ไลฟ์สไตล์
จอมพล
หลากภพหลายเทพ

ผู้เขียนเพิ่งได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งมีชื่อว่า “Many Lives, Many Masters” เขียนโดย ดร. ไบรอัน แอล ไว้สส์ ซึ่งผู้เขียนแปลว่า หลากภพหลายเทพ สาเหตุที่ผู้เขียนแปลคำว่า Masters ว่า “เทพ” ก็คงจะเป็นเพราะหลังจากที่ได้อ่านใจความสำคัญแล้ว คำว่า Master หรือที่เราแปลว่า “อาจารย์” หรือ “ผู้เชี่ยวชาญ” ในหนังสือเล่มนี้แล้วนั้น ดร.ไว้สส์หมายความถึง พลังงานที่อยู่ในระดับสูงกว่ามนุษย์ที่แทรกเข้ามาใช้สื่อผ่านมนุษย์เพื่อติดต่อหรือส่งข่าวสารให้กับมนุษย์คนอื่นๆ ในที่นี้ ภาษาไทยเข้าใจได้ง่ายกว่าภาษาอังกฤษ เพราะเรามีความเชื่อในเรื่องนี้อยู่แล้วว่าท่านเป็นเทพที่ติดต่อสื่อสารผ่านร่างทรง ส่วนฝรั่งนั้นไม่มีคำนี้ จะมีก็แต่คำว่า Angel ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า “เทพ” เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามในศาสนาพุทธที่คนไทยเราเข้าใจกันอยู่ดีนั้น “เทพ” มีหลายระดับชั้นขึ้นไป ตั้งแต่เทพยดาในชั้นสวรรค์เบื้องต้นเช่นจาตุมหาราชิกา เรื่อยไปจนถึง สวรรค์ชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตวสวัตดี ตลอดไปจนสูงขึ้นถึงชั้นพรหมโลก อันแบ่งเป็น รูปพรหมและอรูปพรหม ฉะนั้นหากใช้คำว่า “เทพ” เราคนไทยก็จะเข้าใจได้ง่ายกว่า

หนังสือเล่นนี้เป็นหนังสือที่ขายดีและมีผู้อ่านมาก ผู้เขียนได้รับคำแนะนำให้อ่านจากเพื่อน เมื่ออ่านแล้วก็ไม่แปลกใจเนื่องจากเป็นชาวพุทธ และชาวพุทธก็เชื่อในเรื่องของการกลับชาติมาเกิดอยู่แล้ว จะว่าไปเรื่องของภพและชาติเป็นความรู้พื้นฐานที่พระพุทธองค์ทรงสอนอยู่แล้ว จึงไม่เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจแต่อย่างไร ถึงกระนั้นผู้เขียนก็ยังเห็นว่าในมุมมองของฝรั่งโดยเฉพาะคนที่เป็นดอกเตอร์ทางด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์เยล ซึ่งได้ค้นพบหลักฐานของการกลับชาติมาเกิดแล้วบันทึกอย่างเป็นหลักวิชาการและสามารถพิสูจน์ได้ นับได้ว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์สำหรับชาวตะวันตกให้กว้างขึ้นอย่างน่าทึ่ง

ชาวตะวันตกที่นับถือศาสนาคริสต์นั้น จะไม่ยอมรับเรื่องของการกลับชาติมาเกิด ทั้งนี้ก็เพราะในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจะสอนว่า มนุษย์เรานั้นมีชาติภพเดียว เมื่อตายไปแล้ววิญญานจะรอคำพิพากษาจากพระเจ้า หากเชื่อในพระเจ้าและทำความดีก็จะได้อยู่ในอาณาจักรของพระองค์ หากทำชั่ววิญญานจะไปบังเกิดในนรกและไม่มีวันได้ผุดเกิดอีก ความเชื่อในเรื่องวันพิพากษานี้ไม่ได้อยู่ในคริสต์ศาสนาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงศาสนายิว และศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นสามศาสนาใหญ่ในโลกนี้อีกด้วย

อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปชาวตะวันตกก็หันมาสนใจเรื่องของการกลับชาติมาเกิดกันมากขึ้น ทั้งนี้ก็ด้วยการค้นพบหลักฐานอันเหลือเชื่อของคนที่สามารถระลึกชาติได้ และสามารถจดจำเหตุการณ์ในอดีตชาติได้อย่างแม่นยำและพิสูจน์ได้ หนังสือที่ผู้เขียนเพิ่งได้อ่านนี้ก็เช่นเดียวกัน

หนังสือเรื่อง “หลากภพหลายเทพ” กล่าวถึง ประสบการณ์ของดร.ไว้สส์ ซึ่งเป็นนักจิตวิทยา ได้ทำการรักษาคนไข้คนหนึ่งมีนามว่า แคธเธอรีน เธอมาหาเขาด้วยอาการทางจิต ซึ่งมีอาการหวาดผวา กลัวความมืด กลัวความตาย นอนไม่หลับ กลัวการถูกบีบคอ กลัวน้ำ กลัวเครื่องบิน และไม่สามารถกลืนยาเม็ดได้ โดยปรกติอาการที่เกิดขึ้นของผู้ป่วยทางจิตนี้ ทางการรักษาทางจิตวิทยาจะใช้การให้ผู้ป่วยเล่าเรื่องในอดีตที่เป็นประสบการณ์อันทำให้ผู้ป่วยเกิดความสะพรึงกลัว ซึ่งส่วนมากจะเกิดขึ้นในวัยเด็ก การที่ผู้ป่วยได้ย้อนรำลึกถึงอดีตนั้นจะทำให้แพทย์สามารถโน้มน้าวให้ผู้ป่วยเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นได้จบลงไปแล้ว และทำให้ผู้ป่วยเกิดความมั่นใจในความปลอดภัยของตนในปัจจุบัน และสามารถเข้าใจในจิตของตน ซึ่งนำไปสู่อาการที่ดีขึ้นในปัจจุบันได้ ดร.ไว้สส์ได้พยายามให้แคธเธอรีนเล่าเรื่องในอดีตของตนที่เติบโตมาในครอบครัวที่แตกแยก การเป็นบุตรคนกลาง ไม่ได้รับความรักและการดูแลเท่าที่ควร ประกอบกับมีบิดาที่ติดสุราตบตีและทำร้ายทุกคนในครอบครัวมาโดยตลอด ทำให้เธอเกิดอาการในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าแคธเธอรีนจะได้รับการรักษาแต่ดูเหมือนว่าอาการจะไม่ดีขึ้นเลย เธอยังคงมีอาการทางจิต ประสาทหลอนอยู่ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสงสัยสำหรับแพทย์ ดร.ไว้สส์จึงตัดสินใจใช้การสะกดจิตเพื่อให้เธอรำลึกถึงความทรงจำที่เก็บอยู่ในจิตใต้สำนึก ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือแคธเธอรีนได้ย้อนกลับไปเกินชาตินี้ แต่กลับพูดถึงชาติก่อนๆหลากหลายชาติ พูดถึงความตายที่เกิดจากการถูกฆาตกรรมซ้ำแล้วซ้ำอีกในหลายชาติ ซึ่งในการรักษาแต่ละครั้งอาการของเธอก็ดีขึ้นโดยตลอด อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นก็คือ แคธเธอรีนไม่สามารถจดจำรอยต่อของแต่ละชาติได้ หมายความว่าเมื่อเธอเสียชีวิตแล้วเธอมองเห็นตัวของเธอที่ตายไปแล้วเห็นแสงสว่าง จากนั้นก็จำไม่ได้อีกต่อไปว่าเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนว่าชีวิตของเธอเปลี่ยนภพไปในทันใด

ในการสะกดจิตแต่ละครั้ง ปรากฏว่าในระหว่างช่วงที่เธอกล่าวถึงความตายของในแต่ละชาตินั้น ปรากฏว่ามีเทพแทรกเข้ามาและพูดกับดร.ไว้สส์ ตอบคำถามบางคำถามที่น่าสนใจ และเทพที่เข้ามาใช้ร่างของแคธเธอรีนนั้นก็มีอยู่หลายองค์ด้วยกัน ที่เฉลยปัญหาบางประการที่ดร.ไว้สส์ถามอย่างน่าอัศจรรย์

หลังจากที่การรักษาดำเนินไปตลอดระยะเวลาหลายเดือนนั้น แคธเธอรีนได้มีอาการดีขึ้นเรื่อยๆและยังมีญาณหยั่งรู้เหตุการณ์ในอนาคต ตลอดจนพูดถึงเรื่องของดร.ไว้สส์ที่ไม่มีใครเคยรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบุตรชายที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจหลังจากเกิดมาได้เพียงไม่กี่เดือน และพูดถึงคุณปู่ของดร.ไว้สส์ที่เสียชีวิตไปแล้วทั้งยังเอ่ยนามในภาษาฮิบบรูได้อย่างถูกต้อง

สิ่งที่น่าสนใจที่ผู้เขียนปรารถนาจะได้นำมาเล่าสู่กันฟังจากหนังสือเรื่องนี้คือ คำบอกเล่าของเทพที่เล่าผ่านร่างทรงของแคธเธอรีน ที่มีผ่านมาหลายองค์ บางองค์ก็สูงกว่าองค์อื่น ซึ่งในฐานะของคนไทยที่นับถือพุทธอย่างที่เรียนให้ทราบแล้วว่า เราไม่แปลกใจที่มีเทพหลายชั้น เพราะเรารู้ดีว่าการบังเกิดเป็นเทพนั้นต่างกันแล้วแต่กรรมดีที่ทำ ปรากฏการณ์หนึ่งซึ่งเทพท่านหนึ่งได้เล่าให้ดร.ไว้สส์ฟังคือวิญญานของมนุษย์นั้นเมื่อสิ้นกายเนื้อแล้วก็จะจุติทันทีโดยผ่านมิติทั้งหมด ๗ มิติด้วยกัน และวิญญานจะมีโอกาสได้เลือกเกิดได้ ทั้งนี้ในหนังสือไม่ได้กล่าวถึงกรรมตามอย่างพุทธ แต่กล่าวถึงความละเอียดของจิตที่นำไปเกิด ความในตอนนี้ไม่กระจ่างชัด ทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน เพียงแต่ถูกเล่าผ่านร่างทรงซึ่งไม่มีความรู้ใดๆเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายเลย

ต่อจากนี้ผู้เขียนจะได้แปลข้อความบางตอนจากในหนังสือที่น่าสนใจเผื่อผู้อ่านไลฟ์สไตล์จะสนใจนำมาอ่านดูบ้างดังนี้

1. “Our task is to learn, to become God-like through knowledge… By knowledge we approach God, and then we can rest. Then we come back to teach and help others.”
หน้าที่ของเราคือการเรียนรู้ ที่จะทำให้เราเป็นเหมือนพระเจ้า โดยความรู้ ด้วยความรู้นั้นเราจะเข้าถึงพระองค์และเราก็จะได้พัก และแล้วเราจะกลับมาเพื่อที่จะสอนและช่วยผู้อื่นอีกต่อไป

2. “There are many gods, for God is in each of us.”
มีพระเจ้าอยู่มากมาย คือพระเจ้าที่สถิตย์อยู่ในเรานั่นเอง

3. We have to be on “different planes at different times. Each one is a level of higher consciousness. What plane we go to depends upon how far we’ve progressed…”
เราต้องพบกับ “ต่างระนาบที่ต่างเวลา ในแต่ละระนาบนั้นจะอยู่ในระดับของจิตที่สูงกว่า เราจะอยู่ในระนาบไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเราไปได้ไกลเพียงใด”

4. “We must share our knowledge with other people. We all have abilities far beyond what we use. …you should check your vices… if you do not, you carry them over with you to another life… when you decide you are strong enough to master the external problems, then you will no longer have them in your next life.”
เราต้องแบ่งปันความรู้ของเราแก่ผู้อื่น เรามีความสามารถเกินกว่าที่เราได้ใช้ คุณต้องตรวจตราจุดบกพร่องของตน หากคุณไม่ทำ คุณจะเก็บมันไว้จนถึงชาติอื่นๆ เมื่อใดที่คุณพบว่าคุณแข็งแรงเพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาภายนอกของตน คุณก็จะไม่ต้องมีมันในชาติหน้าอีกต่อไป

5. “Everybody’s path is basically the same. We all must learn certain attitudes while we’re in physical state. …charity, hope, faith, love…we must all know these things and know them well.”
แผ้วทางของทุกคนนั้นเหมือนกัน เราต้องเรียนรู้จิตของตนในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ การอุทิศ, ความหวัง, ความศรัทธา, ความรัก เราต้องเรียนรู้อย่างถ่องแท้

6. “Everything is energy… Humans can only see the outside, but you can go much deeper… To be in physical state is abnormal. When you are in spiritual state that is natural to you. When we are sent back, it’s like being sent back to something we do not know. In the spirit world you have to wait, and then you are renewed. It’s a dimension like the other dimensions…”
ทุกสิ่งคือพลังงาน มนุษย์สามารถเห็นสิ่งภายนอก แต่คุณสามารถที่จะเห็นได้ลึกกว่านั้น การที่จะรู้ตนในภาวะกายเนื้อนั้นเป็นสิ่งธรรมดา การอยู่กับภาวะจิตต่างหากที่ควรจะทำให้เป็นธรรมชาติ เมื่อเราถูกส่งกลับ มันเหมือนกับว่าเราถูกส่งกลับไปยังสิ่งที่เราไม่รู้ ในโลกของจิตวิญญานคุณต้องรอคอย และคุณจะได้กลับมาใหม่ มันเป็นมิติที่เหมือนมิติอื่นๆ

7. “The fear of death…that no amount of money or power can neutralize”…remains within us. “But if people knew that life is endless; so we never die; we were never really born, this fear would dissolve.” We have “lived countless times before and would live countless times again…and spirits are around us to help while in physical state and after death, in spiritual state.” We and our deceased loved ones would join these guardian angels.
ความกลัวในความตาย...เงินหรืออำนาจก็ช่วยไม่ได้ ความรู้สึกนี้ฝังในใจเรา “แต่ถ้าเรารู้ว่าชีวิตนั้นไม่มีวันสิ้นสุด และเราไม่มีวันตาย เราไม่เคยต้องเกิดใหม่จริงๆ ความกลัวนี้ก็จะหายไป เรานั้นมีชีวิตอยู่หลายภพหลายชาติจนนับไม่ได้มาก่อนและจะเกิดใหม่อีกต่อไป จิตวิญญานเท่าน้นที่คงอยู่กับเราเพื่อที่จะช่วยในภพภูมินั้นๆหลังจากความตายมาเยือน และเราเหลือเพียงจิตวิญญาน เราและคนที่เรารักก็จะกลับมาพบกันใหม่ในโลกแห่งเทพรักษา

8. “Acts of violence and injustices against people do not go unnoted, but is repaid in kind in other lifetime.”
การกระทำที่รุนแรงและการตัดสินคนอื่นอย่างไม่เป็นธรรมจะคงอยู่และสนองกลับคืนในชาติอื่น

9. “Everything comes when it must come. A life cannot be rushed… we must accept what comes to us at a given time… life is endless… we just pass through different phases. There is no end. Time is not as we see time, but rather in lessons that are learned.

ทุกสิ่งจะมาถึงเมื่อถึงเวลาของมัน ชีวิตเร่งไม่ได้ เราต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเมื่อเวลามาถึง ชีวิตนั้นไม่สิ้นสุด เราจะผ่านสู่หลายชาติภพ โดยไม่มีวันจบสิ้น เวลาไม่ใช่สิ่งที่เราคิดว่ามันเป็น แต่แท้จริงมันคือบทเรียนชีวิตที่เราต้องเรียนรู้

10. After death “we get to the spiritual plane, we keep growing there, too. When we arrive, we’re burned out. We have to go through a renewal stage, a learning stage, and a stage of decision. We decide when we want to return, where, and for what reasons…Our body is just a vehicle for us while we’re here. It is our soul and our spirit that last forever…”
หลังความตาย “เราจะไปสู่ระนาบของจิตวิญญาน เราจะเติบโตขึ้น เมื่อเรามาถึง เราก็เหนื่อยล้า เพราะเราต้องไปสู่ภพใหม่ ภพแห่งการเรียนรู้ และภพแห่งการตัดสินใจ เราจะรู้ว่าเมื่อไรเราต้องการจะกลับไป ไปที่ไหน และไปทำไม ร่างกายนี้เป็นเพียงพาหนะที่จะทำให้เราไปอยู่ที่นั่น จิตและวิญญานต่างหากที่จะยั่งยืนตลอดไป

อย่างที่เรียนแล้วว่า ความคิดและปรัชญาในหนังสือเรื่อง “หลากภพหลายเทพ” นี้ไม่แปลกเป็นอย่างไรสำหรับชาวพุทธ เพราะเป็นสิ่งที่เราเชื่อกันอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามผู้เขียนเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่นับถือชาวต่างชาติที่นับถือศาสนาอื่นจะได้พากันสนใจและนับวันศาสนาพุทธกลับกลายเป็นศาสนาที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนนั้นเป็นความจริงทุกประการ