เห็นมา เขียนไป

เห็นมา เขียนไป วันที่ 10 ตุลาคม 2563

ในสังคมเมืองไทย หลายคนฝันอยากเป็น แพทย์, วิศวกร, ครู, ผู้พิพากษา, นักธุรกิจ ฯลฯ แต่น้อยคนนัก ที่มี “ความฝัน” และ “กล้า” บอกได้เต็มปากว่า พวกเขาอยากจะเป็น เกษตรกร..

แต่รู้ไหมว่า ร้านอาหารเพื่อสุขภาพที่กำลังโด่งดัง มีลูกค้ารอคิวยาวเหยียดในเกือบทุกสาขา อย่าง “โอ้กะจู๋” นั้น เกิดจากหนุ่มนักล่าฝัน ที่มีความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กๆ ว่า เมื่อโตขึ้น พวกเขาต้องเป็นเกษตรกรให้ได้ เรื่องราวของพวกเขาเป็นอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

คุณชลากร เอกชัยพัฒนกุล หรือ คุณอู๋ คุณจิรายุทธ ภูวพูนผล หรือ คุณโจ้ ทั้ง 2 คนเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมัธยม และทางบ้านก็ทำอาชีพเกษตรเป็นทุนเดิม โดยครอบครัวคุณอู๋ ทำผลไม้ดอง ส่วนครอบครัวคุณโจ้ ปลูกหอม ลำไย ด้วยความที่คลุกคลีกับอาชีพนี้ เลยทำให้คุณอู๋ และ คุณโจ้ มีความฝันอยากเป็นเกษตรกร ตั้งแต่วัยเด็ก และเกิดแรงบันดาลใจที่จะทำธุรกิจเกี่ยวกับเกษตรร่วมกัน

ซึ่ง คุณโจ้ ตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาที่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพราะต้องการเก็บเกี่ยวความรู้ เอาไปต่อยอดอาชีพในฝันของตน อย่างไรก็ดี คุณโจ้ ก็ได้รับคำสบประมาทไม่น้อย กับการเลือกเส้นทางนี้

เช่น เลือกเรียนเกษตรทำไม เรียนไปเพื่อขุดดิน ? แต่คุณโจ้ก็รู้ดีว่า ในชีวิตตัวเองต้องการอะไร และเปลี่ยนคำสบประมาทเหล่านั้นให้เป็นแรงขับเคลื่อน โดยเขาจบการศึกษาด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับ 1 (เหรียญทอง)

และหลังจากจบการศึกษา คุณอู๋ และ คุณโจ้ ก็ได้ร่วมมือกันเริ่มปลูกผักแปลงแรกทันที ในพื้นที่ขนาด 1 ไร่

หลังจากนั้นก็เริ่มจากแจกจ่ายพืชผักให้เพื่อนบ้านและคนรู้จัก ก่อนจะค่อยๆ ขายส่งให้กับร้านอาหารต่างๆ ทั่วเชียงใหม่ ซึ่งต่อมาพวกเขาก็ได้เพื่อนอีกคน คือ คุณวรเดช สุชัยบุญศิริ หรือ คุณต้อง ที่จบด้านวิศวกรรมศาสตร์ เข้าร่วมเป็นหุ้นธุรกิจด้วย โดยมาช่วยดูแลเรื่องปุ๋ยอินทรีย์

ในช่วงแรกของการดำเนินธุรกิจ พวกเขาก็ต้องพบกับอุปสรรคนานาเช่นเดียวกับทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง น้ำท่วมครั้งใหญ่หรือพายุ จนไม่สามารถเพาะปลูกผักได้เป็นเวลานาน แต่พวกเขาก็ค่อยๆ ช่วยกันแก้ปัญหา และฟันฝ่าอุปสรรค จนสามารถก้าวผ่านความท้าทายมาได้ และหลังจากปลูกพืชผักได้ประมาณ 2 ปี ทั้ง 3 คน ก็เกิดความคิดที่อยากต่อยอดผลผลิต และเพิ่มมูลค่าให้กับพืชผักของพวกเขา

จึงได้ลองเปิดร้านคาเฟ่เล็กๆ สำหรับคนรักสุขภาพขึ้น บริเวณหน้าแปลงผักของพวกเขา ที่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2556 ภายใต้คอนเซ็ปต์ว่า From Farm to Table โดยนำพืชผักจากสวนของพวกเขามาใช้เป็นวัตถุดิบหลัก และตัดสินใจตั้งชื่อร้านว่า “โอ้กะจู๋” ซึ่งชื่อร้านก็มาจากชื่อของ คุณอู๋ และ คุณโจ้ ผวนคำกันเพื่อเพิ่มความแปลกใหม่

พอเปิดร้านไปสักระยะหนึ่ง โอ้กะจู๋ ก็ได้ขยายเมนู โดยเพิ่มสเต๊กและเมนูอื่นๆ เข้าไป เพื่อไว้ทานคู่กับสลัดผักซึ่งปรากฏว่าร้านได้กระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนพวกเขาทั้ง 3 คน ตัดสินใจหันมาโฟกัสกับธุรกิจร้านอาหาร แทนการขายส่งผัก เพราะธุรกิจนี้ สร้างมูลค่าเพิ่มและมีอัตรากำไรที่ดีกว่า

ต่อมาในปี พ.ศ. 2560 โอ้กะจู๋ ก็ได้บุกกรุงเทพฯ เพื่อสนองความต้องการของคนเมืองกรุง ที่มีแนวโน้มต้องการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น โดยเข้ามาเปิดสาขาที่สยามสแควร์ และหลังจากเปิดร้านได้ไม่นาน ด้วยความสำเร็จที่เกินความคาดหมาย ร้านโอ้กะจู๋ มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างล้นหลาม จนที่นั่งภายในร้านรองรับลูกค้าไม่พอ โอ้กะจู๋ จึงต้องเปิดสาขาที่สยามสแควร์ เป็นแห่งที่ 2 เพิ่ม และได้ขยายสาขามาเรื่อยๆ จนปัจจุบันมีอยู่ 12 สาขา พร้อมกับเพิ่มโรงเรือนสำหรับปลูกพืชผัก จนมีฟาร์มผักขนาดใหญ่ 4 แห่ง พื้นที่รวมมากกว่า 200 ไร่

สำหรับผลประกอบการย้อนหลังของร้านโอ้กะจู๋ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ปี 2560 มีรายได้ 84 ล้านบาท กำไร 2 ล้านบาท ปี 2561 มีรายได้ 182 ล้านบาท กำไร 12 ล้านบาท ปี 2562 มีรายได้ 643 ล้านบาท กำไร 80 ล้านบาท มีรายได้เติบโตเฉลี่ย 177% ต่อปี และกำไรเติบโตเฉลี่ย 532% ต่อปี

โดยสาเหตุหลักๆ ที่ผลประกอบการของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด ก็คือ การขยายสาขาเพิ่ม เพื่ออำนวยความสะดวก และรองรับความต้องการของลูกค้า ที่น่าสนใจคือ ที่มาของชื่อบริษัท “ปลูกผักเพราะรักแม่”

โดยเบื้องหลังของชื่อมาจาก โอ้กะจู๋ ต้องการสื่อว่า พืชผักของทางร้านมีความสะอาดและปลอดสารพิษ-สารเคมี จนกล้านำไปให้คุณแม่รับประทาน

นอกจากนี้ แม่ ยังสื่อได้ว่า เป็นตัวแทนความห่วงใยของคนในครอบครัวอีกด้วย โดยจากปีล่าสุด โอ้กะจู๋ มีรายได้ 643 ล้านบาท และ ณ สิ้นปี 2562 โอ้กะจู๋ มีร้านอยู่ 9 สาขา แสดงว่าเฉลี่ยแล้ว โอ้กะจู๋ 1 สาขา สามารถสร้างยอดขายได้เกือบ 6 ล้านบาทต่อเดือน เลยทีเดียว..

แรกเริ่มเดิมที คุณอู๋ คุณโจ้ และคุณต้อง ไม่ได้ตั้งใจว่า จะให้ร้านคาเฟ่เล็กๆ ที่ขายสลัดผัก ในวันนั้น กลายมาเป็นบริษัทที่ขยายสาขา ขยายกิจการอย่างรวดเร็ว จนมีรายได้หลักหลายร้อยล้านบาท ในวันนี้ ซึ่งถ้าให้สรุปปัจจัยที่ทำให้เกิด ความสำเร็จที่เกินความคาดหมายนี้ ก็คงมาจากส่วนผสมหลักๆ 2 อย่างก็คือ ความกล้าที่จะทำตาม “ความฝัน” ของตัวเอง และการ “ลงมือทำ” อย่างไม่ย่อท้อและมีกลยุทธ์

-กรมพัฒนาธุรกิจการค้า