เรียนรู้เมื่ออยู่เมืองลุงแซม
วลัยพรรณ เกษทอง



เดือนแห่งความตื่นตัวเกี่ยวกับประกันชีวิต (Life Insurance Awareness Month) ในช่วงสถานการณ์ไวรัสยังระบาด

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก นี่เราอยู่ในช่วงไวรัสระบาดกันมาเกินกว่า 1 ปีแล้วแต่สถานการณ์ก็ยังมีคนติดเชื้อกันอยู่มาก คิดในแง่บวกอย่างน้อยปีนี้เพวกเราคนไทยในอเมริกาก็ได้ฉีดวัคซีนป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอาการหนักแล้วนะคะ และนี่ก็มาถึงเดือนกันยายนอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นเดือนที่มีความสำคัญต่ออาชีพการงานหลักของผู้เขียนเลยก็ว่าได้ค่ะ เนื่องจากเดือนนี้คือ “เดือนแห่งความตื่นตัวเกี่ยวกับประกันชีวิต (Life Insurance Awareness Month หรือ LIAM) ซึ่งปีนี้มีนักร้องสาวคนดัง เคลลี่ โรว์แลนด์ มาเป็นผู้นำแคมเปญนี้ ดังนั้นฉบับนี้จึงขอใช้พื้นที่พูดถึงเรื่องความสำคัญของประกันชีวิตกันค่ะ

คนเราส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนเอเชียจะไม่ค่อยชอบพูดถึงเรื่องความตายเพราะบางท่านก็เชื่อถือโชคลาง ไม่อยากพูดถึงสิ่งที่ไม่ดีทั้งที่ความตายนั้นเป็นธรรมชาติที่เกิดมาพร้อมกับการเกิดของมนุษย์ทุกผู้ตัวตน คนหลายคนนั้นชีวิตไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแต่ต้องเป็นผู้ดูแลคนอื่นหรือมีภาระหน้าที่หรือหนี้สินที่จะต้องรับผิดชอบ เช่น เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นเจ้าของบริษัท เป็นลูกหนี้กับสถาบันทางการเงิน เป็นต้น นั่นจึงเป็นที่มาของ “ประกันชีวิต” ซึ่งจะช่วยถ่ายเทความเสี่ยงของการสูญเสียชีวิตของคนผู้หนึ่งไปยังบริษัทประกัน โดยเสียค่าใช้จ่ายในการคุ้มครองเพียงส่วนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผลประโยชน์จำนวนมากที่จะสามารถนำไปช่วยเหลือครอบครัวหรือชดเชยความเสียหายจากการเสียชีวิตนั้นได้

จากการศึกษาของ Life Happens และ LIMRA ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของประกันชีวิต พบว่า 1 ใน 3 ของครอบครัวสหรัฐฯ จะเกิดปัญหาอย่างฉับพลันในการจ่ายค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตภายใน 1 เดือนหากหัวหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัวนั้นเสียชีวิต และยังพบอีกว่ามีครอบครัว 40 เปอร์เซนต์ยังไม่ได้ซื้อประกันชีวิต และที่มากกว่านั้นที่ไม่ได้ซื้อก็เพราะว่าไม่แน่ใจว่าจะซื้อประกันประเภทไหนและซื้อในการคุ้มครองเท่าไหร่ดี ดังนั้นในเดือนกันยายนของทุกปี องค์กร Life Happens ได้จัดแคมเปญรณรงค์เกี่ยวกับเรื่องประกันชีวิตขึ้นมาเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของประกันชีวิตและช่วยเหลือพวกเขาให้สามารถตัดสินใจแสวงหาความคุ้มครองที่พวกเขาจำเป็นต้องมีกันค่ะ

จากการศึกษาของ LIMRA ในเดือนมกราคมปี 2021 พบว่าชาวอเมริกันมากกว่าครึ่ง (52%) มีประกันชีวิตประเภทใดประเภทหนึ่งซึ่งลดลงจากที่เคยมีถึง 63% ในปี 2011

จากการสอบถามคนโดยรวมที่รู้ถึงความจำเป็นในการมีประกันชีวิตพบว่ามีคนถึง 102 ล้านคนที่ไม่มีความคุ้มครองหรือมีความคุ้มครองไม่เพียงพอ มีคน 42 % ที่กล่าวว่าหากเสาหลักของครอบครัวเสียชีวิตทันทีจะทำให้ครอบครัวของเขาประสบปัญหาทางการเงินอย่างร้ายแรงภายใน 6 เดือน และในนั้นมี 25 % ที่บอกว่าจะสถานการณ์ทางการเงินไม่รอดภายในเพียงเดือนเดียว!!

สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดผลกระทบกับมุมมองของคนที่มีต่อประกันชีวิต คน 1 ใน 6 บอกว่ามันทำให้พวกเขาตระหนักรู้ถึงคุณค่าของประกันชีวิตมากขึ้นและ 31% บอกว่าเขาอยากจะเพิ่มการคุ้มครองในปี 2021 เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาด กลุ่มที่ตื่นตัวในการซื้อประกันชีวิตมากขึ้น ได้แก่ กลุ่มรุ่นมิลลิเนียม (45%) กลุ่มคนผิวดำ (38%) กลุ่มผู้ชาย (33%) และกลุ่มคนที่มีรายได้มากกว่า $150,000 ต่อปี (42%) โดยมีคนที่เคยเป็นโควิดมาแล้วถึง 42% ก็อยากจะซื้อประกันเพิ่มในปีนี้เช่นกัน

สำหรับเหตุผลที่คนอเมริกันซื้อประกันชีวิตนั้น ได้แก่ คุ้มครองค่าใช้จ่ายในการทำศพและค่าใช้จ่ายอื่นในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต (83%) ช่วยชดเชยรายได้ของผู้ทำงานมีรายได้ (68%) และส่งต่อทรัพย์สินให้หรือทิ้งมรดกให้กับคนข้างหลัง (63%)

มีคนอเมริกันเพียง 31% ที่บอกว่ารู้เรื่องเกี่ยวกับประกันชีวิตดี โดยจากการศึกษาครั้งก่อนพบว่ายิ่งคนมีความรู้มากก็ยิ่งทำให้มีการคุ้มครองในจำนวนที่เหมาะสมได้มากขึ้น โดยเหตุผลลำดับต้นที่คนไม่ซื้อประกันนั้นเพราะเขาคิดว่ามันมีราคาแพงเกินไป ทั้งที่จริงแล้วราคาไม่ได้แพงอย่างที่เขาคิด

มีคนอเมริกันมากกว่าครึ่ง (53%) ที่บอกว่ายังไม่ได้ซื้อประกันหรือยังไม่ได้ซื้อเพิ่มเพราะไม่แน่ใจว่าจำเป็นต้องมีเท่าไหร่หรือจะซื้อประเภทไหนดี คน 2 ใน 3 เชื่อว่าพวกเขาจะต้องเสียภาษีหากได้รับเงินสิทธิประโยชน์ และ 4 ใน 10 ก็ไม่แน่ใจ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสิทธิประโยชน์จากประกันชีวิตไม่ต้องเสียภาษี

คนประมาณ 30 % คิดว่าประกันชีวิตมีไว้เพียงเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพิธีศพและช่วงสุดท้ายของชีวิตเท่านั้น ซึ่งความคิดแบบนี้ทำให้คนมีความคุ้มครองไม่เพียงพอสำหรับการชดเชยรายได้ที่เสียไปหรือสามารสร้างทรัพย์สินให้ส่งต่อไปยังรุ่นถัดไปได้ ซึ่งสองอย่างหลังนี้เป็นประโยชน์ของประกันชีวิตที่สามารจะช่วยเหลือครอบครัวได้หากหัวเรือหลักต้องลาจากไป

จากปีค.ศ. 2018-2020 เหตุผลในการซื้อประกันชีวิตเปลี่ยนแปลงไปคือในปี ค.ศ. 2020 ความต้องการคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการทำศพน้อยลงแต่ความต้องการเก็บสะสมเงินเพื่อเสริมในช่วงเกษียณอายุกลับเพิ่มขึ้น

ผู้หญิงมีประกันน้อยกว่าผู้ชาย มีเพียง 47% เท่านั้นที่มีเทียบกับผู้ชายที่มีมากกว่านิดหน่อย (58%) มีผู้หญิงประมาณ 14% หรือเกินกว่า 18 ล้านคนสูญเสียความคุ้มครองไปในปีที่แล้ว (2020) โดยมากกว่า 36% บอกว่าเกิดจากการที่ตกงานโดยไม่ทันตั้งตัว ขณะที่ผู้หญิงแสดงความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 มากแต่ผู้หญิงก็วางแผนที่จะซื้อประกันเนื่องจากสถานการณ์ไวรัสระบาดน้อยกว่าผู้ชาย (29% เทียบกับ 33%)

มีผู้หญิงเพียง 22% ที่รู้สึกว่าตัวเองมีความรู้เกี่ยวกับประกันชีวิตซึ่งก็น้อยกว่าผู้ชาย (39%) ที่บอกว่ามีความเชื่อมั่นกว่า เหตุผลที่ผู้หญิงซื้อประกันชีวิตก็เพื่อไว้จ่ายค่าทำศพ โดยไม่ได้คิดจะเอาไว้ใช้เป็นส่วนเสริมสำหรับรายได้ในระหว่างเกษียณอายุเหมือนกับที่ผู้ชายจะคิดถึงมากกว่า โดยผู้หญิง 44% ที่ยังไม่มีประกันหรือยังมีไม่พอกล่าวว่าเขาจำเป็นต้องซื้อเพียงแต่ว่ามีเพียง 31% ที่คิดว่าจะซื้อในปีนี้

“ข้อมูลไม่เคยโกหก (Facts don’t lie)” เพราะฉะนั้นหลังอ่านข้อมูลที่เขาไปศึกษากันมาแล้ว ทางผู้เขียนก็ขอสนับสนุนให้ท่านผู้อ่านเล็งเห็นถึงความสำคัญของประกันชีวิต รวมทั้งควรจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้จริง น่าเชื่อถือและมีใบอนุญาตในการขายประกันชีวิตเท่านั้น เพื่อจะได้ทราบว่าท่านควรจะต้องทำประกันประเภทไหนเท่าไหร่อย่างถูกต้อง เขาควรจะสามารถให้คำแนะนำและตอบคำถามเรื่องต่าง ๆ ได้ไม่ใช่เพียงแค่บอกชื่อชนิดและราคาเท่านั้น รวมทั้งบริษัทประกันที่ท่านจะมีความคุ้มครองก็ควรเลือกบริษัทที่มีความมั่นคงและน่าเชื่อถือเช่นกันเพื่อที่ว่าเวลาเกิดเหตุท่านจะไม่ต้องมานั่งปวดหัวทีหลังกับการวิ่งไล่ตามผลประโยชน์ที่ท่านคาดว่าจะได้รับ

ประกันชีวิตไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน หลายคนที่สุขภาพไม่ดีหรืออายุมากก็ไม่สามารถซื้อประกันได้ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ดังนั้นหากใครยังไม่มีหรือคิดว่ายังมีไม่พอ ก็ควรจะติดต่อกับตัวแทนที่ท่านไว้ใจ เพราะทุกวินาทีที่ท่านยังไม่ตัดสินใจเท่ากับท่านทิ้งคนที่พึ่งพาอาศัยท่านอยู่ในความเสี่ยงที่จะต้องสูญเสียสภาพการเงินของครอบครัวนอกเหนือไปจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เราควรจะคิดแบบ ”ปลอดภัยกันไว้ก่อนดีกว่าจะต้องเสียใจภายหลัง” แบบที่ฝรั่งเขาบอกว่า “Better safe than sorry” นะคะ ส่วนท่านที่ไม่ได้มีภาระความรับผิดชอบกับใครการซื้อประกันชีวิตก็มีข้อดีคือสามารถช่วยสร้างมรดกไว้ให้กับคนที่ท่านรักที่มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดหรืออาจจะใช้เป็นที่เก็บเงินเสริมยามเกษียณด้วยเช่นกันค่ะ

บทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปไม่ใช่เป็นการให้คำแนะนำ หากท่านมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับเนื้อหาในบทความ อยากจะถามคำถามในกรณีส่วนตัวท่านสามารถโทร.มาสอบถามกับผู้เขียนได้ที่เบอร์ (850)598-1709 หรือจะอีเมลมาหาผู้เขียนที่ walaipank@gmail.com ก็ได้ค่ะ หากผู้เขียนไม่ได้รับสายก็ฝากข้อความไว้ได้ จะติดต่อท่านกลับไปภายหลัง

อ้างอิง: https://www.limra.com/siteassets/newsroom/liam/2021/facts-of-life-2021-format-vfinal2.pdf


วลัยพรรณ เกษทอง

3 กันยายน พ.ศ. 2564