ไลฟ์สไตล์
จอมพล
เปรต

เราคงเคยได้ยินเรื่องเล่ากันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเกี่ยวกับเรื่องของเปรต ส่วนมากก็มักจะเป็นคำสอนจากผู้ใหญ่อย่างเช่น ถ้าตีพ่อแม่ ตายไปจะเกิดเป็นเปรต มีมือเท้าใหญ่เป็นใบลาน มีปากเท่ารูเข็ม หิวโหยต้องรอขอส่วนบุญกุศล ถ้าไม่มีใครอุทิศส่วนกุศลไปให้ก็จะทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ไปผุดไปเกิด เด็กๆ จึงกลัวผีเปรตยิ่งนัก ยิ่งถูกสอนว่าเปรตจะอาศัยอยู่ตามวัด ก็ยิ่งให้หวาดระแวง เวลาไปวัดกลางค่ำกลางคืนก็ไม่กล้ามองไปยังที่สูงกลัวเจอเงาสูงๆมืดๆ เป็นผีเปรตอย่างที่ผู้ใหญ่เขาว่า

แล้วมันเรื่องอะไรจู่ๆ ผู้เขียนก็มาเขียนเรื่องผีเปรต ท่านผู้อ่านก็คงจะสงสัยอยู่ ปรกติผู้เขียนก็ไม่เคยหยิบเรื่องเหนือธรรมชาติมาเขียน โดยเฉพาะที่ไม่มีเหตุมีผล ก็มักจะไม่เชื่ออยู่แล้ว หากท่านได้ติดตามอ่านบทความของผู้เขียนมาโดยตลอดก็จะทราบดีว่า ผู้เขียนไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ

แต่ที่วันนี้นำเรื่องนี้มาเขียนก็เพราะว่า ผู้เขียนได้ไปพบกับเปรตมาจริงๆ เห็นกับตาและได้พูดคุยด้วย จนเชื่อและรู้ว่าสิ่งที่โบราณเล่ามานั้นเป็นความจริงไม่ใช่เรื่องหลอกเด็ก

แต่ก่อนที่จะเล่าให้ท่านฟังเรื่องที่ได้ไปพบเปรตมานั้นก็ขอเท้าความ อธิบายความรู้ในเรื่องของเปรตดังที่ได้ค้นคว้ามาจากพจนานุกรมออนไลน์วิกี้พีเดียดังนี้ว่า

“คำว่า เปรต แปลว่า ผู้ล่วงลับ ในทางศาสนาพุทธหมายถึง อมนุษย์พวกหนึ่งที่เกิดในเปตวิสัยซึ่งเป็น ๑ ใน ๔ อบายภูมิ เปรตมีหลายประเภท เช่นประเภทหนึ่งเรียกว่า ปรทัตตูปชีวิเปรต คือเปรตที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยส่วนบุญที่มีผู้ทำอุทิศให้ หากไม่มีส่วนบุญที่มีผู้อุทิศให้ก็มักจะกินเลือดและหนองของตัวเองเป็นอาหาร โบราณมีความเชื่อที่ว่า ถ้าใครทำร้ายพ่อแม่ ชาติหน้าจะไปเกิดเป็นผีเปรต”

นอกจากนี้คำสอนในเรื่องของเปรตในทางพุทธศาสนา ยังแบ่งออกเป็นหลายประเภทด้วยกัน แล้วแต่พระสูตร หรือพระคาถา อย่างเช่น เปตวัตถุอรรถกถา แบ่งได้ 4 ประเภท ได้แก่

1. ปรทัตตุปชีวิกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ จากอาหารที่มีมนุษย์ให้ เช่น การเซ่นไหว้ เป็นต้น

2. ขุปปีปาสิกเปรต คือ เปรตที่อดอยาก ทุกข์จากความหิวโหยอยู่เป็นนิจ

3. นิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ

4. กาลกัญจิกเปรต คือ เปรตในจำพวกอสุรกาย

อันนี้ถือว่าน้อย ยังมีเปรตจากคัมภีร์โลกบัญญัตติปกรณ์ และ ฉคติทีปนีปกรณ์ ซึ่งแบ่งได้ 12 ประเภท หรือแบ่งตามวินัยและลักขณสังยุตตพระบาลีแบ่งได้ 21 ประเภท ล้วนแล้วแต่น่าหวาดกลัวเสียทั้งสิ้น

เมื่อปลงใจจะเขียนเรื่องผีเปรตแล้ว ผู้เขียนก็ทำการศึกษาข้อมูลเป็นการใหญ่ ได้ดูเรื่องราวจากในทีวีเกี่ยวกับภาพถ่ายงานบวชที่บังเอิญติดภาพผีเปรตมาขอส่วนบุญ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาไม่นานนี้เอง ในเนื้อข่าวมีดังนี้

“เพื่อนนาคถ่ายรูปบรรยากาศในงาน อุปสมบทหมู่ 12 รูป อึ้ง!! ถ่ายติดเงาดำทะมึนคล้ายร่างคน ชาวบ้านวิจารณ์แซด เป็นผีเปรตมาขอส่วนบุญพระใหม่

รายงานข่าวระบุ เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา ในงานอุปสมสบทพระ 12 รูป ที่วัดจันทาราม ต.คูบางหลวง อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ได้มีการถ่ายภาพผู้ร่วมงานตามปกติ แต่มีภาพถ่าย 2 ภาพปรากฏเงาสีดำทะมึน คล้ายคนร่างกายสูงใหญ่ ยืนอยู่ที่ด้านหน้าทางเข้าศาลาวัด และอีกรูปหนึ่งเป็นเงาดำคล้ายผู้หญิง ยืนแบมือขอส่วนบุญ ซึ่งทำให้ชาวบ้านผู้พบเห็นวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ว่าเป็นผีเปรตที่มาขอส่วนบุญจากพระใหม่ทั้ง 12 รูป

โดยพระเต้ย หรือนายภาณุภณ จักราบาตร อายุ 48 ปี หนึ่งใน 12 พระใหม่กล่าวว่า ตนเป็นศิษย์ของพระรูปหนึ่งในกรุงเทพฯ ได้ทักว่าดวงจะถึงฆาต และได้แนะนำให้มาบวชในวันคล้ายวันเกิดของอาจารย์ พวกตนจึงรวมตัวกันมาบวชที่วัดแห่งนี้เพื่อสร้างกุศลผลบุญให้มากขึ้น”

เรื่องนี้ได้กลายเป็นข่าวโด่งดังทางอินเตอร์เน็ตจนกระทั่งรายการทีวีเรื่องจริงผ่านจอ ได้ไปทำสกู้ปรายงานค้นหาความจริงว่าภาพที่ถ่ายมาดังกล่าวเป็นภาพผีเปรตจริงหรือไม่ ประกอบกับได้ไปสัมภาษณ์พระบวชใหม่ที่อยู่ในภาพนั้นด้วย อย่างไรก็ตามทางรายการได้มีการจำลองการถ่ายภาพย้อนแสงไปทางประตูที่เห็นผีเปรตยืนอยู่ก็พบว่าเมื่อให้คนไปยืนตรงนั้นและถ่ายภาพออกมา ก็ได้ภาพที่มีความคล้ายคลึงกัน จึงสรุปได้ว่าเปรตที่ว่านั้นคือคนธรรมดาที่บังเอิญมายืนอยู่ตรงหน้าดวงอาทิตย์ เมื่อถ่ายย้อนแสงแล้วจึงเห็นกลายเป็นผีเปรต หาได้เป็นเปรตจริงๆอย่างที่กรี๊ดกันไม่แต่อย่างใด

ในวิกี้พีเดียได้ลงเรื่องโด่งดังของเปรตกู้ ซึ่งก็เป็นเปรตเทียมอีกนั่นเอง ท่านผู้อ่านยังพอจำได้หรือไม่

“เปรตกู้ เคยปรากฏเป็นข่าวครึกโครมผ่านทางสื่อมวลชนมาครั้งหนึ่ง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2543 เมื่อทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข่าวหน้าหนึ่งว่า มีผู้บันทึกวิดีโอของเปรตได้ที่ป่าคำชะโนด อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี รวมทั้งปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ในป่าแห่งนี้ได้อีกด้วย เช่น การตักบาตรกับต้นไม้โดยรุกขเทวดาซึ่งจะได้เป็นข้าวมธุปายาส เป็นต้น เมื่อวิดีโอชุดนี้ได้เผยแพร่ออกไป มีบุคคลจำนวนหนึ่งให้ความเชื่อถือ เช่น พ.อ.นพ.พงศักดิ์ ตั้งคณา นักพูดชื่อดัง รวมทั้งพระพยอม กัลยาโณ พระนักเทศน์ชื่อดังเจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว เป็นต้น

ต่อมา ความได้ปรากฏว่าแท้ที่จริงแล้ว เรื่องทั้งหมดในเทปวิดีโอนั้น ล้วนแต่เป็นการจัดฉาก โดยบุคคลที่ชื่อ นายกิตติ ประภัสโรบล หรือที่นิยมเรียกกันว่า "อาจารย์กู้" ซึ่งนายกิตติได้มีพฤติกรรมหลอกลวงเช่นนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว โดยในครั้งนี้นายกิตติได้แสดงเป็นเปรตจึงถูกเรียกว่า "เปรตกู้" ต่อมานายกิตติก็ได้ถูกตำรวจที่นำโดย พล.ต.ต.คงเดช ชูศรี จับกุม และถูกศาลพิพากษาให้จำคุกให้ข้อหาหลอกลวงประชาชน”

จากการค้นคว้าของผู้เขียน ยังไม่พบข้อมูลที่ยืนยันแน่นอนว่าได้มีผู้ที่ได้พบกับเปรตอย่างแท้จริง มีท่านผู้รู้กล่าวว่าผู้ที่จะพบเปรตได้นั้น ต้องเป็นญาติพี่น้อง มีความเกี่ยวเนื่องทางหนึ่งทางใดกับดวงวิญญานนั้นๆ จึงจะได้พบกับเปรต หรือมิฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่เจริญวิปัสสนาจนมีฌานแกร่งกล้าสามารถติดต่อกับโลกวิญญานได้

ที่เล่ามาจนยืดยาวเกี่ยวกับเรื่องของเปรต ก็เพราะต้องการจะเท้าความให้เข้าใจกระจ่างเรื่องของเปรตอย่างที่เราได้ยินมา สรุปแล้วก็คือเป็นเรื่องในตำนานที่สอนให้เกรงกลัวต่อการทำบาปกรรม ส่วนเรื่องการได้พบกับเปรตอย่างที่พิสูจน์ได้นั้นก็เหมือนกับเรื่องผีทั่วไป คือพิสูจน์ไม่ได้ เขาเล่าว่า หรือเอาเข้าจริงๆก็เป็นการเห็นได้ยินหรือสัมผัสที่เกิดจากความเชื่อและความกลัวประกอบกับความมืด และการคิดไปเองเสียมากกว่า

แล้วที่ว่าผู้เขียนได้ไปพบเปรตมานั้น เป็นอย่างไร

เปรตที่ว่านี้เป็นเพื่อนสนิทของผู้เขียนเอง เธอเป็นคนสวย มีจิตใจดีมีเมตตาและชอบทำบุญทำทานเป็นประจำ เพื่อนคนนี้มีความรักและกตัญญูต่อบิดามารดาเป็นยิ่งนัก แม้นบิดาเสียชีวิตไปแล้วก็ยังระลึกถึงและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บิดาไม่เคยขาด ส่วนมารดาซึ่งอยู่ในวัยชรานั้น เธอก็ส่งเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หาได้ ตัวเองเก็บไว้เพียงพอใช้ ส่วนที่เหลือส่งให้มารดาตลอด ตัวเองจะทุกข์ร้อนก็ไม่เคยปริปากให้มารดาเป็นกังวล ส่วนตัวมารดาเองนั้นเมื่อได้เงินเป็นประจำ หากได้น้อยบ้างช้าบ้างก็มักจะค่อนขอดเปรียบเทียบบุตรของตนกับบุตรคนข้างบ้านให้เป็นที่น้อยใจว่า บ้านโน้นเขาส่งเงินมาให้แม่ทุกเดือน ทำนองตำหนิบุตรของตนว่าไม่ส่งเงินมาเป็นประจำอย่างเขา ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเธอตกงานและได้รับความลำบากเช่นนี้เป็นต้น เมื่อยามที่เธอมีเงินมากก็จะมีเพื่อนฝูงมาสนิทสนม ชอบมาขอหยิบขอยืมเงิน แล้วก็ไม่ใช้ เมื่อทวงก็โกรธ นำเธอไปด่าว่าต่างๆนาๆ จนตัวเธอเองนั้นมักจะมาปรับทุกข์กับผู้เขียนอยู่เป็นประจำว่า ทำบุญกับคนไม่ขึ้น ทำคุณบูชาโทษ เธอผู้นี้ถูกโกงเงินไปจากคนที่เป็นเพื่อนสนิท คนรู้จัก และคนรอบตัว เป็นจำนวนมาก จนปัจจุบันนี้กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่คบหาใคร มักชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว

เท่าที่เล่ามาท่านผู้อ่านก็คงจะเห็นว่าไม่เห็นจะเกี่ยวกับเปรตเลยสักนิด เปรตที่ผู้เขียนว่านั้นไม่ใช่ใครที่ไหนก็คือเพื่อนคนนี้ของผู้เขียนนั่นเอง

ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนดีมีเมตตา มีรูปร่างหน้าตาที่สวยงาม มีฐานะเงินทอง แต่เธอเป็นผู้มีความตระหนี่ขี้เหนียวเป็นที่สุด โดยเฉพาะตระหนี่กับการเป็นอยู่ของตนเอง อย่างเช่น เธอจะไม่ยอมกินอาหารดีๆ หากในวันนั้นเธอไม่มีรายรับ เธอก็จะกินอาหารเพียงเพื่อไม่ให้หิว เช่นดื่มน้ำมากๆ หรือต้มบะหมี่สำเร็จรูป เธอจะยอมอดมื้อกินมื้อเพราะเสียดายเงิน เวลาได้คูปองจากฟาสฟู้ดมีส่วนลดราคา ก็จะเดินไปเพราะไม่มีรถ ถึงจะไกลก็ยอมเดินไปสองถึงสามไมล์เพื่อไปซื้อเมนูประหยัดที่ถูกกว่าที่อื่น หนึ่งเหรียญหรือสองเหรียญ เวลาจะไปซื้อน้ำดื่มก็จะเดินไปสองไมล์เพื่อไปยัง 99 เซ็นต์เพื่อซื้อน้ำดื่มแล้วหิ้วกลับมา ทั้งๆที่ร้านอื่นอยู่ข้างๆบ้านและแพงกว่าแค่ 25 เซ็นต์ เวลาไปทานอาหารกับใคร เธอก็จะเพิกเฉยเสียไม่ยอมควักจ่ายเงิน เพราะเสียดายเงิน เธอจะคิดเล็กคิดน้อยเป็นเซ็นต์เป็นเพนนีในเวลาที่เธอซื้อของ โดยเฉพาะที่ให้กับตัวเอง แต่เรื่องแปลกคือเวลาทำบุญเธอจะยอมทำ ยอมเสียเงิน บางครั้งกำเงินไปซื้อไก่ย่างแต่บังเอิญพบโฮมเลสเสียก่อน เธอก็เปลี่ยนใจซื้ออาหารให้โฮมเลส แล้วตัวเองกลับไปกินมาม่าที่บ้าน

ผู้เขียนมานั่งพิจารณาดูชีวิตของเพื่อนคนนี้แล้วก็เห็นว่าเป็นเปรตชนิดหนึ่ง คือมีความทุกข์ทรมานอยู่กับความตระหนี่ขี้เหนียว นี่เรียกว่าเป็นกรรมติดตัวมาแต่ก่อน คือมองไม่เห็นประโยชน์ของการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่เห็นคุณค่าของสุขภาพของตนเอง สิ่งนี้เรียกว่าเป็นกรรมบังตา จึงบังเกิดเป็นเปรต ทนทุกข์ทรมานอยู่กับความหิวโหยของตน แต่มีวิมานอยู่เป็นนางฟ้า อยู่ในสวรรค์เพราะมีกตัญญูกตเวที มีรูปสวยงดงาม แต่เมื่อหิวกลับกลายเป็นเปรตเป็นที่น่าเวทนา

เมื่อได้เห็นชีวิตของเพื่อนผู้นี้ ก็ให้ย้อนมองตนเองและคนรอบข้างว่า เรานั้นล้วนแล้วแต่เป็นเปรตที่ชดใช้กรรมในแบบที่ต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องของกรรมบังตา ทำให้ไม่เห็นว่าตัวเองนั้นอยู่ในบ่วงกรรมและไม่เห็นว่าตนจะสามารถพ้นจากกรรมนั้นได้ เช่นภรรยาที่ทนอยู่กับสามีที่ติดสุรา เมื่อเมาแล้วก็ทะเลาะตบตี ทำร้ายร่างกาย แต่ภรรยาก็ยังสู้อดทนไม่ยอมเลิกรา อยู่กันอย่างนั้นเป็นสิบปียี่สิบปี นี่เรียกว่าเป็นกรรมให้เกิดมาเป็นเปรตต้องมาถูกตบตี ถึงจะหลุดพ้นได้ก็ไม่ยอมหลุดพ้น บางคนอดทนทำงานกับนายจ้างที่กดขี่ให้ค่าแรงต่ำ ใช้ให้ทำงานหนักมาเป็นสามสิบสี่สิบปี ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนมีความสามารถ ถ้าลาออกไปทำงานที่อื่นก็จะได้เงินเดือนมากกว่ามีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องก้มหน้าทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่เพราะตัวเองไม่มีความมั่นใจ ด้วยอยู่กับนายจ้างนี้มานาน กลัวตัวเองจะไปไม่รอดจึงไม่กล้าลาออก อดทนให้เขาใช้งานเยี่ยงทาสอยู่นั่น อย่างนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นเปรตอย่างหนึ่ง มิใยคนรอบข้างจะพูดจะเตือนก็ไม่อาจฟังให้เข้าหูได้เพราะกรรมมาบังอยู่อย่างนั้น

วันนี้เราลองพิจารณาตนกันดีไหมว่า เรานั้นเป็นเปรตประเภทใด ไม่แน่เราอาจจะได้เห็นว่าเรามีกรรมต้องมาเกิดเป็นเปรตเช่นโบราณว่า แล้วก็ยังไม่รู้ตัวว่าเกิดเป็นเปรตอยู่ จึงหาทางออกจากภพภูมินี้ไม่ได้ ผู้เขียนก็จะลองคิดดูเหมือนกันว่าตัวเองเป็นเปรตประเภทใด เมื่อพิจารณาได้แล้วก็คงหาทางพ้นกรรมไปเกิดใหม่ได้ไม่ยาก จริงหรือไม่