ไลฟ์สไตล์
จอมพล
อนิจจา...ประเทศไทย

ปรกติผู้เขียนไม่ค่อยเขียนเรื่องการเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องอัตตนิยม นั่นคือใครรักใครชอบใครก็ปักใจใฝ่ใจอยู่ในพรรคนั้นฝ่ายนั้น ความคิดเห็นส่วนตัวก็แตกต่างกันไปเป็นธรรมดา ครั้นหยิบยกเรื่องการเมืองขึ้นมาทีไร ก็เป็นอันต้องมีการถกเถียง ขัดแย้งกัน ผู้เขียนจึงพยายามไม่แตะต้องเรื่องของการเมือง

แต่อย่างไรก็ตามการเมืองเป็นเรื่องของชาติ หากเรานิ่งเฉยนิ่งดูดาย แลเห็นประเทศชาติกำลังเดินทางไปในทางที่ตกต่ำ แล้วไม่ลุกขึ้นมาแสดงพลัง หรือเรียกร้องในฐานะสิทธิการเป็นคนไทยคนหนึ่งที่รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ก็ไม่ควรจะเกิดเป็นคนไทยเสียให้เสียชาติเกิด การนิ่งดูดายแล้วประกาศตัวว่า เป็นกลาง คือความอ่อนแอและขี้ขลาด ผู้เขียนนั้นไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใด ฝ่ายไหนผิดก็ว่าผิด ฝ่ายไหนถูกก็ชื่นชม เมื่อประเทศไทยแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่ายเสียอย่างชัดเจนเช่นนี้แล้ว ผู้เขียนก็ไม่มีที่ยืน จำเสียต้องก้าวไปข้างใดข้างหนึ่ง คอยถ่วงดุลย์ให้เรือไม่โคลงเคลง จะเอาแต่ยืนตรงกลางเรือก็จะล่มเสียนั่น

เร็วๆนี้ได้เห็นโพสท์ในเฟสบุ๊ค มีใจความที่เจ็บแสบแทงแปลบเข้ากลางหัวใจ อ่านแล้วเกิดความโทมนัสในอนาคตของประเทศไทยที่อาศัยอยู่ตั้งแต่อ้อนแต่ออก ผู้เขียนมีชีวิตอยู่มาจนครึ่งค่อนชีวิตเรียกได้ว่าเป็นคนกลางคนแล้ว ยังไม่เคยเห็นรัฐบาลอันประกอบไปด้วยคณะรัฐมนตรีที่ไร้ซึ่งความสามารถตั้งแต่หัวยันหางเช่นนี้มาก่อน จะรัฐบาลไหนจะขี้เหร่เพทุบายอย่างไร จะโกงกินสิ้นไร้ยางอายเพียงใด ก็ยังไม่เท่ารัฐบาลนี้ ลองอ่านสิ่งที่เขาโพสท์กันบนเฟสบุ๊คต่อไปนี้

“ประเทศไทย มี...

รัฐมนตรีต่างประเทศที่พูดอังกฤษไม่ได้เพราะแม่ไม่ใช่ชาวต่างชาติ

รัฐมนตรีศึกษาที่ต้องการยุบโรงเรียนเพื่อลดงบประมาณแต่ยังคงแจกแทบเล็ตต่อเนื่อง

รัฐมนตรีกลาโหมที่ห้ามนักข่าวเสนอข่าวสามจังหวัดชายแดนใต้

รัฐมนตรีไอซีทีที่ไม่รู้ความแตกต่างของระบบปฏิบัติการมือถือกับคอมพิวเตอร์

รัฐมนตรีพาณิชย์ที่ให้เผาไร่ยางพาราเพื่อแก้ปัญหายางพาราราคาตกต่ำ

รัฐมนตรีมหาดไทยที่บอกว่าคดีเขาพระวิหารไทยสู้ไปมีแต่เจ๊งกับเจ๊ง

รัฐมนตรีการคลังที่ยอมรับว่าตัวเองโกหกแต่ยังคงทำงานต่อไป

รัฐมนตรีสาธารณสุขที่ทำพีโฟร์พีที่บีบให้แพทย์และพยาบาลออกไปทำงานกับเอกชน

รัฐมนตรีคมนาคมที่จะกู้สองล้านล้านทำรถไฟความเร็วสูงทั้งๆ ที่ยังไม่มีแผนงาน

รัฐมนตรีพลังงานที่ปกปิดข้อมูลพลังงานโดยเฉพาะการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย

รัฐมนตรียุติธรรมที่เสนอให้ยกเลิกศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ

รัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ที่นำเสนอแพไม้ไผ่ประดิษฐ์เองให้ประชาชนใช้หนีน้ำท่วม

รองนายกรัฐมนตรีที่เมาไวน์กลางสภาไม่พอยังไปเมาต่อที่มาเลเซียออกสื่ออีก

นายกรัฐมนตรีที่ไม่เข้าประชุมสภาไม่เข้าลงมติเลยแต่มีชื่อเข้าประชุมทุกครั้ง

สิ่งเดียวที่ประเทศไทยไม่มีคือ อนาคต”

แน่นอนที่ว่าคนเขียนไม่ชอบรัฐบาล และเอาแต่เรื่องไม่ดีมาพูด แต่เรื่องเหล่านี้เป็นความจริงทั้งหมด ตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลนี้ขึ้นมาบริหารประเทศ แทบไม่มีผลงานอะไรที่หยิบยกขึ้นมาเป็นหน้าเป็นตาได้เลย มีแต่เรื่องเสื่อมเสีย อับอายมาอย่างต่อเนื่อง

ตามหลักการณ์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย นั่นคือการยอมรับเสียงส่วนมาก เชื่อว่าสิ่งที่คนส่วนมากต้องการคือสิ่งที่ถูกต้อง แต่ในทางปฏิบัติจริงแล้วนั้น เสียงส่วนมากก็สามารถถูกครอบครองด้วยปัจจัยหลายๆสิ่งด้วยกัน ผู้เขียนไม่เชื่อว่าเงินสามารถซื้อคนได้มากมายขนาดนั้น และผู้เขียนเองก็ได้พบได้เจอ คนที่นิยมชมชอบในพรรครัฐบาลในขณะนี้ ว่าท่านทั้งหลายนั้นก็ไม่ได้รับสินจ้างรางวัลหรือหวังในผลประโยชน์แต่อย่างใด จำใจต้องยอมรับในการตัดสินใจของท่าน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เมื่อการณ์ปรากฏออกมาเช่นนี้แล้ว ว่ารัฐบาลที่ ๑๕ ล้านเสียงที่ท่านเลือก และรักชอบเหลือเกินนั้น ได้เข้ามาทำงานให้กับประเทศชาติ หรือเข้ามาเพื่อแก้เปลี่ยนกฏหมายหรือผลักดันในสิ่งที่นายทุนต้องการ ท่านยังคงรักและปรารถนาให้พวกเขามาเสวยอำนาจอยู่อีกหรือ

ในความรู้สึกของผู้เขียน หากต้องการเลือกผู้นำของประเทศ เราต้องเลือกคนที่เก่งมีความรู้มีความสามารถ มีบารมี มีทักษะปฏิภาณ มีคุณธรรม เป็นที่เชิดหน้าชูตาของประเทศชาติ และนำพาประเทศไปสู่ความเจริญ ในบรรดาประชากรไทยจำนวน ๖๔ ล้านคน คนที่ดีที่สุดเก่งที่สุดในประเทศ คือคนที่น่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่จำเป็นต้องเป็นหญิงหรือเป็นชาย จะเป็นกระเทย หรืออะไรก็แล้วแต่ เมื่อมีคุณสมบัติ ศักดิ์และสิทธิ์ ตลอดจนอาวุโสและบารมี ก็สมควรจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี

แล้วเราเลือกใครเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี

เราเลือกใครเข้ามาเป็นรัฐมนตรี

เราเลือกใครเข้ามาบริหารจัดการประเทศ

นโยบายต่างๆที่ถาโถมเข้ามานั้น แม้แต่เด็กอมมือก็รู้ว่าทำไปเพื่อให้มีช่องทางนำเงินของชาติไปใช้และมีช่องทางที่จะยักยอกเข้าพกเข้าห่อของตนเอง

อนิจจาประเทศไทย ที่นับวันจะเดินถอยหลังเข้าคลอง ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเขาก้าวไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แม้แต่ประเทศเขมรที่หยุดความเจริญของประเทศไปเสียกว่า ๕๐ ปี ยังผงาดขึ้นมาก้าวล่วงไทย ทั้งข่มขู่และรุกรานดินแดน โดยเราได้แต่นั่งมองตาปริบๆ เพราะคนในรัฐบาลหัวใจกลายเป็นเขมรไปเสียสิ้นแล้ว

คณะรัฐบาลที่ปล่อยให้ไอ้หัวดำหัวขาว คนอันธพาล คนจัญไรมันก้าวล่วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุดในโลก ที่ไม่เคยทำอะไรเพื่อพระองค์เองเลย ตลอดชีวิตของพระองค์มีแต่ความเสียสละให้ประเทศชาติ คนสามานย์เหล่านี้ยังบังอาจมายืนปาวๆด่าทอโดยคนไทยทั้งประเทศไม่ทำอะไร กลับนั่งดูตาปริบๆ จะเปิดเวปไซด์ไหนก็มีแต่คนเข้าไปหมิ่นพระเจ้าอยู่หัว แต่พอมีคนออกมาพูดแรงๆตำหนิการทำงานของนายกรัฐมนตรีที่เอาประเทศไทยไปก่นด่าในที่ประชุมนานาชาติ กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ ลุกขึ้นมาอาสน์ร้อนเป็นไฟ ต้องปิดหนังสือพิมพ์ ต้องเอาตัวมาลงโทษให้ได้ แต่หมิ่นในหลวง หมิ่นได้ไม่เป็นไร

ตลอดระยะเวลาของการทำงานของรัฐบาลนี้ มีนโยบายที่ขัดแย้งและเป็นที่ต่อต้านของสังคมออกมาไม่ขาดสาย ล้วนแล้วแต่เป็นนโยบายที่เอื้อให้มีการนำเงินออกมาใช้ กู้หนี้ยืมสินจากต่างชาติ เงินกู้ชุดแรก ๓.๕ แสนล้านบาทเพื่อใช้ในการลงทุนระบบน้ำทั่วไทย กู้เงินมาใช้รับจำนำข้าวปีละ ๓ แสนล้านบาท เพื่อให้ข้าวมาเน่าเสียอยู่ในยุ้ง นอกจากนี้ปลายเดือนนี้รัฐบาลกำลังจะเปิดสภาเพื่อทำงบประมาณปี ๒๕๕๗ โดยเป็นงบประมาณก้อนมหาศาลที่สุดเท่าที่เคยมีรัฐบาลจัดทำงบประมาณมาคือ ๒.๕๒ ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณขาดดุลคือหมายถึงเป็นเงินที่กู้เขามาใช้ถึง ๓ แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังมีพ่วงท้ายด้วยพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินอีก ๓ ล้านล้านบาทภายใน ๗ ปี รวมทั้งหมดรัฐบาลนี้จะมีเงินถุงเงินถังให้ใช้จากการทำงบประมาณอัปยศนี้ถึง ๔.๕๒๕ ล้านล้านบาทเพื่อใช้อย่างเปรมปรีด์ใน ๗ ปี นั่นยังไม่รวมพ.ร.ก.เงินกู้ ๓.๖ แสนล้านบาท ซึ่งจะมารวมกับเงินกู้ที่ยังไม่ได้ใช้อีก ๓.๔ ล้านบาท รวมแล้วเป็น ๕ ล้านล้านบาท ทั้งหมดนี้จะนำมาโปะกับโครงการประชานิยมเช่น โครงการรับจำนำ โครงการรถคันแรก หรือโครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเคยหาเสียงเอาไว้

ในจำนวนเงินมหาศาลนี้ ไม่ตกมาถึงระบบการศึกษาของนักเรียน เพราะรัฐบาลประกาศจะยุบโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งในขณะนี้มีทั้งหมด ๑๔,๘๑๖ โรงเรียน จากโรงเรียนทั้งประเทศ ๓๑,๑๑๖ โรงเรียนเพราะโรงเรียนเล็กๆนี้อยู่ห่างไกล มีครูไม่พอ ไม่มีอุปกรณ์การเรียนที่ได้มาตรฐาน ทำให้มาตรฐานการศึกษาของโรงเรียนเหล่านี้ต่ำกว่ามาตรฐาน จึงสมควรยุบเสียแล้วมารวมกันในโรงเรียนใหญ่ ซึ่งอาจจะห่างไกลบ้านของนักเรียน ในการนี้รัฐบาลก็จะจัดรถโรงเรียนรับส่งนักเรียนให้อย่างเพียงพอ

โรงเรียนเล็กๆที่กระจายอยู่ในที่ต่างๆทั่วประเทศไทย ไม่ได้เกิดขึ้นจากรัฐบาลเข้าไปสร้าง แต่เกิดจากชุมชนที่สร้างโรงเรียนขึ้นมาเอง ด้วยเห็นว่าเด็กชาวบ้านไม่ได้รับการศึกษา การเดินทางลำบาก บางแห่งอยู่บนยอดเขาสูง พื้นที่ทุรกันดาร รถไม่สามารถเข้าได้ถึง ครูที่สอนก็อุทิศตนยอมลำบาก เข้าไปสอนเด็กชนบทในที่ห่างไกล แทนที่รัฐบาลจะจัดเป็นภาระสำคัญที่จะต้องทำนุบำรุงโรงเรียนเหล่านี้ให้ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะมีนักเรียนมากน้อยเพียงใด แต่สิทธิของประชาชนคนไทยตามรัฐธรรมนูญต้องเท่าเทียมกัน หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ที่ต้องให้การศึกษาอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่ไปปิดโรงเรียนแล้วให้เขาเดินทางไกลมาโรงเรียนที่ใหญ่ขึ้น การจัดรถโรงเรียนแน่นอนที่ต้องใช้งบมหาศาลมาซื้อรถโรงเรียน ไหนจะคนขับ ไหนจะน้ำมัน ใครจะดูแลรับผิดชอบ แล้วโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร รถเข้าไม่ถึง เด็กเหล่านั้นจะได้รับการศึกษาได้อย่างไร

การพัฒนาโรงเรียนให้ได้มาตรฐานเป็น “หน้าที่” ของรัฐบาล ถ้าทำไม่ได้ ต้องให้คนอื่นมาทำ เงินที่กู้มาเป็นกี่ล้านต่อกี่ล้าน ทำไมไม่เอามาพัฒนาการศึกษา เอาไปซื้อรถแจกคนเมืองหลวง เอาไปสร้างรถไฟความเร็วสูงไว้ขนผัก

เราโทษรัฐบาลไม่ได้ เราต้องโทษตัวเราเอง โคตรเหง้าของเรานี่เองที่มันโง่เหลือหลาย สมควรให้เขาเอาหญ้าเอาจมูกมาสนตะพายให้เดิน

อนิจจาประเทศไทย