ไลฟ์สไตล์
จอมพล
ฆาตกรต่อเนื่อง ริชาร์ค รามิเรซ

เมื่อสองสามวันก่อน เพื่อนที่ทำงานซึ่งเป็นคนอเมริกัน ปรารภกับผู้เขียนว่า ริชาร์ด รามิเรซ ตายแล้วนะ ผู้เขียนก็เลิกคิ้วมองหน้าเจ้าหล่อนพร้อมกับทำหน้างงๆ เธอจึงเล่าให้ฟังย่อๆว่า ริชาร์ด รามิเรซ นี้เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่มีชื่อเสีย (ไม่ใช่ชื่อเสียง)มากที่สุด ในช่วงที่ริชาร์ดก่อคดีอย่างต่อเนื่องนั้น เรียกกันว่าเมืองแอลเอทั้งเมืองนี้เงียบสงัดไปหมดในเวลากลางคืน เพราะมันเป็นฆาตกรที่โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุดในประวัติศาสตร์ ทั้งปล้นฆ่าและข่มขืน ไม่เว้นแม้แต่เด็กหญิงหรือคนแก่ ถ้าเป็นผู้ชายมันจะเอาปืนยิงหัวให้ตายเดี๋ยวนั้น ส่วนถ้าเป็นผู้หญิงมันก็จะข่มขืนก่อนแล้วฆ่าให้ตายอย่างไร้ความปราณี

เพื่อนของผู้เขียนเล่าให้ฟังว่าเมื่อเธอยังเป็นเด็กอยู่นั้น เรื่องของริชาร์ด รามิเรซ เป็นเรื่องราวที่สยองขวัญและน่าหวาดกลัวที่สุด เธอเล่าให้ฟังว่า เมื่อริชาร์ด รามิเรซถูกจับตัวได้และมีภาพลงในหนังสือพิมพ์ เธอยืนยันว่าเธอเคยพูดกับผู้ชายหน้าตาและลักษณะนี้ ที่เคยมาเดินด้อมๆมองๆแถวๆบ้านของเธอ เมื่อเธอบอกแม่ของเธอให้แม่ของเธอเดินออกไปดูผู้ชายที่มาเดินด้อมๆมองๆ แม่ของเธอก็ออกไปพร้อมกับถามว่าต้องการอะไร ผู้ชายคนนั้นก็กล่าวว่าจะมาถามว่ามีงานอะไรให้ช่วยทำไหม เขาหางานอยู่ แม่ของเธอจึงบอกว่าไม่มีแล้วผู้ชายคนนั้นก็เดินจากไป ครั้นเมื่อเขาจับฆาตกรได้ ก็เห็นว่าหน้าตาเหมือนชายที่เคยพูดด้วยเมื่อวันก่อน เรียกได้ว่าเกือบจะถึงฆาตเสียแล้ว

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ริชาร์ด รามิเรซ นี้ถูกจับและถูกพิพากษาให้ต้องโทษประหารมาถึง ๒๓ ปีแล้ว แต่ยังไม่ถูกประหารชีวิตเสียที แต่กลับมาเสียชีวิตเสียก่อนเนื่องจากเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวขั้นที่สอง เมื่ออายุได้ ๕๓ ปี และนั่นก็เป็นเพราะกฏหมายการประหารชีวิตในแคลิฟอร์เนียร์นี้ มีขั้นตอนที่เยิ่นเย้อยาวนาน จนกระทั่งผู้ที่ต้องโทษประหารส่วนมากจะเสียชีวิตในคุกเพราะความชราหรือเป็นโรคอย่างอื่นตาย ตามข่าว CNN ที่ผู้เขียนค้นมารายงานว่า มีนักโทษที่ถูกตัดสินประหารชีวิต ๗๐๐ คน ตั้งแต่ปี ๑๙๗๗ เป็นต้นมา มีเพียง ๑๓ คนเท่านั้นที่ถูกประหารชีวิตจริงๆและมีแค่ ๕๙คนที่ตายในคุกเพราะโรคชราและโรคภัยไข้เจ็บ ส่วนที่เหลือก็นั่งกินนอนกินด้วยเงินภาษีของรัฐที่ต้องเลี้ยงดูนักโทษประหารเหล่านี้ รวมถึงนายริชาร์ด รามิเรซนี้ด้วย

สิ่งที่นายริชาร์ด รามิเรซ นี้ได้ทำต่อผู้บริสุทธิ์นั้นเลวร้ายและน่าหวาดกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์ของฆาตกรในอเมริกา สื่อของอเมริกาเรียกเขาว่า “Night Stalker” หรือแปลเป็นไทยว่านักล่ายามวิกาล

เรื่องราวของริชาร์ด รามิเรซนี้ ผู้เขียนได้คัดมาจากเวปของพันธุ์ทิพย์เขียนโดยคุณปุโรหิต ซึ่งเชื่อว่าแปลมาจากวิกี้พีเดียอีกทีหนึ่งดังต่อไปนี้

“ข้าอยากจะเหนี่ยวไกปืนยิงพวกมันที่หัว จะได้ดูพวกมันดิ้นรนกระเสือกกระสน หรือไม่ก็อยากจะใช้มีดเฉือน หรือแทงตามเนื้อตัวพวกมัน จากนั้นก็จะได้เฝ้ามองความทรมานจากใบหน้าที่ซีดเผือดของพวกมัน ข้าชื่นชมกับเลือดที่หลั่งไหล ตอนนั้นข้าบอกนังผู้หญิงคนหนึ่งที่กลัวจนลนลานให้ส่งเงินมาให้ข้าทั้งหมด เมื่อมันปฏิเสธ ข้ามีโมโหจนต้องแทงนังคนนั้น ก่อนที่จะใช้มีดแซะลูกนัยตามันออกมาทั้งสองข้าง”

ทั้งหมดเป็นการถ่าย ทอดคำพูดของ นักฆ่าซาตาน-ริชาร์ด รามิเรซ ซึ่งถือว่าเป็นนักฆ่าจอมเฉือนและจอมทรมานสุดชั่วช้าสามานย์ในช่วงศตวรรษที่ 80 ริชาร์ดมีนิคเนมว่า "เดอะ ไนท์ สตอคเคอร์" (the night stalker) หรือ "นักล่ายามวิกาล" ซึ่งชื่อเสียๆนี้ได้รับการขนานนามจากประชาชนชาวเมืองซานฟรานซิสโก และลอสแองเจอลิส ที่ต่างก็หวาดผวาภัยของมัน เมื่อถูกตำรวจจับกุมตัวได้นั้น ริชาร์ดกล่าวอ้างว่าเขาคือ "สมุนมือขวาของซาตาน" จากประวัติและจากหลักฐานที่ฆาตกรริชาร์ดยอมเปิดปากนั้นทราบว่าเขาได้ทำการ สังหารผู้คนมาแล้วถึง 19คน และมีเหยื่อที่ได้รับการทรมานอีกนับไม่ถ้วน

และ แม้ว่าถ้าริชาร์ดต้องการจะทำตัวให้ดูคล้ายคลึงกับปิศาจหรือพญามาร ที่เขาชื่นชมบูชานั้นก็ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่เขาจะต้องแต่งหน้าหรือเมคอัพเพิ่มเติมอีกแล้ว ทั้งนี้เพราะว่าธรรมชาติได้รังสรรค์งานปฏิมากรรมทางสรีระมาให้กับเขาจนเพียบ พร้อมในด้านความคล้ายคลึงกับปิศาจ.. ไม่ว่าจะเป็นดวงตาที่ถลนปูดโปน โหนกแก้มสูงและแก้มที่ตอบลีบ ตลอดจนหน้าผากสูง และรูปหน้าที่เสี้ยมแบบผู้ที่มีเชื้อสายสเปนล้วนแล้วแต่เป็นภาพลักษณ์อัน สมบูรณ์ที่ทำให้เขาดูคล้ายกับนักฆ่าที่มาจากนรก

ฟันที่ห่างและมี กลิ่นเหม็นหื่น มือขนาดใหญ่แข็งแรงประกอบกับการแต่งกายในชุดสีดำทึมๆตามที่พยานให้การยืนยัน ยามที่เห็นเขาย่างสามขุมเข้าหาเหยื่อนั้น ทั้งหมดหล่อหลอมรวมกันเป้นลักษณะของซาตานได้ดีที่สุด ฆาตกรในวัย 25ปี(ขณะที่ถูกจับกุมตัว) ถูกทำให้เชื่อว่าเขาเป็นผู้ที่มีความเพี้ยนหลากหลายรูปแบบในชีวิตมาก่อนหน้า และแน่นอนที่สุด เขาคือผู้ที่รับผิดชอบในการสังหารเหยื่ออย่างทารุณไม่น้อยกว่า 19ศพ และแทบทุกศพนั้นล้วนแล้วแต่ถูกทรมาน บางรายก็ถูกบังคับให้ทำวิปริตทางเพศ บางรายก็ถูกข่มขืนยับ และทั้งหมดนั้น ริชาร์ดอ้างว่า เขาทำไปเพื่อบูชาเทพเจ้าซาตานที่เขาหลงใหล

นักฆ่าวัยหนุ่มผู้นี้เสพ ยาเป็นว่าเล่นไม่ว่าจะเป็น ยากล่อมประสาท LSD โคเคน หรือ PCP อันเป็นที่รู้จักกันดีในยุคนั้นว่าคือยาบ้า (ไม่ใช่ยาบ้าแบบปัจจุบัน) และมันมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้เขาสามารถสร้างความโหดร้ายต่อบุคคลอื่นได้ เป็นอย่างดี ลีลาการยิงทิ้งเหยื่อของริชาร์ดนั้นถือว่าโหดร้ายและเลือดเย็นยิ่งเพราะเขา มักจะจ้องปืนยิงเหยื่อซึ่งๆหน้า และสุขุมมาก นอกจากนั้นเขายังเลือกที่จะแทงเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยมีดที่มีใบยาวหวาดเสียว จากนั้นจึงได้กรีดเนื้อหนังหรือใบหน้าของเหยื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งซาตาน

เขายอมรับว่ายิ่งเห็นเลือดไหลรินเขายิ่ง คั่งไคล้และมีความสุข สำหรับเหยื่อนั้นไม่มีการจำกัดแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้หญิงหรือคนแก่ล้วนแล้วแต่เป็นเป้าหมายของเขาได้ทุกชีวิต นอกจากชอบเสพยาแล้ว ริชาร์ดชื่นชมวงดนตรีและเพลงต่างๆที่กล่าวพาดพิงถึงการฆ่าและซาตาน แต่ถ้าให้เลือกแบบเฉพาะเจาะจงแล้วเขาพอใจวงร๊อค "AC/DC" มากที่สุดจนถึงขั้นสะสมเทปเพลงต่างๆของวงดนตรีนั้นไว้ในรถปอนเตี้ยครุ่น ปี1978 แทบทุกอัลบั้มและซิงเกิ้ลแต่ในมวลหมู่เพลงทั้งหมดนั้น มีเพลงโปรดที่สุดของเขาอยู่เพลงหนึ่ง มันคือเพลง "Night Prowler" หรือ "ผู้ย่ำราตรี" ซึ่งเขายกย่องให้เป็นเพลงเฉพาะตัวเขาไปเลย

เขา คลั่งเพลงดังกล่าวมากจนถึงขนาดที่ว่าต้องฟังมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยวิทยุเทป แบบพกใส่กระเป๋ากางเกงขณะทำการสังหารและชำแหละเหยื่อ โดยที่ขณะทำงานโหดนั้นเขาจะเปิดวอลลุ่มเสียงให้ดังสุดๆ และทำงานโหดของตนไปอย่างมีความสุขแ ส่วนกระเป๋าอื่นๆ นั้นเขาจะเก็บมีดสังหารและปืนพกเอาไว้โดยที่จะใส่กระสุนเต็มรังเพลิงเสมอๆ มันเป็นอุปกรณ์เตรียมการฆ่าที่เขาเอาใจใส่มันโดยตลอด

ริชาร์ดเริ่มงานของเขาในเช้าวันที่ 28 มิย. 1984 อย่างเงียบเชียบ และมันได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการ "บ้าเลือด" ในภายหลัง แม่เฒ่าเจนนี่ ฟินโคว์ วัย 79 ปี ยังคงนอนหลับในห้องนอนของเธอซึ่งอยู่ชั้นหนึ่งของอพาร์ตเม้นต์ มันเป็นช่วงเวลาอันแสนอบอุ่นและแม่เฒ่าก็เปิดหน้าต่างทิ้งไว้ให้ลมอุ่นนั้น พัดเข้าห้องนอน และดูเหมือนว่ามันทำให้เธอหลับได้อย่างสบายด้วย เวลานั้นเธอไม่ได้ยินเสียงลูกบิด ประตูถูกบิดด้วยมือลึกลับที่สวมถุงมือรัดกุม ร่างของผู้บุกรุกนั้นรับรู้ว่าแม่เฒ่าที่กำลังหลับนั้นไม่อาจทำอันตรายเขา ได้แน่นอน มันเดินเลยไปยังลิ้นชักต่าง ๆ และดึงรื้อค้นเพื่อจะหาทรัพย์สิน แต่เมื่อค้นไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่พบของมีค่า มันจึงหันเหความสนใจไปยังร่างแม่เฒ่าที่ยังหลับไหล

มันดึงมีดออกและ จ้วงแทงไปที่ทรวงอกหญิงชราทันทีทำให้เธอหวีดร้องออกมา ไอ้จอมโหดผลักร่างเธอลงไปนอนหงายกับเตียงและตวัดมีดไปที่ซอกคอ แม่เฒ่าพลางกรีดเจาะมีดเป็นแผลลึกตัดพื้นที่ใต้ซอกคออีกข้างหนึ่งไปจรดอีก ข้างหนึ่งจนศรีษะของแม่เฒ่าแทบจะหลุดออกจากคอ เพราะแผลฉกรรจ์นั้น ท้ายที่สุดไอ้จอมโหดริชาร์ดก็แทงมีดปักอกแม่เฉ่าเป็นของแถมอีก 3 ครั้ง ก่อนที่จะเผ่นออกไปยังหนทางที่มันผลุบเข้ามาในตอนแรก เมื่อเรื่องถึงมือตำรวจๆได้แต่งุนงงและเพียงสันนิฐาฯว่าน่าจะเป็นผลงานของ พวกเมายาเท่านั้น ราวเดือนกุมภาพันธ์ เด็กนักเรียนหญิงวัย 6 ขวบ ถูกลักพาตัวไปจากป้ายรถเมล์และถูกซ่อนด้วยถุงใหญ่สำหรับใส่เสื้อผ้าของร้านซักแห้ง เด็กหญิงเคราะห์ร้ายนั้นถูกทารุณกรรมทางเพศโดยริชาร์ดก่อนที่จะถูกนำตัวไปทิ้งไว้ ข้างถนน และยืนร้องไห้ขอความช่วยเหลือ

2 อาทิตย์ถัดมาเรื่องทำนองเดียวกันนั้นก็เกิดขึ้นอีก คราวนี้เด็กสาวคนหนึ่งถูกลักพาตัวไปจากห้องนอนในย่านอีเกิล ร๊อค เธอถูกข่มขืนจากนั้นก็ถูกนำมาปล่อยทิ้งไว้ที่เอลิเซี่ยน พาร์ก และนั่นเป็นครั้งแรกที่มีการให้รูปพรรณสัณฐานของผู้จู่โจมโหด มันเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิก่อนที่งานของฆาตกรโหดริชาร์ดจะเริ่มต้นขึ้นอีก คราวนี้เป็นความโหดจนสยดสยอง วันอาทิตย์ที่17 มีค. 1985 เวลา ห้าทุ่มครึ่ง ไอ้โหดริชาร์ดซ่อนตัวอยู่หลังเงามืดของคอนโดแห่งหนึ่งในย่าน โรสบัด ซึ่งเป็นย่านชานเมือง มันถือปืนไว้ในมือรอเวลาที่เหยื่อซึ่งก็คือ มาเรีย เฮอร์นันเดซ สาวสวยวัย 20 ปี ซึ่งเพิ่งจะก้าวขาลงจากรถของเธอ เธอให้การกับตำรวจในภายหลังๆจากที่เธอถูกผู้บุกรุกซึ่งสวมหมวกเล่นเบสบอลมี ตราวงดนตรี AC/DC มาขวางทางพร้อมกับยิงปืนเข้าใส่เธอ แต่เดชะบุญที่ลูกกระสุนพลาดเป้าหากแต่ไปโดนกุญแจรถที่เธอถือมาจนหลุดกระเด็น เธอล้มลงและแกล้งทำเป็นเหมือนถูกกระสุนยิงจนตาย

ดูเหมือนว่าริชาร์ดออกจะงงๆอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ผ่านเธอไปและตรงเข้าไปที่ในห้องแฟลตนั้น..คราวนั้นทำให้มันเผชิญหน้ากับ เดล โอกาซากิซึ่ง เป็นเพื่อนร่วมห้องของเธอชาวฮาวายของมาเรีย ริชาร์ดจอมโหดไม่รอช้ามันยิงกระสุนเจาะเข้าที่หัวของเดลและทำให้เธอสิ้นใจ ทันที ก่อนที่ริชาร์ดจะเผ่นไปจากห้องนั้น มันได้เขียนสัญลักษณ์ดาวในวงกลมด้วยเลือดที่หลั่งไหลของเดลเป็นสัญลักษณ์ ขนาดใหญ่ที่ข้างฝา มันรีบร้อนเผ่นหนีไปโดยเผลอทิ้งหมวกเอาไว้ในที่เกิดเหตุ และสิ่งนั้นได้กลายเป็นหลักฐานอีกชิ้นที่นำอาจไปสู่การระบุตัวคนร้ายได้ใน เวลาต่อมา มาเรียซึ่งรอดตายอย่างหวุดหวิด(ด้วยการแกล้งตาย) นั้นยังคงตัวสั่นงันงก แต่เธอก็คือผู้ที่สามารถระบุรูปพรรณของคนร้ายได้ว่าเป็นผู้ที่มีดวงตากลมโปน ใบหน้ากว้าง และมีฟันเน่าเหม็น

วันเดียวกันนั้นเอง สาวไต้หวันชื่อ เซเหลียน ยูก็ ถูกวายร้ายคนหนึ่งซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ย่าน มอนเทอร์เรย์ พาร์ค ใกล้บ้านพักของเธอ มันลากเธอลงมาจากรถเชฟโรเล็ต ไอ้โหดริชาร์ดนั้นคือโจรร้ายนั้น มันควักปืนออกมาจ่อที่ทรวงอกของเซ เหลี่ยน ยู และกระหน่ำยิงต่อเนื่องรวดเร็วและมีผลทำให้สาวไต้หวันอยู่ในอาการโคม่าก่อน ที่จะสิ้นใจตายไปในวันรุ่งขึ้น ณ บัดนั้นริชาร์ดมีความมั่นใจเหลือหลายมันมองดูการรายงานข่าวตามสื่อต่างๆ อย่างเย้ยหยัน มันหัวเราะกร้าวกับการบอกกล่าวถึงรูปพรรณสัณฐานของมันจากปากพยาน มันคิดว่ามันคงไม่มีทางพลาดท่าเป็นแน่ หรือถ้าพลาดพลั้งไปก็ยังมีซาตอนที่คอยช่วยเหลือมันอยู่..

วันที่ 27 มีค. 1985 ปีเตอร์ ซาซาร์ร่าแวะเข้าไปเยี่ยมบิดา-มารดาที่เอง วิทธิเออร์ ใกล้กับซาน กาเบรียล ฟรีเวย์ อันที่จริงมันเป็นวาระครบรอบการมาเยือนตามปกติ เมื่อถึงบ้านนั้นเขาคิดว่าท่านออกไปข้างนอกด้วยกันทั้งคู่ แต่เมื่อไขประตูเข้าไปภายในบ้านก็พบกับความสยองสุดที่จะรับได้ เขาพบบิดาวัย 64ปี วินเซ้นต์ ซาซาร์ร่า เจ้าของร้านพิซซ่าเอนร่างตายอยู่บนโซฟาจากแผลถูกยิงเจาะเข้าที่ขมับซ้ายจนเป็นรูลึกสีดำ แต่ร่างของ แม๊กซีนมารดาวัย 44 ปี ของเขานั้นตายอย่างทารุณยิ่งกว่า เธอถูกฆาตกรโหดปากมีดคมราวกับนักแล่เนื้อไปทั่วร่างเธอ ที่น่าสังเวชใจที่สุดก็คือ ดวงตาทั้งคู่ของเธอถูกควักออกไปและถูกยัดกล่องใส่แหวนเพชรเข้าไปแทนที่อย่างน่าสยอง 14 พค.1985 วิลเลี่ยม โดอี้ถูก ยิงเข้าที่หัว ส่วนลิลลี่ผู้ภรรยานั้นถูกตีน่วมไปทั่วตัว แต่ก็ยังสามารถให้ปากคำกับตำรวจได้ถึงรูปพรรณสัณฐาณของคนร้ายซึ่งทิ้งรอย เท้าไว้เกลื่อนที่เกิดเหตุ และรอยเท้าเหล่านั้นก็ถูกโยงเข้ากับความพอดีของริชาร์ด รามิเรซได้ในเวลาต่อมา 29 พค.1985 สองพี่น้องสตรีวัยชรามาเบล เบลล์ วัย 84 และฟลอเร้นซ์ แลง วัย 81 ปี ต่างก็ถูกทำร้ายร่างกายจนบอบช้ำภายในบ้านพักที่มอนโรเวียซึ่งถูกรื้อค้น กระจุยกระจาย แม่เฒ่ามาเบลนั้นสิ้นใจไปแล้ว แต่คนร้ายได้ทิ้งรอยดวเพนทาแกรม(ดาวห้าแฉกในวงกลม) ที่เขียนด้วยลิปสติกไว้ที่ขาอ่อนของเธอ นอกจากนั้นมันยังเขียนสัญลักษณ์เดียวกันไว้ที่ผนังห้องนอนด้วย

อีก 4 วันให้หลัง..ฟลอเร้นซ์ ผู้เป็นน้องสาวของผู้ตายก็ถูกพบว่านอนบาดเจ็บสาหัสอยู่ในสวน เธอได้รับการเยียวยารักษาจนพ้นขีดอันตราย แต่มาร์เบลพี่สาวของเธอนั้นไม่อาจทนพิษบาดแผลได้ จึงสิ้นลมอย่างทรมาน 27 มิย. 1985 ในย่านเบอร์แบงค์..ครูสตรีวัย 41ปี ผู้หนึ่งถูกจู่โจมเข้าบ้านและถูกทำร้ายด้วยการปาดคอหอย..หลังจากที่โจร ร้าย-ริชาร์ด รามิเรซได้จับลูกชายผู้บาดเจ็บวัย 12 ปีมัดเอาไว้แล้ว พยานให้การว่าผู้บุกรุกนั้นส่องไฟฉายเข้าไปที่ดวงตาเธอ มันพูดช้าๆ เนิบๆ ด้วยปากและฟันที่ส่งกลิ่นเหม็นตลบ มือของเธอถูกมัดด้วยถุงน่องก่อนที่ไอ้ผู้บุกรุกรายนั้นจะลงมือข่มขืนเธอและ ทำร้ายร่างกายเธอไปด้วย จากนั้นเมื่อมันเสร็จสมอารมณ์หมาย แล้วจึงได้ใช้มีดปาดคอหอยเธอ แต่ไม่ทำให้ถึงตาย

ก่อนที่มันจะรูดซิปกางเกงและผลุนผลันออกจากบ้านหลังนั้นไป พันพูดเสียงเย็นชากับเธอว่า "ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องไว้ชีวิตแกด้วย" และแล้วมันก็เผ่นหนีไปกับความมืด ขณะนั้นผู้เสียหายหลายรายได้ให้ข้อมูลมากมายกับตำรวจจนสามารถระบุลักษณะคน ร้ายได้ว่า ต้องเป็นผู้ที่มีดวงตาเย็นชา ตาโปนในเบ้าตาลึก มีทรงผมยุ่งเหยิงสีดำสนิท มีลมหายใจเหม็นหึ่ง มีฟันห่างไม่เป็นระเบียบ แต่อย่างไรก็ตามตำรวจยังไม่มีภาพถ่ายของมันอยู่ดี

20 กค.1985 มีการจู่โจมคนร้ายและสังหารอย่างโหดเหี้ยมถึง 2 เหตุการณ์ รายแรกนั้นเกิดขึ้นที่ เกล็นเดล..โดยที่ชายชราวัย 69ปีและภรรยาวัย 66 ปีต่างก็ถูกคมมีดปาดเหวอะหวะทั้งยังถูกยิงจนตายภายในบ้านของตนเอง บาดแผลโดนมีดปาด ในฝ่ายภรรยานั้นทั้งมีขนาดใหญ่และลึกจนถึงกระดูก บางทีมีดที่ใช้นั้นใหญ่จนอาจจะมีขนาดพอๆกับพร้าหรือมีดดาบก็เปนได้ ส่วนแผลโดนปาดคอของฝ่ายสามีผู้เฒ่านั้นก็ลึกจนทำให้หัวแทบขาดหลุดออกจากคอ

ราย ที่สองเกิดขึ้นในยามค่ำคืนในเขต ซัน แวลลี่ย์..ชายเคราะห์ร้ายก็คือ Chainarong Khovanath(ชัยณรงค์ โควะนันท์) วัย32 ปีถูกตีจนน่วมและถูกสาดกระสุนใส่จนสิ้นใจคาเตียงนอน ซาคีม่า ผู้เป็นภรรยาของผู้ตาย จากการสืบสวนพบว่าภรรยานั้นเห็นการทำร้าย และทำให้เธอหวีดร้องแทบเสียสติ แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเธอและบุตรอาจจะถึงแก่ความตายก็ได้ถ้ายังคงกรีดๆ ร้องอย่างนั้นต่อไป "สาบานต่อหน้าซาตานซิว่าแกจะไม่ร้องขอความช่วยเหลือ" ริชาร์ดพูดเนิบๆ ก่อจะสอดคลึงมือไปที่เนื้อหนังภายใต้ชุดนอนของซาคีมา

มัน ข่มขืน ซาคีม่าถึงสองครั้งติดๆ ทั้งยังบังคับให้เธอใช้ปากทำ "ออรัล" ให้กับมันโดยที่การออรัลนั้นไม่ประทับใจจนทำให้มันไม่สำเร็จความใคร่ดังต้อง การมันจึงตบตีและทำร้ายร่างกายเธออย่างทารุณ พร้อมกันนั้นก็เล่นงานลูกชายวัย 8ขวบไปด้วย เมื่อสะใจแล้วมันจึงเผ่นออกจากบ้านนั้นไปพร้อมกับเงินสด 3หมื่นดอลล่าร์ และเครื่องเพชรติดมือไป

ความมั่นใจในฝีมือสังหารและทำร้ายผู้คน ตลอดจนคิดว่าซาตานสนับสนุนจนไม่มีทางที่ตำรวจจะจับตัวได้นั้นทำให้ริชาร์ดย่ามใจและเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ.. ดังนั้น วันที่ 6 สิงหาคม มันจึงบุกเข้าไปที่บ้านหลังหนึ่งในย่านนอร์ธ บริดจ์ ยิงคริสโตเฟอร์ และเวอร์จิเนีย พีเตอร์เซ็น เจ้าของบ้านวัย 38และ27 ปีตามลำดับ แต่คนทั้งคู่ยังไม่ตาย หากแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส คริสโตเฟอร์นั้นถูกกระสุนปืนเจาะฝังลึกในสมอง ส่วนเวอร์จิเนียผู้เป็นภรรยานั้นถูกยิงจนเหลือใบหน้าแค่ครึ่งเดียวและต้อง ผจญกรรมกับชีวิตที่เหลืออย่างยากลำบาก อีก 2 วันให้หลัง ริชาร์ดลงมือสังหาร เอลญ่าส์ อะโบวัธ ชายวัย 35 ปี ภายในบ้านของเอลญ่าส์เอง หลังจากนั้นจึงได้ข่มขืนภรรยาของเอลญ่าจนสำเร็จความใคร่ ตำรวจถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักในแง่ที่ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ อย่างไรก็ตามแต่รูปร่างลักษณะจากปากคำพยานหลายปากที่ให้รายละเอียดหน้าตาของ โจรนั้น เริ่มจะเป็นรูปร่างมากขึ้นจนทำให้ตำรวจสามารถสเก็ตภาพเหมือนคนร้ายขึ้นมา ริชาร์ดได้กลิ่นอันตรายอยุ่เหมือนกัน มันเผ่นหนีไปอยู่ยังอีกเมืองในย่านโกลเด้น สเตท แต่สัญชาตญาณโหดก็ทำให้มันมองหาเหยื่อเพื่อความสะใจต่อไปอีก หลังจากย้ายไปอยู่ในซานฟรานซิสโกได้ราว 10 วัน มันก็ก่อเหตุยิงชายวัยกลางคนชื่อ ปีเตอร์ เพน ก่อนที่จะหันไปเล่นงานฝ่ายภรรยาของปีเตอร์ด้วยการตีเนื้อตัวจนน่วมก่อนที่จะ ยิงสังหาร เมื่อตำรวจไปถึงที่เกิดเหตุก็พบว่าฝ่ายหญิงยังมีชีวิตอยู่ตลอดจนมีถ้อยคำของซาตานถูกเขียนอยู่ทั่วไปบนผนังห้อง

22 สค. 1985 ริชาร์ดจ่อยิง บิล คาร์นส์ ชายวัย 29 ปี ด้วยการยิงเข้าที่หัวเพียงนัดเดียวในย่าน มิชชั่น วิเอโจ จากนั้นเขาก็ตรงเข้าข่มขืน ไอเนซ เอริคสัน คุ่หมั้นของบิลอย่างเมามัน เมื่อเสร็จกิจแล้วก็ขโมยรถโตโยต้าเพื่อใช้เป็นพาหะนะในการหนี การขโมยรถคนนั้นกลายเป็นหลักฐานในการมัดตัวเขายิ่งขึ้นเพราะรถคันนั้นถูก แจ้งทะเบียนว่าเป็นรถที่ยกเลิกการใช้ และกลายเป็นสิ่งที่ทำให้มีการสอบสวนจนพบว่าผู้ที่ขับมันอยู่ก็คือ ริชาร์ด รามิเรซ ตอนนั้นตำรวจเพิ่งจะรู้จักหน้าตาฆาตกรว่าเป็นเช่นไรจากการโยงประวัติและรูป ภาพต่างๆ เข้าด้วยกัน วันที่ 30 สค. 1985 ริชาร์ดลงจากรถบัสเกรย์ ฮาวด์ที่วิ่งข้ามรัฐในขณะที่เดินออกจากท่ารถที่ลอสแองเจลีสโดยไม่คิดว่าจะมีใคร สนใจนัก ฆาตกรโหดเดินเข้าไปร้านขายเหล้าโดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีรูปใบหน้าของมัน พร้อมกับประกาศจับหราอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์หลายต่อหลายฉบับในร้าน

สตรี คนหนึ่งตะโกนว่า "เอ๊ะ นั่นมันไอ้ฆาตกรนี่นา มันคือไอ้นักล่ายามวิกาล" ริชาร์ดสังเกตเห็นทุกคนในร้านขยับตัวและมีทีท่าว่าจะตรงเข้ารุมล้อมกรอบมัน ๆจึงรีบเผ่นออกจากร้านทันทีโดยมุ่งหน้าไปยังย่าน อิสต์ ลอสแองเจลีสซึ่งเป็นชุมชนที่มีวัฒนธรรมสเปนหนาแน่น ด้วยหัวใจที่เหนื่อยแทบแตกดับ และสองขาที่เมื่อยล้าเพราะวิ่งจนสุดกำลัง ริชาร์ดวิ่งมาได้ไกล 3 ไมล์ และพยายามจะขโมยรถยนต์ที่จอดอยู่เบื้องหน้าแต่ไม่ทันการณ์ มันถูกล้อมกรอบด้วยผู้คนที่บ้าคลั่งและกระเหี้ยนกระหือรือพร้อมที่จะเหยียบ ย่ำมันให้เป็นเศษเนื้ออยู่แล้ว ทันใดนั้นเสียงรถหวอตำรวจก็ดังขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจมากมายรวมทั้งหน่วยแม่นปืนก็พากันกรูเข้าล้อมกรอบริชาร์ด และหันปากกระบอกปืนเข้าใส่มันพร้อมกับบอกให้ยอมจำนน และนั่นก็คือวันที่ริชาร์ด สิ้นอิสรภาพ ในขณะเดียวกันก็รอดพ้นจากการถูกประชาทัฑณ์อย่างหวุดหวิดที่สุด

การสอบปากคำ และไต่สวนคดีนั้นใช้เวลาเนิ่นนานถึง 4ปีเต็มๆ หลังจากจับกุมตัวริชาร์ดได้ระหว่างที่ถูกจองจำอยู่ในคุกนั้น ริชาร์ดมีโอกาสได้แต่งงานกับ ดอรีนี ไรลอยซึ่งมีอาชีพเป็นบรรณาธิการอิสระของนิตยสารวัยรุ่น ตลอดจนเป็นผู้เขียนจดหมายไปหาริชาร์ดถึงในคุกจำนวน 75ฉบับด้วยกัน ไม่มีใครบอกได้ว่าริชาร์ดคิดอย่างไรกับดอรีน แต่สำหรับดอรีนนั้นเธอเชื่อว่า ริชาร์ดคือผุ้บริสุทธิ์และเป็นแพะรับบาปในคดีนั้น เวลาที่ทั้งคู่แต่งงานกันนั้น ริชาร์ด (ซึ่งอยู่ในคุก)มีอายุ 36 ปี และดอรีนอยู่ในวัย41 ปี วันที่แต่งงานกันจนเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกก็คือวันที่ 3 ตค.1996 ก่อนหน้านั้น..ในวันที่ 20 กย. 1989 ริชาร์ดถูกตัดสินว่ามีความผิดรวม 43 กระทง ด้วยกัน ในจำนวนนั้นแบ่งส่วนออกเป็นการก่อฆาตกรรม 13กระทงและที่เหลือก็มีทั้ง ลักขโมย ทำทารุณกรรม ตลอดจนข่มขืน 7 พย.1989 ผู้พิพากษา เอไทแนน ก็พิพากษาให้ริชาร์ด ต้องโทษ "ประหารชีวิต" แต่ทั้งๆที่เขามีโทษประหารอยู่แล้ว หากแต่ยังมีลมหายใจได้ถึงทุกวันนี้โดยถูกจองจำอยู่ใน "แดนประหาร" ในคุก ซานเคว็นติน เรื่องนี้น่าประหลาดใจนักว่าทำไมเขาจึงยังไม่ถูกประหารไปเสียทีความสลับซับ ซ้อนในเรื่องนี้ยังไม่เป้นที่เปิดเผยนัก หรือไม่อย่างนั้นซาตานคงต้องการจะยื่นมือมา "ยื้อชีวิตของฆาตกรโหด" รายนี้ไปอีกสักพักก็เป็นได้

ประวัติริชาร์ด รามิเรซ

เกิด เมื่อ คศ.1960 ในเมือง เอลปาโซ๋ มลรัฐเท็กซัส-อเมริกา ในชุมชนเม็กซิกันอพยพชื่อจริงคือ ราชาร์ด รามิเรซเขาเป็นเด็กไฮเปอร์แอคทีฟและต่อมาได้พัฒนาเป็นความกดดันก้าวร้าว บิดามารดาคือ จูเลี่ยนและเมอร์ซีเดส รามิเรซ ริชาร์ดมีพี่น้อง 4 คน แต่เมื่ออายุได้ 12 ปีริชาร์ดได้ไปคลุกคลีกับไมเคิล-ญาติที่เป็นทหารไปรบในเวียดนาม ไมเคิลเป็นทหารกรีนเบเร่ต์และได้โชว์ภาพโหดๆ ระหว่างอยู่ในเวียดนามให้เขาดู ไม่ว่าจะเป็นภาพของการข่มขืนเหยื่อชาวเวียดนาม ภาพการทรมานและตัดร่างกายของเวียดกงด้วยมีดคมๆ นอกจากนั้นยังสอนริชาร์ดให้รู้จักวิธียิงปืนและใช้มีดกำจัดเหยื่อด้วย วันหนึ่งริชาร์ดมีโอกาสเห็นไมเคิลทะเลาะกับเมียและใช้ปืนยิงที่ใบหน้าของ เมียจนตาย จากนั้นจึงถูกจำคุกและถูกปล่อยตัวออกมาในปีค.ศ.1977 เวลานั้นสิ่งเลวร้ายต่างๆ ได้หล่อหลอมให้ริชาร์ดกลายเป็นคนแข็งกระด้างและใจโหดจนกระทั่งกล้าพอที่จะ ก่อเหตุสยองและขึ้นชั้นกลายเป็นนักฆ่าต่อเนื่องในที่สุด..”

อย่างไรก็ตามสุดท้ายความตายก็มาถึงเขาในที่สุด เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ปี ๒๐๑๓ ที่ริชาร์ดจากไปด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือด โดยไม่ได้รับความทรมานแม้แต่เพียงเศษเสี้ยวเดียวของบรรดาผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อของมัน โลกนี้หนอช่างไม่มีความยุติธรรมเสียนี่กระไร