ไลฟ์สไตล์
จอมพล
อย่าตัดสิน

ผ่านปีใหม่มาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ช่วงปีใหม่เป็นช่วงที่เรามักจะคิดที่จะเริ่มต้นใหม่ และเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองจากนิสัยบางอย่างที่ไม่ดี ฝรั่งเขาเรียกว่า New Year Resolution เช่นบางคนอาจจะเลิกสูบบุหรี่ เลิกทานขนมจุบจิบ เลิกนินทาคนอื่น หรือเลิกอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะมากมาย ตามแต่ความสามารถที่ปัญญาจะพิจารณามองเห็นความไม่ดีของตนเอง แล้วมีสติพอที่จะคิดลดละเลิกให้เป็นคนที่ดีกว่าเดิมได้ แต่หลายครั้งเราก็คงจะยอมรับว่าเราเองนั้นก็มืดบอดและมองไม่เห็นความไม่ดีของตนเอง คนอื่นต่างหากที่จะมองเห็นสิ่งไม่ดีในตัวเราได้ แต่ด้วยทิฐิและความถือดีทำให้เราไม่นำพากับเสียงเตือนของคนรอบข้าง หรือคิดไปว่าเราเป็นของเราแบบนี้ อยากจะรัก อยากจะคบเรา ก็ต้องทนเราให้ได้ เป็นเสียอย่างนั้น

ผู้เขียนเองเป็นคนนิสัยไม่ดีหลายอย่าง รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้างเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่สิ่งหนึ่งที่บางครั้งเพื่อนก็บอกก็เตือนอยู่เสมอ นั่นก็คือการตัดสินคนอื่น ผู้เขียนชอบพูดเหมารวมอยู่บ่อยๆ อย่างเช่น “ไม่ชอบคนยิวเพราะขี้เหนียวแล้วก็เห็นแก่ตัว” การพูดเหมารวมว่า “คนยิว” เป็นการไม่เป็นธรรมกับคนยิวทั้งหมด เพราะไม่ใช่คนยิวทั้งหมดที่เป็นคนขี้เหนียวและเห็นแก่ตัว คนดีๆเขาก็มี การพูดแบบเหมารวมจึงเป็นนิสัยไม่ดีที่ควรเลิก

นิสัยการชอบตัดสินคนอื่นนี้ คนไทยเราเป็นกันมาก เรามักจะตัดสินคนจากภายนอกเช่น การแต่งตัว การพูดจา ตัดสินจากข้าวของเครื่องใช้ รถราที่ขับ คนไทยหลายคนจึงต้องพยายามแต่งตัวดีๆ ใส่เครื่องประดับมากๆถึงแม้เป็นของเก๊ก็ต้องใส่ อย่างเช่นมักจะมีคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆอย่างเช่น “จะไปงานแต่งงานทั้งที ดูสิทองหยองไม่มีใส่สักเส้น” เมื่อมาอยู่เมืองนอกอย่างในแอลเอนี้ ได้พบว่าคนที่นี่ไม่ใคร่จะตัดสินคนจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมากอย่างที่เมืองไทย แต่ก็ไม่ใช่ว่าที่แอลเอนี้จะไม่ตัดสินคนจากภายนอก แต่การตัดสินคนของคนที่นี่ไม่ได้พุ่งเล็งไปยังเสื้อผ้าการแต่งตัว รถที่ขับ เงินทองหรืองานที่ทำ อย่างที่คนไทยมองเป็นจุดแรก ผู้เขียนกลับเห็นว่าคนที่นี่ตัดสินคนทันทีที่ภาษาที่ใช้ เนื่องเสียจากว่าแอลเอเป็นเมืองใหญ่ที่มีคนมากมายหลากหลายเชื้อชาติหลายภาษา คนที่พูดภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นหรือสำเนียงฟังยากและมีสำเนียงของภาษาแม่ออกมาอย่างฟังได้ชัด มักจะถูกตัดสินว่าเป็นชนชั้นล่าง เป็นแรงงานต่างชาติ และอาจจะเป็นแรงงานผิดกฏหมาย แล้วเลยโดนดูถูกและไม่ค่อยได้รับความสะดวกหรือความเกรงใจเวลาไปติดต่อกับใคร

สาเหตุที่ผู้เขียนมาฉุกใจคิดได้เรื่องของการชอบตัดสินคนจากภายนอกก็เพราะได้อ่านเรื่องๆหนึ่ง เสียแต่ว่าจำไม่ได้แล้วว่าได้อ่านมาจากที่ใด พออ่านแล้วก็คิด คิดแล้วก็เกิดปัญญา แล้วก็มองย้อนดูตัว แล้วก็สอนตัวว่าไม่ควรประพฤติปฏิบัติอย่างนั้น เรื่องที่อ่านมาจะหาก็หาไม่เจอเสียแล้ว จึงขออนุญาตเขียนใหม่แต่มั่นใจว่าได้ใจความครบดังต่อไปนี้

“บนรถโดยสารประจำทางสายหนึ่ง มีผู้โดยสารอยู่บางตา ด้านขวามือของที่นั่ง มีชายสองคนนั่งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งเป็นชายสูงอายุ ประมาณสัก ๖๐ ปี ซึ่งนั่งติดกับชายหนุ่มอายุประมาณ ๒๓ ปีซึ่งนั่งติดริมฝั่งหน้าต่าง ฝั่งตรงข้ามของสองคนนั้น มีผู้โดยสารอีกสองคนนั่งอยู่ ชายหนุ่มผู้ซึ่งอายุประมาณ ๒๓ ปีแล้วนั้นนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถ และแลเห็นได้ชัดถึงความตื่นเต้นกับทัศนียภาพที่เห็นในระหว่างที่รถโดยสารนั้นขับผ่านไป เขาตะโกนเสียดัง “พ่อ พ่อ ดูเสาไฟสิมันทิ้งห่างเราไปแล้ว” “พ่อครับ ดูก้อนเมฆนั่นสิมันลอยตามเรามาแล้ว” “พ่อครับพระอาทิตย์ตกสวยจัง” “พ่อครับนั่นต้นไม้ใช่ไหมครับ ต้นใหญ่จังเลยครับ” ตลอดทางที่รถวิ่งผ่าน เด็กหนุ่มมีท่าทีตื่นเต้นในสิ่งที่ธรรมดาเสียเหลือเกิน เมื่อมันมากเข้า ผู้โดยสารอีกสองคนก็เริ่มกระสับกระส่ายด้วยความรู้สึกรำคาญใจ จนกระทั่งหญิงคนหนึ่งอดรนทนไม่ไหว เริ่มหันไปถามคำถามกับบิดาของเด็กหนุ่มผู้นั้น “คุณได้พาลูกของคุณไปพบแพทย์ บ้างหรือเปล่านี่” บิดาของเด็กหนุ่มหันมายิ้มแล้วกล่าวว่า “ครับผมพาลูกชายไปหาหมอมาเป็นสิบปีแล้ว” ผู้โดยสารชายอีกคนที่นั่งติดกับหญิงผู้นั้นก็กล่าวเสริมขึ้นมาด้วยเสียงดูถูกว่า “ ผมว่าคุณควรจะหาหมอที่ดีกว่านี้นะ” บิดาของเด็กหนุ่มหันมาแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิมพร้อมกับกล่าวว่า “หมอคนนี้เป็นคนที่เก่งที่สุด เพราะวันนี้เป็นวันแรกในชีวิตหลังจากการรักษามาเป็นเวลานานที่ลูกชายของผมได้มองเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา”

เรื่องก็จบลงเพียงเท่านี้ แต่เราได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง เราเองนั้นชอบตัดสินคนอื่นโดยไม่เคยรู้เลยว่าเขาผ่านอะไรมาบ้างหรือเปล่า

“เราจะรังเกียจผู้ชายที่มีแผลพุพองเต็มตัวไหม ถ้ารู้ว่าเขาเคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงจากน้ำกรด เราจะนินทาเพื่อนร่วมโรงเรียนที่ท้องไหม ถ้ารู้ว่าเธอถูกข่มขืน เราจะรำคาญคนที่เดินช้าๆข้างหน้าเราไหม ถ้ารู้ว่าเขาใส่ขาเทียม เราจะสมเพชผู้หญิงที่เป็นเอดส์ไหม ถ้ารู้ว่าเธอติดโรคมาจากคุณแม่ของเธอ เรารู้เสมอว่าเราผ่านอะไรมา แต่เราไม่รู้หรอกว่าคนอื่นผ่านอะไรมาบ้าง พวกเขาเหล่านี้ไม่มีทางเลือกเลย พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้ทำผิดอะไร อย่าตัดสินคนจากสิ่งที่คุณเห็นหรือสิ่งที่คุณได้ยิน”

นี่เป็นอีกบทความหนึ่งที่อาจจะพอทำให้เราฉุกใจคิดได้ว่า เรากำลังตัดสินคนอื่นอยู่ด้วยสายตาที่ไม่เป็นธรรม

การตัดสินคนอื่นโดยไม่รู้เรื่องราวที่มาที่ทั้งหมดนั้นอาจจะทำให้เราเข้าใจคนอื่นผิดและกลายเป็นเรื่องร้ายแรงก็เป็นได้อย่างเช่นเรื่องที่อ่านมาดังนี้

“เหตุแห่งการกระทำอันรุนแรง หลายครั้งเนื่องมาจาก เชื่อในสิ่งที่คนอื่นเล่า เชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น แล้วตัดสินว่าดี-ชั่ว ควร-ไม่ควร เช่น "เมียขี้หึง ยิงดับสามีรักคาที่ทำงาน เพราะเห็นนั่งอยู่กับเลขาสาว" ทั้งๆที่ภาพที่เห็น ก็คือสามีและเลขา กำลังนั่งทำงานด้วยกัน และไม่ได้มีอะไรเกินเลยไป แต่พิษของความหึง และฟังคนอื่นเอามาเล่า ว่าสามีเธอมักไปไหนมาไหนกับเลขาสาวเสมอ(ทำงานด้วยกันก็ต้องไปไหนมาไหนด้วย กันบ้างเป็นธรรมดา) รวมทั้งคำอื่นๆที่ผู้พูดใส่ไข่เข้าไปอีก ก็ย่อมทำให้คนขี้หึงเกิดจุดเดือดของอารมณ์ได้ แล้วผู้พูดที่เก็บไปเล่าให้เขาฟัง จะได้คิดหรือเปล่าว่า สิ่งเล็กๆที่ตนเล่าไปด้วยความสุนุกนั้นสามารถปลิดชีวิตหรือทำลายครอบครัวของ เขาได้

กรณีเล็ก กว่านี้ แต่ก็เตือนสติได้ไม่น้อย : "เด็กชายเอ (นามสมมติ) ตั้งใจเรียน แต่ขาดเรียนเป็นประจำ หรือบางวันก็หายไปจากโรงเรียนตอนประมาณ 11.00 น. แล้วกลับมาอีกครั้งตอนบ่ายสอง ครูลงโทษที่เด็กชายเอ โดดเรียนด้วยการตี เพราะคิดว่าเด็กชายเอไม่ตั้งใจเรียน เพื่อนคนหนึ่งเห็นแอบไปเห็นเด็กชายเอที่หลังวัด ก็เก็บเอามาเล่าให้เพื่อนและครูฟังว่า "สงสัยเด็กชายเอ ต้องติดกาวแน่เลย ที่หายไปเพราะมัวแต่ไปแอบดมกาวอยู่" แต่จะมีใครรู้บ้างว่า พ่อทิ้งเขาไป แม่เป็นอัมพาต ไม่เคยได้ทานอาหารเช้า เขาต้องรีบมาวัดเพื่อจะได้เก็บข้าวก้นบาตรหลังพระฉันเพลไม่งั้นแม่ครัวอาจจะเทอาหารที่เหลือให้สุนัขและแมว ไม่อยากให้ใครเห็นว่าหนีเรียนมา ห่อข้าวก้นบาตรได้แล้ว ก็รีบออกไปหาที่นั่งใต้ต้นไม้ทานหลังวัด และแบ่งไว้ให้แม่ได้ทานด้วย เพราะครูสงสัย ครูจึงตามไปดู และพบกับความจริงของชีวิตเด็กชายเอ ยังไม่ได้ รับฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่าเป็นอย่างไร หรือตัดสิน ดี-ชั่ว งาม-ไม่งาม เพราะภาพที่เห็น อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป

คนนินทาคน อื่นในสังคม แล้วคนร่วมในวงนินทาก็เชื่อในสิ่งที่ได้ฟัง..ยังมีอยู่อีกมาก และดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ที่ไม่มีใครไม่ถูกนินทา และไม่มีใครที่ไม่นินทาผู้อื่น และในการนินทาก็มักจะแต่งเติมเสริมเรื่อง ตัดสิน ดี-ชั่ว ใส่ความคิดเห็นอยู่ในเรื่องที่เล่าเสมอ ....จนบางคนก็ได้ฆ่าตัวตายเพราะเครียดที่ทนฟังคนอื่นนินทาตนเองไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าเรื่องที่เขานินทาตนนั้น มันมีความจริงไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำไป แต่ก็เก็บมาคิด เครียด และตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงไป

สังคมที่ อ่อนแอ ทำให้จิตใจคนอ่อนแอลงไปด้วย...เราไม่รู้หรอก ว่าใครมีจิตอ่อนแอหรือเข้มแข็งมากแค่ไหน แต่หากคุณมีจิตที่เข็มแข็ง ก็ย่อมมีความสามารถกรั่นกรอง และไม่ตกเป็นทาสของการทำร้ายคนอื่นด้วยการตัดสินคนอื่น

การที่เรา ไปตัดสินภาพที่เราเห็น แล้วนำไปเล่าต่อ จึงไม่ใช่แค่เรื่องสนุกๆของคนเล่าที่ไร้สติ ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งความทุกข์อันใหญ่หลวง โดยที่คุณคาดไม่ถึงก็ได้ (http://www.gotoknow.org/posts/295609)

นอกจากเรื่องของการคิดไปเอง จนเข้าใจผิดผู้อื่น ในบางครั้งสิ่งที่เป็นความผิดของตนเอง แต่ด้วยความเข้าใจผิดจึงคิดว่าเป็นความไม่ดีของคนอื่น ก็เกิดขึ้นได้เสมอ ลองอ่านเรื่องต่อไปนี้ดู

“ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี จำเป็นต้องรอเวลาถึง3 ชั่วโมง ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม และคุ๊กกี้ 1 ห่อ และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุ๊กกี้ เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้าง ๆ เธอมีชายหนุ่ม ซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุกกี้ออกจากถุง ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันอย่างละชิ้น เธอมองด้วยความโกรธ...!!1 แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย...กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า "ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็....ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย" ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น ทั้งสองส่งสายตามองกัน...เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น.... เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า "เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆ ช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ" เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ เธอตกใจมาก ถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า..... คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง...

มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด... มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น... และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย

นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่น หลาย ๆ สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วคอยสงสัยตัวเองว่า…..

"เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง? และ เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่"( http://atcloud.com/stories/31138)”

ปีใหม่นี้ผู้เขียนจึงต้องระวังไม่ให้ตัดสินผู้อื่นจากสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน โดยไม่ได้รู้ให้ลึกซึ้งเสียก่อนถึงความเป็นมาของสิ่งนั้น ต้องเตือนตนให้มองสิ่งต่างๆรอบตัวอย่างเป็นธรรม และโดยใช้เมตตาเข้ามาจับอยู่เสมอ และเมตตานี้คือธรรมตัวที่จะทำให้ให้อภัยกับคนที่ทำให้เราขุ่นเคืองก่อนที่เราจะได้รู้ความจริงว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร หวังว่าผู้อ่านไลฟ์สไตล์คงเห็นด้วยครับ