ไลฟ์สไตล์
จอมพล
เมืองไทยที่รัก

ห่างหายไปเสียหลายอาทิตย์ ผู้เขียนไม่ได้เขียนต้นฉบับไลฟ์สไตล์เพราะกลับไปเยี่ยมบิดามารดาที่เมืองไทย ผู้เขียนไม่ได้ไปเมืองไทยนานแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ไปคือเมื่อเกิดกลียุคปิดท่าอากาศยานระหว่างประเทศจนต้องระเห็ดระเหินบินกลับเกือบไม่ได้ ต้องไปขึ้นเครื่องที่สนามบินอู่ตะเภา แล้วไปรอเครื่องต่อมาแอลเออีกหนึ่งคืนที่สนามบินไทเป ทำเอาลำบากลำบน ครั้งนี้ไม่เป็นเหมือนก่อนเพราะสะดวกสบายไม่มีปัญหา

เมื่อกลับมาถึงแอลเอจึงมีเรื่องเล่าความรู้สึกหลายเรื่องมาฝากท่านผู้อ่านแฟนประจำไลฟ์สไตล์ เมืองไทยปี ๒๐๑๒ ยังคงเหลือคราบรอยของความพินาศดาษดาจากน้ำท่วมเมื่อปีก่อน หมู่บ้านของผู้เขียนนั้นโดนน้ำท่วมแบบเอาอยู่ของนายกปูสูงกว่าหน้าอก และยังคงแสดงคราบรอยน้ำท่วมให้เห็นเป็นที่สยดสยอง บ้านของผู้เขียนนั้นโดนเข้าไปเต็มๆ ก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือนก็ถูกไฟไหม้ คุณพ่อท่านซ่อมบ้านเสร็จปุ๊ปน้ำท่วมต่ออีกฉับพลัน จึงต้องซ่อมซ้ำสอง คนกรุงเทพฯตอนนี้เป็นโรคผวาน้ำท่วม คุยกับแท๊กซี่เขาบอกว่าตอนนี้แถวไหนที่น้ำท่วมหนักเมื่อปีที่แล้ว หมู่บ้านคอนโดต่างๆในละแวกนั้นต่างพากันขายไม่ออก เพราะคนมองแต่ที่ดอนที่น้ำไม่ท่วม ว่ากันเรื่องอสังหาริมทรัพย์ตอนนี้ใครมีเงินก็พากันกว้านซื้อที่ดินเพราะตื่นเต้นกันเรื่องนโยบายเปิดประเทศที่จะอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ ว่ากันว่าคอนโดต่างๆโดยเฉพาะที่ติดรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน ราคาสูงขึ้นลิบลิ่ว น้องเขยของผู้เขียนก็ไปซื้อไว้ที่หนึ่งในซอยอารีย์ ๒ เป็นคอนโดใหม่เอี่ยมราคา ๓ ล้านบาท ผู้เขียนโชคดีเขายังไม่ได้ให้ใครไปเช่าก็เลยได้ไปอยู่ชั่วคราวเพราะใกล้รถไฟฟ้าไปไหนมาไหนสะดวก ห้องใหม่เอี่ยมแต่เล็กจนแมวกลับตัวแทบจะไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าราคาปาเข้าไปสามล้าน นึกๆไปก็อยากจะซื้อเก็บไว้เหมือนกัน เพราะใครๆก็บอกว่าเดี๋ยวจะซื้อไม่ได้แล้ว เปิดกระเป๋ามีอยู่สามร้อยเหรียญจึงสงบอารมณ์ไว้ได้

พูดถึงเมืองไทยต้องพูดเรื่องของแพง นี่จะเป็นเพราะเรายังติดคิดคำนวนราคาจากบาทเป็นดอลล่าร์หรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆต้องพูดอย่างนี้ว่า เมืองไทยมีความเป็นอยู่ที่แบ่งเป็นสองชนิดคือ อยู่แบบคนรวย หรือ อยู่แบบคนจน การอยู่แบบคนจนคืออยู่ในสลัม ขึ้นรถเมล์ กินข้าวแกงตักข้างทาง ไม่ขึ้นแท๊กซี่ ไม่เดินห้าง ไม่ดูหนัง ดูแต่ทีวี อยู่อย่างนี้ก็พออยู่ได้ ข้าวจานละ ๔๐ บาท รถเมล์ฟรี โหนเอาหน่อย แต่ถ้าจะอยู่แบบคนรวยคือ ขับรถ ขึ้นรถไฟฟ้า กินข้าวในร้านอาหารที่พอจะมั่นใจได้ว่าไม่ท้องเสีย เดินห้างบ้างแต่ไม่ซื้อ นี้เรียกว่าอยู่อย่างคนรวย เงินเดือนสองหมื่นก็ไม่พอยาไส้ ผู้เขียนจึงแปลกใจหนักหนาว่าคนไทยอยู่กันได้อย่างไร วันก่อนไปนั่งกินอาหารที่ร้านฟูจิแถวซอยอารีย์ เห็นข้าราชการทหารเดินเข้ามาสองคน สั่งอาหารทานมีปลาดิบ ซูชิคล้ายที่ผู้เขียนสั่ง ซึ่งผู้เขียนก็ไปกินกันแค่สองคน มื้อนั้นตกไป ๑,๕๐๐ บาทไทยคิดเป็นดอลล่าร์ก็ตก ๕๐ เหรียญ เท่ากับกินที่แอลเอในคุณภาพที่เท่ากัน แล้วข้าราชการสองท่านนั้นซึ่งผู้เขียนมั่นใจว่าเงินเดือนข้าราชการย่อมจะไม่มากมายเท่าไหร่ แต่เดินเข้ามาทานอาหารญี่ปุ่นเหมือนเป็นปกติประจำวันทั่วไป มองคนรอบด้านก็เป็นนักเรียนบ้าง คนทำงานบ้าง ไม่ได้ดูเป็นคนร่ำคนรวยมาแต่ไหน จึงแปลกใจว่าคนไทยนี้หนาไม่ใช่ยากจน แต่เป็นคนรวย ร้านอาหารแต่ละร้านราคาอาหารจานหนึ่งๆ๑๐๐ บาทขึ้นไปจนถึง ๕๐๐ บาท เกือบทุกร้าน ค่าครองชีพที่เมืองไทยตอนนี้แพงมาก ขนาดเราคนแอลเอหาเงินได้เป็นดอลล่าร์ยังขยาดขนลุกกับราคาสยดสยอง เข้าไปเดินในห้างเซ็นทรัลเวิร์ล ได้เห็นบรรดาร้านพวกเครื่องหอม อโรมาเทราพี เทียน น้ำมันหอมเหล่านี้ หยิบจับดูตกใจว่าราคาแพงกว่าที่อเมริกามากนัก ผู้เขียนไปติดใจ Aroma Diffuser คือเครื่องพ่นไอหอมจากน้ำมันหอมระเหย ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในอเมริกา ชอบอกชอบใจคิดจะซื้อ ต้องตบอกผางเพราะราคา ๕,๐๐๐ บาทไทย เรียกว่าแพงจนขนลุก ข้าวของในห้างเซ็นทรัลนั้นจะหยิบจับแต่ละชิ้นราคาแพงระยิบ แต่คนเข้ากันคึกคักเหมือนแจกฟรี จะซื้อกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ได้ไปแวะที่ร้านฟูดแลนด์ซึ่งเป็นตลาดเปิด ๒๔ ชั่วโมง ซื้อไวน์ไปสองขวดกับของกินเล่นนิดหน่อย ไวน์ที่อเมริกาอย่างมากก็ ๑๐ ถึง ๒๐ เหรียญที่โน่นขวดละ ๓,๐๐๐ บาท ผู้เขียนหมดเงินไปเกือบหกพันบาท เรียกว่าพกเงินวันละหมื่นไปเลี้ยงเพื่อนบ้าง ซื้อของบ้างยังไม่พอ แล้วคนไทยนั้นอย่างที่รู้กันอยู่ก็คือ ถ้าเพื่อนมาจากอเมริกาก็ต้องคิดว่าเรารวย ไปกินข้าวกันต้องเลี้ยงหมด มื้อหนึ่งๆไม่หนี ๔ ถึง ๕ พันบาท เงินในกระเป๋าของผู้เขียนจึงหมดอย่างรวดเร็ว

เรื่องที่จะบ่นต่อไปคือเรื่องของการเดินทางในกรุงเทพฯ เขาว่ากันว่านโยบายรถคันแรกที่รัฐบาลช่วยจ่ายให้นั้นจะทำให้รถในกรุงเทพฯเพิ่มอย่างวินาศสันตโล การจราจรในกรุงเทพฯนั้นเข้าขั้นวิกฤตเลือดตากระเด็น คนแอลเอที่ไม่ได้ไปเมืองไทยนานๆ อย่างผู้เขียนนั้นไม่สามารถทำใจกับการนั่งอยู่ในรถติดสองสามชั่วโมงในระยะทางไม่ถึง ๑๐ กิโลเมตรได้ โดยเฉพาะรถแท๊กซี่นั้นมีวิ่งมาก แต่เรียกไปไหนไม่เคยไป ผู้เขียนไปเที่ยวมอลเปิดใหม่ที่เขาว่าเริ่ดสะแมนแตนอยู่ติดริมน้ำชื่อ เอเซียทีค แถวถนนเจริญกรุง เรียกรถแท๊กซี่กลับไปซอยอารีย์ ไม่มีใครไปเลย สอบถามได้ความว่า รถแท๊กซี่ฝั่งธน จะไม่วิ่งไปฝั่งกรุงเทพฯ และในทางกลับกันรถกรุงเทพฯก็ไม่วิ่งฝั่งธน เป็นอันว่าคนที่จะเดินทางสองฝั่งนี้ไปไหนไม่ได้

ความที่เอเซียทีคซึ่งกลายเป็นมอลยอดนิยมในขณะนี้ ทำให้รถพาหนะมหาศาลพากันไปติดแน่นขนัดบนถนนเจริญกรุงซึ่งก็ติดหนักอยู่แล้ว กลายเป็นอัมพาตไปในบัดดล ความจริงการเดินทางที่สะดวกที่สุดในอันที่จะไปเอเซียทีคนั้นก็คือนั่งรถไฟฟ้าบีทีเอส ไปลงสะพานตากสินแล้วนั่งเรือฟรีไปท่าเอเซียทีค แต่ความที่คนไปเยอะเรือมีน้อยก็เลยต้องรอเรือนาน แต่กระนั้นก็ยังดีกว่าไปเรียกแท๊กซี่มหาโหด ว่ากันว่าตอนนี้มีกฏหมายที่บังคับแท๊กซี่ว่าถ้าผู้โดยสารเรียกแล้วไม่ไปไม่ได้ แต่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลแล้วใครจะไปสู้รบปรบมือกับพวกคุณๆแท๊กซี่ทั้งหลายได้ จึงจำยอมแบบนั้น

ผู้เขียนจึงใช้บริการรถไฟฟ้าตลอด ซึ่งสะดวกสบายราคาพอสมน้ำสมเนื้อ วิ่งเร็วตรงเวลาอย่างไม่มีที่ติ เสียแต่ว่าเช้าๆเย็นๆช่วงคนใช้มาก รถแน่นเหมือนรถไฟญี่ปุ่น แล้วคนไทยนั้นติดนิสัยขึ้นแล้วไม่เดินใน พากันอออยู่ที่ประตูคนข้างหลังจึงขึ้นไม่ได้ แต่รถไฟฟ้านี้อย่างไรเสียก็ดีเหลือล้ำ ยกให้เป็นสุดยอดการเดินทางในกรุงเทพฯ ปัจจุบันเริ่มต่อสายไปยาวขึ้น ใครๆก็พากันย้ายบ้านไปใกล้รถไฟฟ้ากัน

สิ่งที่ผู้เขียนประทับใจที่สุดคือการได้ชมทีวีถ่ายทอดสดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเสด็จออกให้ประชาชนได้ชื่นชมพระบารมีณพระที่นั่งอนันตสมาคม เห็นประชาชนที่แสดงความจงรักภักดีแล้วอดน้ำตาซึมไม่ได้ คนไทยยังรักและเทิดทูนพระองค์อย่างเหลือล้น กำลังขนลุกน้ำตาไหลพรากอยู่ดีๆ นายกปูพกโฉนดขึ้นมากางอ่านด้วยน้ำเสียงแบบมีเอกลักษณ์ของเธอ ตามด้วยการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีดังลั่นออกไมค์แบบเพี้ยนคีย์สูงต่ำ ตอนจบชม้ายตามองขึ้นไปยังระเบียงที่พระเจ้าอยู่หัวทรงประทับอยู่ พลางกล่าวนำด้วยเสียงแหลมสูง ว่า “ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ” ผู้เขียนก็หมดอารมณ์ในบัดดล อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย ผู้เขียนนั้นไม่ได้เป็นเสื้อเหลืองเสื้อแดงอะไรหรอก แต่ขัดหูขัดตาบอกไม่ถูก นายกปูนั้นสวยดี แต่กริยานั้นชมดชม้อยเกินงาม รวมไปถึงเสียงของเธอที่บาดแก้วหูจนขัดอารมณ์ เอาเถิดไม่อยากจะบ่นมาก คนชอบเขาก็มีมาก ดูกันแต่ที่ผลงานก็แล้วกัน

อากาศที่กรุงเทพฯนั้นร้อนมาก ร้อนแล้วก็เหนียวตัวไปไหนมาไหนจึงเหนื่อยง่าย หมดแรงแล้วมลภาวะก็มาก อาการภูมิแพ้ของผู้เขียนจึงกำเริบ ครั้นกลับมาแอลเอหนาวจนสั่นสะท้านต่างกันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ พอสูดอากาศที่แอลเอแล้วก็คิดอยู่ว่าจะให้กลับไปอยู่กรุงเทพฯนั้นคงจะไม่ไหว ชินกับอากาศสบายสุดยอดของแอลเอก็เลยไม่อยากกลับไปกรุงเทพฯอีกแล้ว

ถึงจะบ่นเป็นหมีกินผึ้งตลอดการไปเยือนเมืองไทย แต่ก็รู้ว่ารากเหง้าของเราเป็นใครมาจากไหน เห็นเมืองไทยพัฒนาไปในทิศทางที่สะเปะสะปะ เห็นคนไทยกระเสือกกระสนดิ้นรนที่จะอยู่ ที่จะมีฐานะเท่าเทียม เห็นความเจริญจอมปลอมที่ไม่ได้สร้างสรรค์ความเจริญที่ถาวร เห็นความฟุ้งเฟ้อตามสมัยนิยมของคนไทยแล้วก็เศร้าใจ ถึงกระนั้นก็ภาวนาและเอาใจช่วยให้เมืองไทยอยู่ดีกินดีขึ้น ได้เห็นข่าวการพัฒนาคุณค่าเพิ่มของสินค้าไทย อันเนื่องด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯท่านทรงนำให้ชาวบ้านตำบลท่าเสด็จ จังหวัดอยุธยา พัฒนาคุณภาพเพิ่มของข้าวไทยที่เหลือล้นยุ้ง ด้วยการเคลือบสมุนไพรเป็นข้าวหอมชนิดต่างๆ เช่น ข้าวหอมใบเตย ข้าวหอมดอกอัญชันที่มีสีม่วงสวย แล้วก็ปลาบปลื้มด้วยพระบารมี อย่างนี้จึงเรียกว่าเป็นการพัฒนาที่ฐาวรยั่งยืนแล้วส่งเสริมความเป็นอยู่ของชาวบ้านสนองพระราชดำรัส พอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็มีความหวังว่าคนไทยจะเจริญขึ้นอย่างยั่งยืนด้วยตนเอง ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยความรู้ความสามารถ ด้วยวิชาชีพจากการพัฒนาแรงงานที่คนไทยไม่เคยน้อยหน้าชาติไหน อย่าว่าแต่จีนที่กำลังมาแรงเลย คนจีนนั้นอย่างไรเสียฝีมือก็สู้คนไทยไม่ได้ ขอเพียงแต่ว่าคนไทยต้องใช้มันสมองและความเก่งที่ติดอยู่ในสายเลือด ไม่หลงฟุ้งเฟ้อไปกับวัฒนธรรมตะวันตกเสียจนเกินไป เราก็มีดีของเราที่ใครๆก็แข่งขันกับเราไม่ได้

รักเมืองไทยถึงแม้จะไม่อยากอยู่เมืองไทย แต่ก็เอาใจช่วยขอให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ปี ๒๕๕๖ อย่างมั่นคงและยั่งยืนครับ