ไลฟ์สไตล์
จอมพล
อเมริกันซู

ตั้งหัวเรื่องไว้แบบนี้ ท่านผู้อ่านคงจะคิดว่าเรื่องที่กำลังจะอ่านนี้เกี่ยวกับสวนสัตว์ในอเมริกา แต่อันที่จริงแล้ว “ซู” ในที่นี้มาจากคำว่า “Sue” ซึ่งหมายถึงการฟ้องร้อง ใครๆก็รู้ว่าคนอเมริกันนี้เป็นโรคชอบฟ้องร้องเอาความขึ้นโรงขึ้นศาลกันเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง เรื่องหยุมหยิม ไร้สาระ ก็เห็นเอาเรื่องเอาราวกันใหญ่โต ความจริงนั้นไม่ใช่เจ้าทุกข์เสียทีเดียวที่เป็นต้นเรื่องจะเอาความ แต่ต้องโทษทนายหัวหมอทั้งหลาย ที่ยุยงสนับสนุนให้เจ้าทุกข์ฟ้องร้อง เพราะตัวเองจะได้ค่าคอมมิชชั่น อาชีพทนายในอเมริกานี้มีรายได้ดีหนักหนา และเป็นอาชีพที่มีคนนิยมทำกันมาก ถือว่าเป็นแล้วมีเกียรติ ดูเป็นคนฉลาดเพราะสอบเป็นทนายนั้นยากนัก แล้วก็ร่ำรวย เพราะคนอเมริกันชอบฟ้องร้อง เอะอะอะไรก็ขึ้นศาลตลอด อาชีพทนายความจึงเป็นที่นิยมและร่ำรวยอย่างไม่ต้องเหนื่อยแรง

อย่างไรก็ตามบางครั้งผู้เขียนเองก็เห็นว่าระบบความยุติธรรมในสหรัฐอเมริกานี้ มีความน่าประหลาดใจอยู่มาก เพราะคดีความบางคดีที่ไม่เห็นว่าคู่กรณีจะทำผิดตรงไหน ตรงกันข้ามมันเป็นความผิดของเจ้าทุกข์เสียด้วยซ้ำ แต่ผู้พิพากษากลับพิพากษาให้คู่กรณีเป็นฝ่ายผิดอย่างไม่ยุติธรรม

เมื่อเร็วๆนี้ได้อ่านข้อเขียนของเพื่อนคนหนึ่งของผู้เขียน คุณโอ๊ต จิรวัฒน์ แห่งเดอะวอยซ์ นักร้องหนุ่มรูปหล่อมากด้วยความสามารถแถมเป็นสจ๊วตการบินไทย ผู้เขียนได้อ่านเรื่องที่เธอโพสท์ลงเฟซบุ๊คของเธอแล้วเห็นว่าน่าสนใจ จึงขออนุญาตมาเผยแพร่ต่อ ส่วนคุณโอ๊ตจะเอาเรื่องนี้มาจากไหนหรือเขียนเองผู้เขียนก็ไม่แน่ใจนัก เอาเป็นว่าขออนุญาตแล้วจึงนำมาเล่าสู่กันฟังดังนี้

ท่านว่าทนายความเป็นหนึ่งในอาชีพที่เสี่ยงต่อการทำบาปท่าจะจริง ดูจากคดีเหล่านี้แล้วเพลีย

Stella Awards คือรางวัลอะไร...

Stella Awards เป็นการจัดอันดับคดีที่ชนะมาได้อย่างไม่น่าเป็นไปได้ประจำปีของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มาของ Stella Awards เริ่มมาจากคดีแรกที่คุณยาย Stella Liebeck อายุ 81 ปี วางถ้วยกาแฟร้อนที่ซื้อมาจากแม็คโดนัล สาขานิวเม็กซิโก เปิดฝาแล้ววางหนีบไว้ที่หว่างขาระหว่างกำลังขับรถ โดนกาแฟลวกเข้า ไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายก้อนโต... ชนะซะงั้น ก็เลยเกิดการประกวดประชันความซื่อบื้องี่เง่าของเหล่านักกฏหมาย ทนายความ ผู้พิพากษา ลูกขุน...ออกแนวประชดๆ กัน

มาดูกันว่า 7 อันดับ คดีประหลาดประจำปีนี้มีอะไรบ้าง

อันดับ 7

แคทลีน โรเบิร์ตสัน อยู่ที่ ออสติน เท็กซัส หกล้มหัวเข่าแตก ในร้านขายเฟอร์นิเจอร์เนื่องจากโดนเด็กคนหนึ่งวิ่งชนเอา ฟ้องจ้าของร้านเรียกค่าเสียหาย 80,000 เหรียญ

เด็กคนที่ว่านี้เป็นลูกชายของเธอเอง!!! ยุติธรรมเกินไปหรือเปล่า

อันดับ 6

คาร์ล ทรูแมน อายุ 19 อยู่ที่ ลอล แองเจลีส พยายามขโมยฝาครอบล้อรถ ฮอนด้า แอ็คคอร์ด ของเพื่อนบ้าน ก้มลงไปแกะไม่ทันดูว่าเจ้าของรถเค้าอยู่บนรถ ล้อรถทับมือเข้า ฟ้องเจ้าของรถ งานนี้ได้ไป 74,000 เหรียญ ไม่รวมค่ารักษา

อันดับ 5

เทอเรนซ์ ดิกสัน เมืองบริสตอล เข้าไปโขมยทรัพย์สินในบ้านหลังหนึ่ง แล้วออกทางโรงเก็บรถที่มีประตูอัตโนมัติ แต่กลไกมันเสียอยู่พอดี พยายามเปิดยังไงก็ไม่ได้ จะย้อนเข้าบ้านประตูบ้านก็ล็อกไปแล้วเหมือนกัน

บังเอิญเจ้าของไม่ได้กลับบ้าน 8 วัน ดิกสันต้องกินอาหารหมากับเป๊บซี่ที่อยู่ในโรงรถ พอออกมาได้ ฟ้องร้องค่าเสียหายเอากับบ.ประกันของเจ้าของบ้าน

ผู้พิพากษาคงคิดว่าน่าสงสารจัง สั่งจ่ายไป ห้าแสนเหรียญ ค่ะ

อันดับ 4

ที่ อาร์คันซอร์ เจอรี่ วิลเลียม ปีนเข้าไปในเขตบ้านเค้า เอาหนังสติ๊กไปยิงหมาที่เค้าล่ามโซ่อยู่ โดนมันกัดก้นเอาเข้า มีหน้าไปฟ้องร้องเรียกค่าทำขวัญกะค่ายาจากเจ้าของหมาอีก ได้ไป 14,500 เหรียญ นี่ถ้าไม่ไปยิงหมาให้มันโมโหก่อน ผู้พิพากษาบอกว่าจะได้มากกว่านี้

อันดับ 3

รายนี้เป็นสาวชื่อ แอมเบอร์ คาร์สัน ทะเลาะกะแฟนในร้านอาหาร ที่ฟิลาเดนเฟีย เอาเครื่องดื่ม สาดหน้าแฟนแล้วเดินสะบัดจากมาลื่นล้มน้ำที่เปียกอยู่บนพื้นซะเอง ก้นกบแตก เจ้าของร้านเป็นฝ่ายจ่ายค่าเสียหายให้“หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อย เหรียญ" อย่างงงๆ ว่า มันเกี่ยวไรกะตูเนี่ย! ?!

อันดับ 2

รายนี้ไม่ค่อยเข้าใจค่ะ คารา วัลตัน ดูเหมือนว่าหลีกเลี่ยงการเข้าห้องน้ำทางประตูของไนท์คลับแห่งหนึ่งเพราะไม่อยากเสียตังค์ 3.5 เหรียญ เธอมุดเข้าทางหน้าต่าง หน้าคะมำฟันหน้าหักไปสองซี่ น่าไม่อายฟ้องไนท์คลับค่าเสียสวย ได้ไป 12,000 เหรียญ

อันดับ 1

ซื่อบื้อสมศักดิ์ศรีรางวัลผู้ชนะมากมายค่ะ

นางอะไรเนี่ย ชื่อเหมือนรัซเซียเลย Mrs. Merv Grazinsk อยู่โอกลาโฮมา ไปซื้อรถบ้านยี่ห้อ Winnebago รถที่เป็นบ้านด้วยน่ะค่ะ ยาวตั้ง 32 ฟุต

ไปดูฟุตบอลเสร็จก็ขับไปตามถนนหลวง เพื่อจะกลับบ้าน เกิดหิวขึ้นมา ก็เลยตั้งให้รถเป็นแบบขับความเร็วคงที่ 70ไมล์ ต่อชั่วโมง (cruise control) แล้วก็เดินไปทำแซนวิซกิน เหมือนปกติที่บ้านมั้ง คิดได้ไงเนี่ย

รถก็ตกถนนสิ พลิกคว่ำพลิกหงาย เป็นความโชคร้ายของ บ.ขายรถ เธอไม่ยักเป็นไร

แต่ลุกขึ้นมาฟ้องบริษัทรถ Winnebago

ฟ้องว่า.....ฟ้องว่า... ทายซิฟ้องว่าอะไร

ทำไม่ไม่ระบุไว้ในคู่มือว่า ไม่ควรละจากที่นั่งคนขับในขณะตั้งความเร็วอัตโนมัติไว้

ชนะคดี ได้ 1,750,000 เหรียญ แถมได้รถคันใหม่ ชดเชยมาอีกคัน

งานนี้บริษัทต้องรีบแก้ไขคู่มือเลย เพราะเกรงว่าจะมีญาติของคุณนายสติปัญญาใกล้เคียงกันจะตามมาซื้ออีกคัน

เมื่ออ่านเรื่องทั้งหมดแล้วผู้เขียนก็เห็นว่าน่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอันใดที่เรายังไม่รู้และด่วนตัดสินไปตามเรื่องที่คนเขาเล่าลือกัน หลายเรื่องข้างบนผู้เขียนลองค้นดูก็ปรากฏว่าไม่ใช่เป็นเคสจริงๆที่มีการฟ้องร้องแต่เป็นเรื่องโอละพ่อข่าวลือ ฉะนั้นจะถือเป็นจริงเป็นจังคงไม่ได้ รางวัลที่ว่านี้จะเชื่อถือได้แค่ไหนก็ไม่รู้ ฟังหูไว้หูกันไว้ก่อน

แต่สิ่งที่จริงแท้ก็คือ จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกามาเกือบ ๑๕ ปีแล้วก็พบว่า คนอเมริกันเป็นคนที่กลัวการถูกฟ้องร้องเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งอันที่จริงก็เป็นเรื่องดีเพราะเป็นการทำให้คนระวังว่าผู้อื่นจะได้รับความเสียหายหรือเจ็บตัวจากการปล่อยปละละเลยของตนเอง อย่างเช่นถ้ามีการถูพื้นโดยใช้ไม้ถูพื้นที่เปียกแล้วถูไป พนักงานผู้นั้นต้องเอาป้ายสีเหลืองๆที่บอกว่าพื้นเปียกมาวางให้คนได้ระวังตัว เพราะหากมีคนเหยียบน้ำแล้วลื่นไป โดยไม่มีป้ายเตือนแล้วละก็ เจ้าของร้านจะต้องรับผิดชอบความบาดเจ็บของคนที่เหยียบน้ำล้ม ซึ่งก็หมายถึงต้องออกค่ารักษาพยาบาล ยิ่งถ้าเขาเกิดเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตไปก็ต้องเลี้ยงดูเขาไปตลอดชีวิต ฉะนั้นคนอเมริกันจึงกลัวมาก ต้องมีป้ายห้ามป้ายเตือน ทั้งหมดทั้งสิ้นไม่ใช่เป็นห่วงคนอื่นแต่กลัวโดนฟ้องร้องนั่นเอง

จากความกลัวการฟ้องร้องนี้ทำให้คนอเมริกันจำนวนมากมีนิสัยไม่ยอมรับความผิด และไม่พูดคำว่า “เสียใจ” หรือ Sorry ผู้เขียนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ฟังเป็นตัวอย่าง เช้าวันหนึ่งผู้เขียนไปวิ่งออกกำลังกายในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ผู้เขียนได้วิ่งผ่านชายสูงอายุคนหนึ่งซึ่งจูงสุนัขตัวใหญ่ขนปุยมีปลอกคอและโซ่ล่าม ในขณะที่กำลังวิ่งอยู่นั้น สุนัขของชายผู้นี้ (ซึ่งมารู้ภายหลังว่าสุนัขชื่อแฮรี่) กระโดดขึ้นกัดแขนของผู้เขียนต่อหน้าเจ้าของของมัน เลือดไหลออกมาจากแขนซึ่งเป็นแผลสองรู แฮรี่กัดผู้เขียนเพียงครั้งเดียวก็ถูกดึงออกโดยเจ้าของของมัน ผู้เขียนอารามตกใจก็มองไปที่เจ้าของแฮรี่ ปรากฏว่าไม่ยอมมองผู้เขียนไม่ยอมเดินเข้ามา แต่กลับนั่งลงพูดกับสุนัขของตัวโดยไม่หันมาดูผู้เขียนเลย ผู้เขียนจึงวิ่งออกไปทำแผลในบริเวณใกล้ๆนั้น พร้อมทั้งนึกแปลกใจว่าทำไมเจ้าของหมาไม่ยอมพูดอะไร ไม่มาขอโทษ หรือพูดว่าเสียใจเลย มารู้ทีหลังว่ากรณีเช่นนี้สามารถ “ซู” เจ้าของหมาได้เงินมากเสียด้วย ตัวเจ้าของแฮรี่จึงไม่ยอมพูดว่า ซอรี่เพราะคำว่า ซอรี่เป็นการยอมรับผิดโดยปริยาย หากมีการฟ้องร้องจริงตัวเองจะดิ้นไม่หลุด

ตัวอย่างเช่นนี้ทำให้คนอเมริกันเหมือนคนใจดำและไม่มีมารยาท คนพวกนี้กลัวขี้ขึ้นสมองเพราะใครๆก็ซูกันเป็นเรื่องปรกติ คนไทยเรานั้นไม่มีนิสัยเช่นนี้ คนไทยมีความเห็นอกเห็นใจและรับผิดชอบในความผิดของตนมากกกว่าคนอเมริกันทั่วไป อาจจะเป็นเพราะพวกเราไม่มีการฟ้องร้องกันแบบเอาเป็นเอาตายอย่างพวกเขาก็เป็นได้