์มักจะจ่ายให้กับบริษัทที่รับประกันเป็นระยะ (ส่วนใหญ่เป็นรายเดือน) หรือบางครั้งก็จ่ายเป็นเงินเพียงก้อนเดียวเพื่อทำสัญญา

กรมธรรม์ประกันชีวิตเป็นสัญญาทางกฏหมายที่เงื่อนไขในสัญญาจะบอกถึงข้อจำกัดในการคุ้มครอง ส่วนใหญ่จะมีข้อจำกัดในเรื่องของการรับผิดชอบของผู้รับประกันในกรณีเช่น การฆ่าตัวตัว การโกหกปิดบัง สงคราม และการจลาจล เป็นต้น

ทุกวันนี้สัญญาในระบบประกันชีวิตดูแล้วจะแบ่งแยกย่อยได้เป็น 2 ประเภทใหญ่คือ

1. ประเภทที่มีการคุ้มครองแต่เพียงอย่างเดียว พวกนี้จะถูกออกแบบให้ผลประโยชน์โดยส่วนใหญ่ที่เป็นเงินก้อนจ่ายออกในกรณีที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจำเพาะ เช่น เสียชีวิต ซึ่งในที่นี้จะเป็นกรมธรรม์ประเภทที่เรียกว่า Term insurance

2. ประเภทที่มีการเงินสะสมอยู่ในกรมธรรม์ พวกนี้นอกจากจะให้การคุ้มครองแล้ว วัตถุประสงค์หลักอีกประการก็คือเพื่อสนับสนุนการงอกเงยขึ้นของเงินทุนหรือเบี้ยประกันที่จ่ายไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการจ่ายแบบเป็นระยะหรือเป็นเงินก้อนก็ตาม ในสหรัฐประกันประเภทนี้มีรูปแบบใหญ่ ๆ 3 ประเภทคือ Whole life, Universal Life, และ Variable Life

ก่อนจะไปพูดในรายละเอียดในเรื่องเกี่ยวกับกรมธรรม์ ขอพูดถึงเรื่องประวัติของประกันชีวิตก่อนนะคะ ถ้าย้อนกันไปในประวัติศาสตร์ ประกันชีวิตนี้เริ่มมีกันตั้งแต่สมัยกรุงโรมในยุคโบราณเลยก็ว่าได้ โดยจะมีกลุ่มที่เรียกว่า “burial clubs” ได้รวมตัวกันเพื่อจ่ายค่าทำศพและช่วยเหลือครอบครัวในกรณีที่สมาชิกของกลุ่มเสียชีวิต บริษัทประกันแห่งแรกที่ได้เสนอขายประกันชีวิตในยุคสมัยใหม่ก็คือบริษัทที่ชื่อว่า Amicable Society for a Perpetual Assurance Office ซึ่งก่อตั้งในกรุงลอนดอนในปีค.ศ. 1706 โดยวิลเลี่ยม ทัลบอทและเซอร์ธอมัส อัลเลน สมาชิกแต่ละคนจ่ายเงินรายปีต่อหุ้น 1-3 หุ้นของสมาชิกที่มีอายุระหว่าง 12 – 55 ปี โดยปลายปีจะนำเอาส่วนที่ลงขันกันฉันท์มิตรนั้นมาแบ่งกันในระหว่างภรรยาและบุตรของสมาชิกที่เสียอายุไปในสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่ทายาททั้งหลายเป็นเจ้าของ ซึ่งกลุ่มที่ว่านี้มีสมาชิกเริ่มต้น 2,000 คน

ส่วนการขายประกันชีวิตในสหรัฐฯ เริ่มต้นเป็นครั้งแรกในช่วงปี ค.ศ. 1760 โดยกลุ่มศาสนาเพรสไบเทอเรียนในเมืองฟิลาเดลเฟียและนิวยอร์คซิตี้ได้ก่อตั้งบริษัทเพื่อช่วยเหลือภรรยาม่ายและบุตรของนักสอนศาสนากลุ่มนี้ซึ่งมีฐานะยากจนและประสบปัญหาลำบากในช่วงปีค.ศ. 1759 พระอิพิสโคปลาเลี่ยนได้จัดตั้งเงินทุนที่คล้ายคลึงกันในปีค.ศ. 1769 ซึ่งโดยระหว่างปีค.ศ. 1787 –1837 ได้มีบริษัทประกันชีวิตมากกว่า 20 แห่งถือกำเนิดขึ้น แต่มีเพียงไม่ถึง 6 แห่งที่ยังทำธุรกิจอยู่ ในช่วงปีค.ศ. 1780 ทหารซึ่งได้รวมตัวกันก่อตั้งกลุ่ม AAFMAA ของทหารบก และ Navy Mutual Aid Association ของทหารเรือขึ้น ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจจากภรรยาม่ายและบุตรกำพร้าที่อาศัยอยู่ในทางตะวันตกหลังจากสงครามที่ชื่อว่า Battle of the Little Big Horn และครอบครัวของกะลาสีชาวสหรัฐที่เสียชีวิตในทะเล โดยบริษัทประกันที่ผู้เขียนทำงานอยู่คือ New York Life Insurance ก็ถือเป็นบริษัทประกันชีวิตในกลุ่มที่มีอายุเก่าแก่เพราะเริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1845 มาจนถึงปีนี้ก็รวมอายุได้ 174 ปีแล้วค่ะ

ฉบับนี้หมดพื้นที่แล้ว ฉบับหน้าเราจะพูดถึงเรื่องหลักการของการประกันชีวิตและเรื่องประเภทของประกันชีวิตกันต่อค่ะ

บทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปไม่ใช่เป็นการให้คำแนะนำ หากท่านมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับเนื้อหาในบทความ อยากจะถามคำถามในกรณีส่วนตัวท่านสามารถโทร.มาสอบถามกับผู้เขียนได้ที่เบอร์ (850)598-1709 หรือจะอีเมลมาหาผู้เขียนที่ walaipank@gmail.com ก็ได้ค่ะ หากผู้เขียนไม่ได้รับสายก็ฝากข้อความไว้ได้ จะติดต่อท่านกลับไป

อ้างอิง: https://en.wikipedia.org/wiki/Life_insurance

วลัยพรรณ เกษทอง

6 กันยายน 2562