ไลฟ์สไตล์
จอมพล
แพ้เป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร

ได้อ่านความคิดดีๆจากเพจของเพื่อนคนหนึ่ง ใครเขียนไว้ไม่ทราบ แต่เปรียบเทียบชีวิตคนไว้อย่างแยบยล ผู้เขียนจึงขอนำมาฝากเป็นข้อคิดดังนี้

"แพ้เป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร"

เป็นการเปรียบเทียบเรื่องจริงในชีวิตคน

ถ่านกับเพชร สร้างด้วยต้นทุนเดียวกันคือ คาร์บอน

คาร์บอน ที่ไม่ได้ผ่านแรงอัด แรงกดดันอะไร อยู่ตามธรรมชาติ ก็จะกลายเป็นถ่าน

ในขณะที่ คาร์บอน ที่ผ่านแรงอัดอย่างหนัก เป็นเวลานานๆ คาร์บอนที่สามารถผ่านออกมาได้ โดยไม่แตกไปเสียก่อน ถึงจะกลายเป็นเพชร

เราถึงได้ยินว่า เพชร แท้ที่จริง มันแข็งมาก ... เหตุที่มีค่า เพราะความยากนี้เอง

ชีวิตคนเรา ก็คล้ายกัน เรื่องถ่านกับเพชร

ชีวิตแบบถ่าน

เช่น คนที่รักสบาย อยู่ไปเรื่อย เมื่อไหร่มีแรงกดดัน แทนที่จะสู้ ก็บ่นว่าแล้วก็หนีไป ตั้งเป้าในชีวิตแบบต่ำๆ ทำยาวๆ ไม่สนใจเรียนรู้ ไม่อยากพัฒนา เป็นน้ำเต็มแก้ว รู้ไปทุกเรื่อง แต่ไม่เคยทำจนสำเร็จสักเรื่อง ชอบพูดมากกว่าชอบทำ คิดเยอะ ส่วนใหญ่ก็ลบมากกว่าบวก โทษไปได้หมดทุกเรื่อง ยกเว้นอย่างเดียว คือ โทษตัวเอง ... ผลสุดท้าย ก็ไม่เคยได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

ชีวิตแบบเพชร

คนกลุ่มนี้ มองตาก็เข้าใจได้ เห็นเรื่องที่ต้องผ่าน เป็นเรื่องที่พิสูจน์ตัวเอง พูดน้อย ทำมาก ไม่ล้มเลิก เกาะติด พากเพียร ยอมแลก อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ไม่ท้อ เป้าหมายมีไว้พุ่งชนอารมณ์ประมาณนั้น ขณะที่หลายคนมองว่า คนกลุ่มนี้ลำบาก เขาเองกลับไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนั้น

ใครบอกชีวิตไม่มีทางเลือก คำๆนี้ ได้ยินในถ่าน แต่จะไม่ผ่านไปในเพชร

หลายคนรอชะตาฟ้ากำหนด รอความโชคดี .

.. รู้ไหมความหมายของคำว่า โชคดี ที่แท้คืออะไร

โชคดี = โอกาส + การเตรียมพร้อม

ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็จะไม่ใช่โชคดี แต่เป็นฟลุ้ค ซึ่งในชีวิตหนึ่ง การรอคอยอาจจะไม่ได้มา แม้ได้มาก็รักษาไว้ไม่ได้

ชีวิตคนเราสั้นนัก วันๆหนึ่งผ่านไปเร็วมาก ปีหนึ่งๆก็แว่บๆผ่านไปอีกปี

ถ้าแต่ละปีที่ผ่าน เป็นถ่านหมด ... สังเกตจาก ทำเรื่องเดิมๆ พูดเรื่องเดิมๆ อยู่แบบเดิม แต่หนักและแย่กว่าเดิม

เอาใหม่.. ตั้งเป้าความฝัน พยายามทำ เมื่อไหร่รู้สึกลำบาก ต้องเหนื่อย หนัก ให้ดีใจร้องไชโยเข้าไว้... ใกล้เป็นจริงแล้ว

พับแขนเสื้อขึ้น พร้อมลุย ... บอกตัวเอง ชีวิตของเรา ไม่เอาถ่าน เราจะผ่านไปเป็นเพชรเท่านั้น

ขอให้เรา เป็นคนของความโชคดี

ชอบมากๆ ขอมอบสิ่งดีๆ

สำหรับใครหลายๆคนที่อะไรต่อมิอะไรก็ดูไม่เป็นดั่งใจไปเสียทั้งหมด นี่คือมุมมองใหม่สำหรับปัญหาและอุปสรรคที่คุณกำลังเผชิญอยู่ ... อ่านจบแล้วคุณจะพบกับรอยยิ้มและมุมมองใหม่ที่คุณเองก็คาดไม่ถึง

1. การอธิษฐานไม่ใช่ "ยางอะไหล่" ที่จะทำให้คุณหลุดพ้นจากปัญหา แต่คือ "พวงมาลัย" ที่จะพาคุณไปในทิศทางที่ถูกต้อง

2. ทำไมรถยนต์จึงมีกระจกกันลมหน้าบานใหญ่แต่มีกระจกมองหลังบานเล็ก เพราะอดีตของเราไม่สำคัญ เท่ากับอนาคตของเรา ดังนั้นจงมองไปข้างหน้า และก้าวต่อไป

3. ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนเหมือนหนังสือ ที่ใช้เวลาเผาไหม้เพียงเศษเสี้ยววินาที แต่ใช้เวลาหลายปีเพื่อจะเขียนมันขึ้นมา

4. ทุกอย่างบนโลกใบนี้เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว ถ้ามันดีให้มีความสุขกับมันเพราะมันจะอยู่กับเราไม่นาน ถ้ามันไม่ดีอย่ากังวล เพราะมันจะอยู่กับเราไม่นานอีกเหมือนกัน

5. เพื่อนเก่าเปรียบเสมือนทองคำ เพื่อนใหม่เปรียบเสมือนเพชร เมื่อคุณได้รับเพชรอย่าลืมทอง เพราะในการถือครองเพชรคุณจะต้องมีฐานทองคำเสมอ

ได้อ่านข้อคิดดีๆจากเจ้าของเพจที่ใช้ชื่อว่า “ชีวิตคิดบวก” ก็เลยขออนุญาตแบบยังไม่ได้รับอนุญาตคัดข้อคิดดีๆมาให้อ่านดังต่อไปนี้

• ทางเดียวบนโลกใบนี้ ที่จะทำให้ความสุขนั้นมีมากขึ้นนั่นก็คือให้แบ่งปันความสุขนั้น (แบ่งให้คนอื่น ยิ่งให้มาก ยิ่งสุขมาก)

• คนที่ “น่าอิจฉาที่สุด” คือ....คนที่ไม่อิจฉาใครเลย ดูเหมือนมันเป็น “ความสุข” ง่ายๆ แต่ คนส่วนใหญ่ ไม่ค่อยทำกัน

• “ทุกวินาทีที่หายใจอยู่คือโอกาสของชีวิต” อย่ากลัวการเริ่มต้นใหม่และอย่าแคร์สายตาใคร ตราบใดที่เรายังหายใจด้วยจมูกของเราเอง

• ไม่ยุ่งกับชีวิตคนอื่น... ไม่ขัดความสุขคนอื่น..ไม่คิดแทนคนอื่น...ไม่อิจฉาคนอื่น..ไม่ดูถูกคนอื่น คำสอน๕ ข้อ ที่ทำให้ชีวิตมีความสุข

• จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา

• ไม่ว่าจะมีสิ่งไหนหายไปจากชีวิตเรา....แต่ “เวลา” ก็ยังคง “เดินต่อ” และเวลาก็สอนให้เราได้รู้ว่า ระหว่างทีเรามีเวลาอยู่นั้น เราควรจะดูแลและรักษาอย่างไร...เพื่อว่าวันหนึ่ง “เราจะไม่เสียใจ” กับสิ่งที่ได้ทำดีที่สุดแล้ว

• ความสุขแม้จะอยู่กับเราไม่นาน แต่ความทรงจำที่ดีจะอยู่กับเราตลอดไป

• บางครั้ง...เราไม่ต้องคิดว่า..สิ่งที่เราทำ...เราจะได้อะไร แต่เมื่อทำแล้ว.....มันสุขใจ มันก็คือ.. “กำไร” ของชีวิต

• จุดที่ตกต่ำที่สุด เป็นได้ทั้งจุดจบและจุดเริ่มต้นใหม่ อยู่ที่เราจะให้มันเป็นอะไร

เจ็ดมหัศจรรย์ของโลก

ครูถามนักเรียนว่า “อะไรคือมหัศจรรย์ทั้ง ๗ ของโลก” คำตอบมีต่างกันแต่นักเรียนส่วนใหญ่ก็เลือกคำตอบดังนี้


1. ปิรามิดแห่งอียิปต์
2. ทัชมาฮาล
3. ยอดเขาแกรนด์แคนย่อน
4. คลองปานามา
5. ตึกเอ็มไพร์สเตท
6. วิหารเซนต์ปีเตอร์
7. กำแพงเมืองจีน

ระหว่างที่รวบรวมคำตอบอยู่ ครูผู้สอนสังเกตเห็นว่า มีนักเรียนที่ยังไม่เสร็จอยู่คนหนึ่ง ครูจึงถามเธอว่า เด็กหญิงเลือกไม่ถูกหรืออย่างไร เด็กหญิงตอบว่า “ค่ะ หนูไม่ทราบว่าจะเลือกอันไหนดี เพราะมันช่างมีมากมายเหลือเกิน” ครูเอ่ยขึ้นว่า “งั้นหนู ก็ลองบอกให้ฟังหน่อยสิจ๊ะ เผื่อพวกเราจะช่วยได้” เด็กหญิงรีรอสักครู่หนึ่ง ก่อนอ่านสิ่งที่เขียนไว้ในกระดาษว่า

“หนูคิดว่า เจ็ดมหัศจรรย์ของโลกคือ”

1. การมองเห็น
2. การได้ยิน
3. การได้สัมผัส
4. การได้รู้รส
5. การได้รู้สึก
6. การได้ยิ้มหัวเราะ
7. การได้รัก

ทั้งห้องอึ้งเงียบ เงียบมากถึงขนาดได้ยินเสียงเข็มหล่นพื้นทีเดียว

ทำไมคนเราถึงมองข้ามสิ่งเรียบง่ายและแสนธรรมดาไปโดยสิ้นเชิง

ถ้ารู้สึกชีวิตไม่เหลืออะไร..

ให้เปิดหน้าต่าง....แล้วมองไกลไกลจะพบโลกกว้าง..


ถ้ารู้สึกว่าเหงาจนไร้หนทาง..

ให้มองคนอ้างว้างกว่าเราอีกหลายคน..


ถ้ารู้สึกอ่อนแอจนทนไม่ไหว..

ให้มองคนที่ยิ้มได้..

แม้ลำบากกว่าเราตั้งแต่ต้น..


ถ้ารู้สึกเบื่อการเป็นคน..

ให้สมมุติตัวเองเป็นต้นไม้สักต้น..

ที่ให้ร่มเงาแก่ใครใคร..


ถ้ารู้สึกตัวเองไม่มีค่า..

ให้ลุกขึ้นมาเป็นผู้ให้..


ถ้ารู้สึกตัวเองไม่มีใคร..

ให้หันมาถามหัวใจ..

ว่าเมื่อไหร่จะรักตัวเอง..

หวังว่าข้อคิดดีๆเหล่านี้จะทำให้ท่านผู้อ่านมีความสุขง่ายๆเพิ่มขึ้นนะครับ