ไลฟ์สไตล์
จอมพล
ข้อคิดจากคนที่รวยเป็นอันดับที่ ๒ ของโลก

เคยคิดเล่นๆบ้างไหมว่า ถ้าเราเกิดกลายเป็นคนรวยที่สุดในโลกขึ้นมา เราจะทำอย่างไร เราจะใช้เงินอย่างไร และเราจะมีความสุขมากแค่ไหน

ถึงแม้ใครๆจะบอกว่า เงินนั้นแท้จริงแล้วซื้อความสุขไม่ได้ ก็ดูตัวอย่างที่เห็นๆกันอยู่ ชายคนหนึ่งมีทั้งเงิน มีทั้งเกียรติยศ มีทั้งสาวกและบริวาร มีเงินมากพอที่จะซื้อประเทศทั้งประเทศได้ แต่สุดท้ายแล้วกลับไม่มีแผ่นดินจะอยู่

สุดท้ายแล้วเงินที่ซื้อได้ทุกอย่างแม้แต่หัวใจคน ก็ไม่สามารถดลบันดาลความสุขให้ได้ ผู้เขียนเคยเขียนอยู่บ่อยๆ ว่าพระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า “ความสุขคือความทุกข์ที่ลดน้อยลง” ผู้ที่มีทุกข์มากก็จะมีสุขมาก เพราะมีโอกาสที่จะได้ทุกข์น้อยลงมากกว่าคนที่ไม่มีทุกข์เลย คนที่จำเป็นต้องนั่งเก้าอี้อยู่นานๆไม่มีโอกาสลุก พอได้ลุกขึ้นมาก็โล่งรู้สึกมีความสุขขี้นมาทันที ถ้าหากไม่ได้นั่งนานๆ ไม่รู้จักทุกข์ที่นั่งนาน ก็ไม่รู้จักสุขที่ได้ยืน

คนรวยอยากกินอะไรก็ได้กิน สเต๊กชิ้นละสามร้อยเหรียญ ก็ไม่เห็นจะเอร็ดอร่อยพิเศษอะไร

ขอทานที่อดหยากพบแฮมเบอร์เกอร์อินแอนด์เอ้าท์ในถังขยะใหม่ๆ เพิ่งทิ้งหมาดๆ เพราะคนซื้ออิ่มเกินไป เฟร๊นซ์ฟรายยังร้อน โค้กยังเต็มแก้ว ขอทานนั้นจะสุขเพียงใดเมื่อคว้าแฮมเบอร์เกอร์เข้าปาก เพราะไม่ได้กินข้าวมาวันหนึ่งเต็มๆ

ไม่ทุกข์ก็ไม่สุข เรื่องง่ายๆ แล้วเรายังอยากจะมีความสุขกันอีกไหม ถ้าอยากก็ต้องทำตัวให้ทุกข์เข้าไว้จึงจะมีสุขได้

คราวนี้มาดูทีว่าอยากจะรวย ถ้ารวยแล้วจะมีความสุข รวยแล้วคนจะนับหน้าถือตา รวยแล้วจะได้ทำในสิ่งที่ตัวอยากจะทำ

มาดูกันทีว่าคนที่รวยเป็นอันดับสองของโลก เขามีปรัชญาชีวิตอย่างไร

"I always knew I was going to be rich. I don't think I ever doubted it for a minute"

- Warren Buffett

“ผมรู้ตัวอยู่เสมอว่าผมจะต้องรวย ไม่เคยสงสัยเลยแม้แต่นาทีเดียว”

วาร์เรน บัฟเฟ็ท

ต่อไปนี้เป็นบทสัมภาษณ์จากสถานีโทรทัศน์ CNBC ของนายวาร์เรน บัฟเฟ็ท นักธุรกิจผู้ร่ำรวยเป็นอันดับที่สองของโลกและบริจาคเงินให้การกุศลถึง สามหมื่นหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ

และนี้คือส่วนหนึ่งที่นำมาจากการสัมภาษณ์และเป็นมุมมองแง่คิดที่น่าสนใจจากเขา

๑. เขาซื้อหุ้นหุ้นแรกเมื่อเขามีอายุได้ ๑๑ ปี และปัจจุบันนี้ก็ยังเสียใจที่เริ่มช้าไป (อะไรๆก็ถูกเวลานั้น จงสนับสนุนให้ลูกหลานของคุณรู้จักการลงทุนแต่เนิ่นๆ)
๒. เขาซื้อฟาร์มเล็กๆเมื่ออายุได้ ๑๔ ปีด้วยเงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์ (ใครๆก็สามารถซื้ออะไรได้ด้วยการเก็บหอมรอมริบ สนับสนุนให้ลูกหลานเริ่มต้นทำธุรกิจแต่เล็กๆ)
๓. เขายังคงพำนักอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ๓ ห้องนอนในเมืองโอมาฮา ที่ๆเขาซื้อไว้หลังจากที่สมรสเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว เขากล่าวว่าเขามีทุกอย่างที่เขาต้องการที่บ้านนั้น บ้านเขาไม่มีผนังหรือแม้แต่รั้ว (อย่าซื้ออะไรมากไปกว่าสิ่งที่คุณ “ต้องการจริงๆ” และสนับสนุนให้ลูกหลานทำและคิดเหมือนคุณ) ๔. เขาขับรถคันเก่าของเขาไปทุกที่และไม่เคยมีคนขับรถหรือพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยติดตามเขา (จงเป็นตัวของคุณเอง)
๕. เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของบริษัทเครื่องบินเจ็ทส่วนบุคคลที่ใหญ่ที่สุดในโลก (จงคิดอยู่เสมอว่าจะสามารถทำงานให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างไรที่สิ้นเปลืองน้อยที่สุด)
๖. บริษัทของเขา “เบิร์กเชอร์ ฮาธาเวย์” (Berkshire Hathaway) เป็นบริษัทแม่ของบริษัท ๖๓ บริษัท เขาเขียนจดหมายเพียงฉบับเดียวในหนึ่งปีถึงประธานบริษัท (CEO) ของบริษัททั้งหมด มอบหมายเป้าหมายของปีให้ เขาไม่เคยเข้าประชุมหรือโทรศัพท์หาบ่อยๆทุกวัน (มอบหมายงานแก่คนที่ถูกต้องให้ทำงานที่ถูกกับผู้นั้น)
๗. เขาวางกฏแก่ประธานบริษัทไว้สองข้อ กฏข้อที่หนึ่ง อย่าให้เงินของผู้ถือหุ้นสูญเสียไป กฏข้อที่สอง อย่าลืมกฏข้อที่หนึ่ง (ตั้งเป้าหมายไว้และเน้นย้ำให้คนโฟกัสเฉพาะตรงเป้าหมายนั้น)
๘. เขาไม่ชอบเข้าสังคมที่มีคนมาก สิ่งที่เขาโปรดปรานคือกลับบ้านทำป๊อปคอร์น แล้วก็ดูทีวี (ไม่พยายามอวดเด่น แค่เป็นตัวของตัวเองและทำในสิ่งที่ชอบ)
๙. วาร์เรน บัฟเฟ็ทไม่เคยพกโทรศัพท์มือถือและไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน
๑๐. บิลเก็ทส์ นักธุรกิจที่รวยที่สุดในโลกได้มีโอกาสพบกับเขาเป็นครั้งแรกเมื่อ ๕ ปีก่อน บิล เกทส์ไม่คิดว่าเขาจะมีอะไรที่เหมือนกับวาร์เรน บัฟเฟ็ท ดังนั้นเขาจึงนัดหมายการพบปะเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อเกทส์ได้พบกับเขาจริงๆ การพบกันครั้งนั้นยาวนานถึงสิบชั่วโมง และบิล เกทส์ได้กลายเป็นสาวกของวาร์เรน บัฟเฟ็ท นับแต่บัดนั้น ๑๑. คำแนะนำที่เขามีให้แก่คนรุ่นใหม่ “จงอยู่ให้ห่างจากบัตรเครดิต (การเป็นหนี้ธนาคาร) และลงทุนในตัวเองและจงจำไว้ว่า
เงินไม่ได้สร้างมนุษย์แต่มนุษย์นี่แหละที่สร้างเงิน
จงใช้ชีวิตให้ง่ายที่สุด
ไม่ต้องทำตามที่คนอื่นพูด ฟังได้ แต่ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
อย่าเอาแต่ใช้ของมียี่ห้อ จงใส่ในสิ่งที่ใส่แล้วสบาย
อย่าใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แต่จงใช้เมื่อมีความจำเป็นจริงๆ
ในที่สุดแล้ว ชีวิตนี้เป็นของเธอ ทำไมถึงให้คนอื่นมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเธอ
คนที่เป็นสุขที่สุดไม่จำเป็นต้องมีทุกอย่างที่ดีที่สุด แต่จงเห็นคุณค่าในสิ่งที่เธอมี
(The Happiest People do not necessarily have the BEST THINGS. They simply APPRECIATE the things they have)