เห็นมา เขียนไป

เห็นมา เขียนไป วันที่ 25 มิถุนายน 2565

อยากคุยเรื่องลูกหลานเราเปลี่ยนไป แทบทุกครอบครัว และทั่วโลก :

(ศ.ดร.บุญเสริม บุญเจริญผล)

ลูกหลานเรา เขาเปลี่ยนไปแล้ว

เดี๋ยวนี้ เราสอนเราเตือนลูกหลานไม่ได้ผลแล้ว อาการเบาๆ เขาอาจฟังคำเรา ไม่เถียง แต่เขาไม่เชื่อ ที่แสบกว่านั้น เขาตอบว่า "รู้แล้ว รู้แล้ว" ผู้ใหญ่อย่างเราฟังแล้วตกใจ เปรียบเทียบกับสมัยเรายังหนุ่มสาว เมื่อผู้ใหญ่เตือน โดยทั่วไป เราตอบท่านว่า "ครับ" หรือ "ค่ะ" คือ ถ้ารู้แล้วก็ได้แน่ใจ ถ้ายังไม่รู้ ก็ได้รู้ ไม่มีใครตอบว่า "รู้แล้วๆๆ" อย่างในสมัยนี้ ยกเว้นครอบครัวที่ด้อยคุณภาพ

ผมขอถามพวกเราว่า มีครอบครัวใดบ้างที่ไม่ไดัยินลูกหลานตอบท่านว่า "รู้แล้วๆๆ" ผมว่าไม่มีสักครอบครัว ถ้าลูกหลานตั้งแต่อายุ 40 ปีลงมา เขาไม่เชื่อผู้ใหญ่กันแล้ว ยกเว้นคนที่เขาบูชา ซึ่งคนนั้นเรามักเห็นว่าเป็นคนเลว หรับผมไม่มีลูก มีแต่หลานจากน้องสาวน้องชายและญาติอื่นๆ ก็ยังได้ยินคำว่า "รู้แล้วๆ" อยู่บ้าง คุยกับลูกหลานสมัยนี้ไม่สนุกเลย กว่าจะเอ่ยถ้อยคำออกมาแต่ละประโยค ต้องกรองแล้วกรองอีกว่า เราพูดไปแล้ว เขาจะมีปฏิกริยาร้ายตอบเราอย่างไรบ้าง คุยกับคนสมัยใหม่ช่างเหนื่อยเสียจริง ถ้าไม่กลั่นกรองคำพูดให้ดี รับรองว่า ได้เสียใจ ยิ่งได้ยินพ่อแม่ของเขาบอกว่า เด็กสมัยนี้ เขารู้สึกอย่างไรก็พูดโพล่งไปทันที ไม่ต้องคิด ก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นอีก

ผิดกับตอนที่ผมเป็นอาจารย์ ม. เกษตรศาสตร์ นิสิตที่เรียนระดับมหาวิทยาลัยอยู่ในวัยหนุ่มสาว ผมสอนเรื่องชีวิต เรื่องสังคมให้เขาบ่อยๆ เขาตั้งใจฟังมาก ตั้งใจยิ่งกว่าเรียนวิชาการเสียอีก เช่น สอนว่า ถ้าไม่ให้ชีวิตวิบัติเรื่องการเงิน ก็ต้อง : "ไม่หุ้น ไม่กู้ ไม่ค้ำประกัน ไม่เล่นการพนัน ไม่คบคนชั่ว" เขาก็นำคำสอนไปใช้ในชีวิต และบอกผมว่า เขารอดภัยมาได้จากการทำตามคำสอนของผม ส่วนอาจารย์อื่นเขาไม่สอนเรื่องชีวิต เขาคิดว่าโตกันแล้ว ไม่ต้องสอนแล้ว ความจริงแล้วตรงข้ามเลย เป็นความเชื่อที่ผิด วัยหนุ่มสาวนี้แหละเขาเปิดหูฟัง อยากรู้เรื่องชีวิตมากๆ ผมไม่แน่ใจว่ายุคนี้จะเป็นอย่างที่ผมเล่าหรือไม่ เช่น ถ้าสอนเขาว่า อย่าเล่นบิทคอยน์ บิทคับ เขาคงเถียงว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว” ไม่ฟังเรา แล้วคิดในใจว่า "ไอ้โง่เอ๋ย... โลกเขาไปกันถึงไหนแล้ว"

ผมไม่ได้ยืนยันว่า คนโบราณรู้ดีกว่าคนสมัยใหม่ แต่ก็มีบางเรื่องที่คนอายุมากมีประสบการณ์มากกว่า เพราะว่าเคยเห็นเคยผิดพลาดมาแล้ว จึงเป็นห่วง แล้วทำไมเตือนกันไม่ได้ ผมเห็นว่า ความคิดของคนสมัยนี้ส่วนมาก เป็นดังกล่าวนี้ คงยังมีคนหนุ่มสาวอีกจำนวนหนึ่ง ไม่เป็นอย่างนี้

แล้วจิตใจของเขาเป็นอย่างไร เขาก็เป็นอย่างนี้

1.คิดตื้นชั้นเดียว ได้ฟังแล้ว ไม่ต้องคิดมาก เชื่อเลย ไม่เฉลียวใจว่า เรื่องนี้มีอะไรซ่อนเงื่อนอยบ้าง ฉะนั้นถ้าใครประดิษฐ์เรื่องให้ถูกใจ ก็เชื่อทันที

2. ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า ทำอย่างนี้ดี อย่างนี้ไม่ดี เช่น หญิงสาวเดินเปิดสะดือโชว์ ก็ไม่ต้องคิดว่า ควรหรือไม่ควร คิดเพียงว่า ทำเพราะว่าอยากทำ และทุกคนมีอิสรภาพที่จะทำอย่างไรก็ได้ ขนบธรรมเนียม แม้กฎหมาย ไม่สำคัญเท่าความคิดของตน

3. ผลปัจจุบัน สำคัญกว่าผลในอนาคต คนสมัยนี้จึงไม่สนใจความยั่งยืน เลือกอาชีพที่รายได้ มาก ไม่ต้องมั่นคงก็ได้ มีคู่ครองก็คิดอยู่กันชั่วคราว ถ้าไม่พอใจก็เลิกกันไป จะซื้อของก็ไม่ต้องคิดว่า จะใช้ได้ทนหรือไม่ เอาสวยไว้ก่อน เมื่อเสียแล้ว จะมีอะไหล่ซ่อมได่หรือไม่ ไม่ต้องคิด

4.ไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา มีตัวเองคนเดียวก็พอ ไม่ต้องมีเพื่อนแท้ เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง โลกนี้มีเขาเพียงคนเดียว อยู่ได้คนเดียว วันๆนั่งหน้างอ ไม่ยิ้ม ไม่พูดกับใคร ไม่ปรึกษาใคร เมื่อชีวิตผิดหวัง ก็ซึมเศร้า และฆ่าตัวตาย

ฉะนั้นเราต้องทราบเรื่องของคนยุคใหม่ จะได้ทำใจถูก พูดได้ถูก และ ไม่ต้องหวังว่า จะฝากอนาคตประเทศชาติไว้กับพวกเขา เพราะว่า เขาไม่มีชาติ ไม่มีประเทศ ไม่มีศาสนา ไม่ต้องการกฎหมาย ไม่ต้องการประเพณี มีแต่เขาคนเดียวในโลกของเขา

ท่านผู้ใด มีลูกหลานผิดจากที่ผมกล่าว จงดีใจเถิดว่า เทวดามาเกิดในตระกูลของท่าน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาเป็นคน “รู้แล้วรู้แล้ว”

การเกิดผลอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง เกิดจากหลายสาเหตุ โรครู้แล้วรู้แล้ว ก็เกิดจากหลายสาเหตุ สาเหตุที่สำคัญที่หลายท่านช่วยกันหามา มีดังนี้

1. สื่อโซเชียล ทำให้เขาติดต่อกับคนเสมือนจริง ไม่มีตัวตนให้เห็น แต่ติดต่อสื่อสารกันได้ ทำให้เขาไม่ต้องการติดต่อคบหากับใคร เขามีเพื่อนในอากาศอยู่มากมายแล้ว เขาจึงอยู่กับโทรศัพท์ได้นาน โดยไม่สนใจผู้ใด บุคลิกกลายเป็นคนเฉย หน้าเงียบหน้างอ ไม่สนใจใคร ไม่อยากพูดกับใคร นั่งกดโทรศัพท์ไปเรื่อยๆก็เป็นการพูดคุยแล้ว ถ้ามีใครมาถามอะไรเขา เขาจะหงุดหงิดใส่ทันที เพราะว่า ทำให้เข้าเสียเวลาต้องออกจากโลกโซเชียลมาคุยกับคนที่เขาไม่ได้ให้ค่า

ประการสำคัญ เขารู้เรื่องวิธีการใช้โทรศัพท์ดีกว่าผู้ใหญ่มาก ผู้ใหญ่มักต้องพึ่งเขาในการใช้โทรศัพท์ ก็ยิ่งทำให้เขาคิดว่า ผู้ใหญ่โง่กว่าเขามาก ถ้าฉลาดกว่าเขาก็ไม่ควรถามเขา เขาจึงไม่ให้ค่าผู้ใหญ่

2. การเคลื่อนตัวของจักรวาล คือ โลก ดวงดาวที่อยู่รอบๆทั่วจักรวาล ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ทั้งหลาย เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆในอวกาศที่ว่าง ทำให้พลังจักรวาลที่ออกมาจากดวงดาวเหล่านี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ พลังจักรวาลมีผลต่อจิตใจและ DNA ของมนุษย์และสัตว์ นิสัยและความคิดของคนจึงเปลี่ย่นไปจากเดิมเด้วยอำนาจของพลังจักรวาลที่เปลี่ยนไป

3. ในแง่ของศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนา มีกฎแห่งกรรมเป็นคำอธิบาย มนุษย์มีใจบาป ทำลายคนและสัตว์มากมายมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะการฆ่าสัตว์ และ กินสัตว์เป็นอาหาร ศาสนาพุทธ-คริสต์-อิสลาม ที่เคยห้ามคนฆ่าสัตว์ ห้ามกินเนื้อสัตว์ ก็อลุ่มอล่วยให้กินเนื้อสัตว์ได้ แต่อย่าฆ่า หรือฆ่าได้เพื่อเป็นอาหาร การก่อเวรเช่นนี้ ผลแห่งบาปทำให้มนุษย์อยู่กันอย่างไม่มีความสุข และสัตว์ที่มนุษย์ฆ่าหรือกิน อาจมาเกิดเป็นลูกหลานเพื่อทวงหนี้กรรมบาปก็เป็นไปได้ โดยทำให้พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ไม่สบายใจ

4. สังคมรอบตัวมีแต่ความรีบเร่ง ไม่มีเวลาที่จะทำชีวิตให้ประณีต คนหนุ่มสาวไม่มีเวลาเอาใจผู้ใหญ่ ไม่มีเวลาที่จะทำความดีให้ใคร เพราะว่าเวลารัดตัวเหลือเกิน การพูดจาไม่ต้องสุภาพ ไม่มีเวลาจะปั้นคำสุภาพ ไม่มีเวลาจะพูดจะทำตามสมบัติผู้ดี ไมมีเวลาจะนึกถึงความทุกข์ของใคร เพ ราะว่าตัวเองก็เดือดร้อนมากแล้ว ฯลฯ

เพียง 4 สาเหตุนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกหลานเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นคน “รู้แล้ว รู้แล้ว” ถ้าเราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับเขา เราก็ต้องทำใจว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะว่ามันมีเหตุให้เป็นไป” และท่านต้องยอมเสียเวลากลั่นกรองคำพูดที่จะพูดกับเขาให้เหมาะสมที่เขาจะไม่ตอบท่านว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว” ท่านจะได้ไม่ต้องช้ำใจน้ำตาตกใน ไม่ต้องเสียใจในความรักที่มอบให้เขา โดยที่เขาไม่ต้องการเลยสักนิดเดียว

ขอให้ท่านโชคดี ที่ผมเขียนมานี้ ท่านคง”รู้แล้ว รู้แล้ว” เพราะว่าโดนมามากแล้วใช่ไหม? …..บุญ ไท…