ไลฟ์สไตล์
จอมพล
คุณคิดแบบผึ้งหรือแมลงวัน

ไลฟ์สไตล์ฉบับนี้ผู้เขียนไม่ได้เขียนเอง แต่บังเอิญไปอ่านพบบทความในเฟสบุ๊คที่ไม่มีชื่อผู้เขียน บทความนี้มีชื่อว่า “คุณคิดแบบผึ้งหรือแมลงวัน” ซึ่งแนวคิดตามเรื่องนั้นน่าสนใจดี อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าก็คือ “คอมเม้นต์” ของคนอ่านในเฟสบุ๊ค ที่ความเห็นแตกต่างกันไป คอมเม้นต์กันไปมาจนเกือบทะเลาะกัน ผู้เขียนเห็นขำดีแล้วก็มีสาระน่าคิดจึงขอยืมมาลงโดยไม่ได้ขอใครดังนี้

คุณคิดแบบ "ผึ้ง" หรือ "แมลงวัน"

ถ้าหากคุณจับเอาผึ้ง 6 ตัวใส่ในขวด และจับแมลงวัน 6 ตัวเช่นกัน ใส่ในอีกขวด

จากนั้นค่อยๆ วางขวดให้นอนลง โดยหันก้นขวดไปทางหน้าต่าง

คุณจะพบว่า ผึ้งพยายามที่จะบินออกทางก้นขวด จนกระทั่งมันตายจากการขาดอากาศหรืออาหาร

ในขณะที่แมลงวันนั้น จะสามารถบินออกมาทางฝั่งคอขวด ที่อยู่ด้านตรงข้ามกับก้นขวดซึ่งหันไปทางหน้าต่าง

เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้...

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ผึ้งเป็นสัตว์ที่ฉลาด มีองค์ความรู้ พวกมันรู้ว่าการบินไปในทิศทางที่มีแสงสว่าง

จะเป็นทางออกจากรัง โพรงไม้ ฯลฯ แต่เมื่อต้องมาอยู่ในขวด ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ผึ้งไม่เคยเผชิญมาก่อน...มันก็ยังคงเชื่อในความคิดแบบเดิมที่มีมาตลอด คือ ต้องบินออกทางแสงสว่างเท่านั้น

แต่สำหรับแมลงวัน มันเป็นสัตว์ที่ไม่มีความคิดเป็นตรรกะ ดังนั้นเมื่อถูกจับไว้ในขวด มันจึงบินชนผนังขวดจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง...จนในที่สุดก็พบทางออก

การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า คนฉลาด รู้มาก ก็สามารถที่จะล้มเหลวได้เพราะความรู้มาก ในขณะที่ผู้ไม่รู้ก็อาจจะประสบความสำเร็จจากการลองทำในสิ่งที่แตกต่างไปเรื่อยๆ ได้เช่นกัน

นิทานเรื่องนี้สอนใหั หัด 'คิดนอกกรอบ' บ้าง หัด 'เปลี่ยนวิธีคิด' บ้าง...'อะไรก็ตามที่พาคุณมาถึงวันนี้ได้ ไม่ได้แปลว่า มันจะนำพาคุณไปถึงวันพรุ่งนี้'...

ต่อไปนี้ผู้เขียนจะนำคอมเม้นต์ของคนอ่านที่ออกความเห็นต่างๆกันมาลงดังนี้

“แต่ ในทางกลับกัน หากนำผึ้งและแมลงวันนำมาไว้ในที่มืด (สามารถทดลอง) คุณจะเห็นว่าผึ้งนั้นพยายามเดินเพื่อจะหาแสงสว่างแม้จะน้อยนิดผึ้งก็จะมุ่ง หน้าไป แม้ไม่มีแสงผึ้งก็จะพยายามเดินไป ในทางกลับกันในที่มืดแมลงวันกลับหยุดนิ่งไม่ยอมเดินไปไหน แม้มีแสงน้อยนิดแมลงวันก็มองไม่ค่อยเห็นด้วยเหตุนี้จึงหยุดนิ่ง

***เปรียบ ประดุจคนที่มีความรู้ แม้จะเห็นความหวังที่จะสำเร็จเพียงเล็กน้อยเขาก็จะพึงเพียรทำจนสามารถสำเร็จ ได้ แต่สำหรับคนที่ไม่มีปัญญาเมื่อเจอปัญหาก็มักจะหยุดนิ่งยอมรอวันหมดลมหายใจมี หรือที่เขาจะอยู่รอดโดยสวัสดี”

“ความมีไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่เหมือนกัน คนฉลาดใช่รู้ไปทุกเรื่อง คนโง่ก็ใช่ว่า โง่ไปทุกเรื่อง”

“แมลงวันมันบินมั่วครับ ไม่ได้บินนอกกรอบ และคนที่โง่เหมือนแมลงวัน กับคนที่คิดนอกกรอบมันเป็นคนละคนกันแน่นอน และคนที่เขาคิดนอกกรอบได้ เขาก็ต้องเป็นคนที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องในกรอบมาก่อนอยู่แล้ว และในส่วนของผึ้ง ผึ้งมันก็ไม่ได้ฉลาดไปเสียทุกเรื่องเหมือนคนที่ไม่มีใครรู้ไปเสียหมด มันก็เหมือนกับให้ปลาไปบิน ให้เต่าไปปีนต้นไม้นั้นแหละ หรือถ้าเทียบกับคน ก็เหมือนเอาวิศวกรไปว่าความนั้นแหละ เขาก็ทำไม่ได้หรอก เพราะวิศวกรไม่ใช่ทนายความ สุดท้ายคุณก็เลือกเอาละกันว่าคุณจะฉลาดเป็นบางเรื่องเหมือนผึ้ง หรือโง่ดักดานเหมือนแมลงวัน” (เปรียบเทียบแบบงงๆ)

“คิดแบบคนดีกว่า...มันเปรียบกันไม่ได้หรอก..คนกับแมลง...ผึ้งกับแมลงวันมันยังขับรถไม่เป็นเลย....” (พ่อคนนี้มาคนละเรื่องเลย)

“เค้าแค่เอามาเปรียบเทียบให้ฟัง หัดคิด วิเคราะห์ แยกแยะ บ้างก็จะดี” (พวกไกล่เกลี่ย ทำเป็นฉลาด)

“ผมเคยดูสารคดีครับ ธรรมชาติของผึ้งคือ เวลาที่ผึ้งบินไปไหนมาไหน จะบินไปแค่ทางที่ตัวเองเคยชินครับ ผึ้งจะใช้วิธี นับสิ่งกีดขวางที่บินผ่าน สมมุติบินผ่านเก้าอีก10ตัวในขาไป แต่พอขากลับ เราดึงเก้าอี้ออกตัวนึง ผึ้งจะงงๆไปพักใหญ่ครับกว่าจะกลับถูก จากที่ดู ผมก็สามารถมองว่าผึ้งไม่ฉลาดบอกว่าแมลงฉลาดกว่า ขำๆนะครับ” (จริงหรือนี่)

“ผึ้ง ไม่รู้จักขวดแก้วใสๆ เหมือน นก ที่พุ่งชนกระจก มันรู้เฉพาะสื่งที่ธรรมชาติสอน แต่ไม่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มนุษย์จึงต้องเรียนรู้และคิดเพิ่มเติม สิ่งที่เหมาะสมไม่ว่าในหรือนอกกรอบ”

“เออ...เห็น คนชอบเป็นแมลงวันเยอะจัง..แบ่งปันกันเยอะ .เสียดาย....ดูกันเฉพาะตอน อยู่ในขวด....ไม่ดูให้จบนะ....สังคมเลยยุ่งเหยิง ...ผึ้งกลุ่มนึ้อาจตายในขวด แต่สังคมผึ้งยังอยู่ สร้างรัง หาน้ำหวาน เพื่อเตรียมเลี้ยงลูกอ่อน ดูแลกันยามแก่เฒ่า ...แมลงวัน อาจเอาตัวรอดเพราะ พฤติกรรม ที่ทำเป็นประจำ ในการเอาตัวรอด เสาะหากินไปวันๆ ไม่คย สร้างรัง อาศัยคาคบใบบังไปวัน ๆ แพร่ลูกแพร่เผ่าพันธุ์ โดยการไข่ใส่ของเน่าไว้ ให้โตเอาเอง ถึงว่าสังคมได้รับการสอนและเผยแพร่อย่างนี้ จึงมีแต่พวก รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” (สังคมไทยใช่เลย)

“ลึกซึ้งครับ! คุณ James Boon Kss. ผึ้งมีกลุ่มมีครอบครัว ทุกตัวแบ่งหน้าที่ทำงานเพื่อครอบครัว

แต่แมลงวันเอาตัวรอดไปวันๆ ไข่แล้วทิ้งไม่ต้องรับผิดชอบ” (มีคนเข้ามาชม)

“มีญาติโยมถามพระว่า เมื่อเราตาย จะไปไหน เคยสงสัยกันไหมครับ พระท่านยกตัวอย่างเปรียบเปรย ระหว่าง แมลงวัน กับผึ้ง ทุกท่านสามารถทดลองได้ด้วยตัวเองครับ จับแมลงวันใส่โหล ปิดฝา จับผึ้งใส่โหล ปิดฝา แล้วนำกลับมาบ้าน พอถึงบ้าน เปิดฝาโหลออกทั้งสองใบ ทายซิว่า แมลงวันไปไหน ผึ้งจะไปไหน พระท่านบอกว่า ผึ้งจะบินไปหาดอกไม้ หอมหวาน ส่วนแมลงวัน จะบินไปห้องน้ำ ฉันไดก็ฉันนั้น เมื่อเราหมั่นทำบุญ เราจะคุ้นเคยกับบุญ เมื่อตายไป ก็จะคุ้นกับสิ่งที่เคยทำประจำ ก็จะไปสวรรค์ หรือเกิดในตระกูลที่ดีกว่าเดิม เหมือนกับผึ้ง คุ้นอยู่กับดอกไม้ หอม หวาน แต่แมลงวัน คุ้นอยู่กับสิ่งเน่าเหม็น ปฏิกูล

นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า เรามักคุ้นเคยดับสิ่งที่ทำมาก่อน ทำประจำ สาธุ” (มาจากธรรมาสไหนเนี่ย)

“ไม่ ใช่เลยครับ มันไม่ใช่ความคุ้นเคยครับ ที่เราว่าเหม็นๆ แมลงวันไม่ได้เหม็นด้วย กลับมองว่าเป็นแหล่งอาหาร ไม่ใช่ความเคยชินแต่อย่างไรครับ” (ก็ว่ากันไป)

“ความ เห็นของเธอนั้นดีแล้ว คุณ บี บี ก็ด้วยเหตุแห่งว่า ผู้ที่มีความรู้ กับผู้ที่มีปัญญานั้นย่อมต่างกัน ก็ด้วยว่าผู้ที่มีความรู้นั้นเขาอาจจะรู้ได้ด้วยตนศึกษามา รู้ได้ด้วยตนจดจำมา รู้ได้ด้วยตนเห็นมา รู้ได้ด้วยตนได้ยินมา รู้ได้ด้วยตนสัมผัสมา ด้วยเหตุอย่างนี้เขาจึงเป็นผู้รู้ เมื่อทำบ่อยครั้งเขาจึงกลายเป็นผู้ชำนาญ ส่วนผู้ที่มีปัญญานั้นเขาย่อมสามารถรู้ได้ด้วยตน เห็นได้ด้วยตน พิจารณาได้ด้วยตน โดยที่เขานั้นเป็นผู้คิดค้น เป็นผู้ค้นหาหนทางแห่งจุดหมาย จึงสามารถสรุปโดยสั้นว่า ผู้ที่มีความรู้นั้นเขาจึงรู้เท่าที่ตนรู้และทำเท่าที่ตนรู้ ด้วยเหตุอย่างนี้ความสำเร็จของเขาจึงตายตัว ส่วนผู้มีปัญญานั้นเขาเป็นผู้ที่สามารถพลิกแพงความรู้ที่ตนมีให้เข้ากับทุก สิ่งแล้วจึงใช้ให้เกิดประโยชน์ด้วยเหตุอย่างนี้ความสำเร็จของเขาจึงไม่ตาย ตัว

****แต่ ไม่ว่าผู้ที่มีความรู้และผู้ที่มีปัญญานั้นจะมีความสามารถเช่นใด เขาทั้ง2จะสำเร็จไปสู่จุดหมายมิได้เลยหากเขานั้นขาดแล้วในอิทธิบาททั้ง๔ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา นั่นก็ด้วยอิทธิบาท๔นี้คือสิ่งที่ทำให้ผู้ที่มีปัญญาและผู้ความรู้ประสบความ สำเร็จทุกสิ่งอันต้องประกอบไปด้วยมีใจรักในงานนั้น มีความเพียรพยายามในงานนั้น มีใจจดจ่อมุ่งมั่นในงานนั้น มีความคิดแก้ไขปรับปรุงให้เกิดผลดีในงานนั้น ด้วยเหตุอย่างนี้งานนั้นจึงสำเร็จ

....ฉะนั้น ผู้ที่มีปัญญาจึงเป็นนักคิด ผู้ที่มีความรู้จึงเป็นนักปฎิบัติ หากทั้งนักคิดและนักปฎิบัติขาดแล้วในอิทธิบาท๔ก็ย่อมไม่ประสบความสำเร็จทั้ง คู่ จุดสำคัญที่สุดที่ทำให้คนสำเร็จที่เป็นแก่นเลยนั่นก็คือดวงตา คือการมองเห็น จะถูกหรือผิดก็อยู่ที่ความเห็นนี่แหละหนา หากมองไม่เห็นหนทางแล้วก็ย่อมดับสิ้นทุกสิ่งอัน” (เอ้าพระอาจารย์เข้ามาแฝงนั่งธรรมมาสเทศน์เสียเลย).

“ข้อคิดดีดีมาให้เราได้เรียนรู้กับมาทะเลาะกันแยกเรื่องกันไปอีกมากมาย

ถ้าจะเอาผึ้งกับแมลงวันมาเปรียบเทียบกันในหลายๆแง่หลายๆเรื่องก็เห็นๆกันอยู่บางครั้งแมลงวันก็ฉลาดบางครั้งผึ้งก็ฉลาด

ไม่มีใครโง่และไม่มีใครฉลาด

อยู่เราคิดอย่างไรแลัแก้ไขสถานการณ์อย่างไรต่างหาก

เขาแค่เอาความรู้และความคิดดีๆที่แตกต่างมาเล่าสู่กันฟัง

เป็นข้อคิดดีดี” (มาอีกแล้วพวกสรุป)

“มัน เป็นแนวคิดคนละมุมมอง แต่การที่ชีวิตหนึ่งต้องการความอยู่รอด ถึงแม้จะเป็น"ความทะเยอทะยาน" อย่างบ้าๆ แต่อีกฝ่ายยังคงมีทิฐิ ทั้งที่ตัวเองคิดว่า "ตนเองมีความมุ่งมั่นเกินไป "ต่าง คน ต่าง ความคิด " ขอแสดงวิสัยทัศน์ของตนเอง” (เขียนได้งงดีมาก)

“แต่ จริงๆ เราจะเอาสัตว์ที่ทรงภูมิปัญญา อย่างมนุษย์ ไปเที่ยบกับผึ้ง หรือ แมลงวัน ไม่ได้หรอกนะมันคนละเรื่องกัน คนคิดเรื่องนี้ก็คิดเปรียบเทียบอะไรแค่ตื้นๆ จริงอยู่ที่แมลงวันบินสะเปะสะปะก็ออกจากขวดได้ แต่คนที่คิดอะไรสะเปะสะปะจะไม่สามารถออกจากกองปัญหาได้เลย แล้วปัญหาของคน ก็ไม่ได้ง่ายเหมือนขวดที่หันตูดให้แดดด้วยอ่ะดิ มันต้องใช้ทั้งสติ และ ปัญญา ไม่ใช่ทำอะไรสุ่ม” (นี่ก็คิดมากจัง)

“มันเป็นแค่ข้อคิดครับ เค้าไม่ได้เอามนุษย์ไปเปรียบเทียบกับสัตว์..” (คนนี้คงรำคาญเต็มแก่)

ความจริงข้อคอมเม้นต์ยังมีอีกยาว ทะเลาะกันไปมาเรื่องผึ้งกับแมลงวัน สรุปแล้วคนอ่านๆไปก็ขำไป มีทั้งพระทั้งนักออมชอม ทั้งพวกอวดฉลาด ทั้งพวกอ่านหนังสือไม่เข้าใจ หรือพวกที่คิดไปคนละเรื่อง

มีอะไรให้ขำๆก็เลยเอามาฝากท่านผู้อ่านไลฟ์สไตล์ ครับ

แมลง วันสกปรก ไม่มีแบบแผน ความอินดี้แบบแมลงวันค่อนข้างน่ารำคาน แต่เอาตัวรอดได้ แต่อายุไม่ยืน ผึ้งมีระเบียบ และโหดร้ายกว่า มีระบบจัดการที่ดี อานุยืนกว่า แต่ความเป็นระบบหัวเก่า อาจตายจากขวดดังกล่าว เพราะความเป็นผู้ดีกว่าของผึ้ง แต่อายุยืนและแข็งแรงกว่าแมงวัน

ผม,เลือกที่จะเป็น ผึ้ง เพราะผึ้งไม่ตอมขี้ครับ

คงเหมือนรถบรรทุกเหล็กล้นกระบะลอดใต้สะพานใหญ่ ที่เหล็กเลยสะพาน1นิ้วนะ

หัวหน้าคุมงานบอกต้องยกเหล็กออกทังคันรถผู้เรียนผู้ไม่ได้เรียนผ่านมาเห็น

บอกแบบหน้าตาเฉยว่าให้

ปล่อยลมยางออก1.5นิ้วแล้วผ่านไปก่อนค่อยไป

เติมข้างหน้า ขำๆครับ

ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก

ไม่มีใครฉลาด ไม่มีใครโง่

ทุกสิ่งล้วนทำตามวิถี และสัญชาตญาณ ที่ธรรมชาติกำหนดมา..

ไม่ว่าจะกินน้ำหวานจากเกษรดอกไม้ หรือกินขี้ มันก็เป็นธรรมชาติของมัน..

มนุษย์ต่างหาก ที่ไปแบ่งแยก ให้มันเป็นอย่างโน้น ให้มันเป็นอย่างนี้...'แล้วก็เอามาเปรียบเทีบกับวิถีของตนเอง