กระบวนการทางอาญาและทางแพ่งในสหรัฐอเมริกา ตอนที่ 5

กระบวนการทางแพ่ง Civil Procedure

คดีความทางแพ่งเป็นคดีข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน เอกชนในที่นี้หมายถึง บุคคลธรรมดา องค์กรธุรกิจหรือหน่วยงานของรัฐที่ฟ้องร้องกัน ผลลัพธ์ในคดีแพ่งจะเป็นเงินที่ฝ่ายหนึ่งชดใช้ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง หรือเป็นการเรียกร้องให้กระทำหรือละเว้นการกระทำบางอย่าง ในคดีแพ่ง จะไม่มีโทษทางอาญาเข้ามาเกี่ยวข้อง ตัวอย่างของคดีแพ่งก็มี การฟ้องเรื่องการเป็นผู้ปกครองเด็ก (child custody) การเรียกร้องเงินค่าเลี้ยงดูบุตร (child support) การหย่าร้าง (divorce) การทำผิดสัญญา (contract violation) การหมิ่นประมาท (libel or defamation) การบาดเจ็บส่วนบุคคล (personal injury) การเสียหายของทรัพย์สิน (property damage) การล่วงเกินทางเพศ (sexual harassment) การฟ้องขับไล่ผู้เช่า (eviction of a tenant) เป็นต้น

ขั้นตอนทางแพ่งของอเมริกาจะแยกออกเป็นขั้นตอนของระบบเฟดเดอรัล (รัฐบาลกลาง) และระบบของแต่ละรัฐ สำหรับระบบเฟดเดอรัลคู่กรณีจะต้องอยู่ต่างรัฐกันและค่าเสียหายที่ฟ้องร้องนั้นสูงกว่า $75,000 แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายเป็นพลเมืองสหรัฐ อาจจะดำเนินคดีในศาลแพ่งของรัฐที่คู่กรณีตกลงกันได้โดยที่ไม่ต้องขึ้นศาลเฟดเดอรัล คดีแพ่งในศาลเฟดเดอรัลมักจะมีน้อยกว่าในระบบศาลของรัฐ จึงมีโอกาสได้รับฟังคดีเร็วกว่า

เมื่อคุณเชื่อว่าคุณได้รับบาดเจ็บหรือเป็นผู้ถูกกระทำอย่างไม่ถูกต้องโดยใครสักคน หรือโดยบริษัท องค์กรหรือแม้แต่รัฐบาล และคุณคิดว่าคุณควรได้รับค่าตอบแทนหรือค่าเสียหายต่อสิ่งที่เกิดขึ้น คุณสามารถทำเรื่องยื่นต่อศาลเพื่อที่จะได้รับเงินค่าชดใช้ต่อสิ่งเหล่านั้น คุณจะต้องดูว่าจะต้องยื่นเรื่องนั้นกับศาลใดซึ่งจะต้องพิจารณาจากสถานที่ที่คุณอยู่และจำนวนเงินที่เรียกร้อง เช่น

- คดีมโนสาเร่ (small claims) วงเงินไม่เกิน $5,000 หรือ $7,500 แล้วแต่คดี บางครั้งศาลอาจอนุญาตให้ถึง $10,000 ในบางคดี คุณสามารถยื่นเรื่องด้วยตนเองที่ศาลแพ่งโดยไม่ต้องใช้ทนายความ มักจะมีศูนย์ช่วยเหลือตนเอง (self-help center) ที่จะให้ความช่วยเหลือและตอบคำถามต่างๆ ตัวอย่างคดีนี้ก็มี การทวงหนี้จากเพื่อนที่ไม่ยอมจ่าย มีคนมา เฉี่ยวรถคุณแล้วไม่ยอมจ่ายค่าซ่อม ทีวีที่ซื้อมาใหม่ใช้งานไม่ได้แต่ทางร้านไม่ยอมเปลี่ยนให้ คนเช่าบ้านทำบ้านที่ให้เช่าเสียหายเกินเงินที่วางมัดจำเป็นค่าประกัน เป็นต้น คดีมโนสาเร่ใน รัฐส่วนใหญ่ของอเมริกาจะไม่ให้ทนายความขึ้นว่าความให้คุณ แต่คุณสามารถปรึกษาทนายความได้ ถ้าคุณมีทนายความ ทนายอาจจะนั่งฟังคุณให้การต่อทางศาลเท่านั้น และคุณสามารถจ้างล่ามไปช่วยแปลให้คุณตอนให้การได้

- คดีแพ่งแบบจำกัดวงเงิน (limited civil case) วงเงินไม่เกิน $25,000

- คดีแพ่งแบบไม่จำกัดวงเงิน (unlimited civil case) วงเงินตั้งแต่ $25,000 ขึ้นไป

ผู้ที่ยื่นเรื่องฟ้องเรียกว่า โจทก์ (plaintiff) ส่วนผู้ที่ถูกฟ้องเรียกว่า จำเลย (defendant) คุณสามารถว่าจ้างทนายความให้ช่วยเหลือคุณหรือคุณจะเป็นทนายความให้กับตัวเองก็ได้ซึ่งเรียกว่า การว่าความด้วยตนเอง หรือภาษาละตินเรียก pro se หรือ pro per

การฟ้องร้องจะเริ่มขึ้นเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยื่นเรื่องฟ้อง โจทก์จะต้องส่งหมายเรียก (summons) ให้กับทางศาลและส่งให้กับฝ่ายจำเลย จะต้องมีมูลทางกฎหมายว่าทำไมจึงต้องฟ้องจำเลย แล้วต้องยื่นเรื่องฟ้องกับศาลแพ่งที่มีอำนาจในการรับฟังคดีนั้น หลังจากนั้นโจทก์จะต้องเตรียมคำคู่ความ (pleading) และคำร้องต่อศาล (motion) คำคู่ความในคดีแพ่งคือข้อกล่าวหาต่างๆ ในขั้นต้น (initial allegations) พร้อมกับการตอบกลับของฝ่ายจำเลย (defendant's responses) ต่อข้อกล่าวหานั้น ศาลมักจะนัดทั้งสองฝ่ายมาประชุมเจรากัน (pre-trial conference) เพื่อทบทวนคำคู่ความและรายละเอียดบางอย่างก่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันพิจารณาคดี (trial)

แต่ก่อนที่คดีจะเริ่มดำเนินไปได้นั้น ศาลต้องตัดสินเสียก่อนว่าโจทก์มีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ และศาลยังต้องตัดสินใจก่อนการพิจารณาคดีว่าสามารถหรือสมควรที่จะได้รับการรับฟังคดีในระดับศาลหรือไม่

คู่กรณีจะต้องเตรียมสู้คดีโดยใช้ข้อมูลที่ได้รวบรวมมาจากการขั้นตอนจัดเตรียมค้นหาข้อมูล (process of discovery) ซึ่งจะได้มาจาการการสืบปากคำพยาน (deposition) หรือการถามข้อมูลจากอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลายลักษณ์อักษร (interrogatory)

การสืบปากคำพยานหรือการให้การเป็นพยานในคดีแพ่ง หรือที่เรียกกันว่า deposition นั้นเป็นการให้ปากคำของพยานนอกศาลโดยมีผู้บันทึกรายงานศาล (court reporter) เป็นผู้จดบันทึกทุกคำพูดของทุกฝ่าย ผู้ให้การจะต้องสาบานตนว่าจะให้การเป็นความจริงราวกับว่ากำลังให้การในศาล เป็นขั้นตอนที่ใช้บ่อยมากในคดีแพ่งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา (ส่วนในประเทศอื่นมักจะให้พยานให้การในขั้นศาล และจะใช้คำให้การทางลายลักษณ์อักษรภายใต้คำสาบานหรือที่เรียกว่า affidavit แทน) คดีส่วนใหญ่จะจบลงโดยการเจรจาตกลงกันโดยทั้งสองฝ่ายก่อนที่จะถึงขั้นศาล และขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่พยานจะต้องให้ปากคำทางวาจา พยานที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีจำเป็นจะต้องใช้ล่ามในขั้นตอนนี้

ฉันได้เป็นล่ามใน deposition ให้กับคนไทยจำนวนนับร้อยในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ในคดีที่หลากหลายมาก ตั้งแต่คดีฟ้องร้องค่าบาดเจ็บจากบริษัทประกัน คดีฟ้องร้องนายจ้าง คดีฟ้องร้องหย่าของพวกเศรษฐี จนถึงคดีละเมิดสิทธิบัตรของบริษัทไฮเทคยักษ์ใหญ่หลายบริษัทที่ตั้งอยู่ในเขตซิลลิคอนแวลี่

จุดประสงค์ของ deposition คือเพื่อที่จะสืบสวนหาข้อเท็จจริง ในขั้นตอน discovery รวมทั้งประวัติความเป็นมาของผู้ให้ปากคำเป็นพยาน (deponent) ขั้นตอนนี้สามารถใช้เพื่อวัดดูความน่าเชื่อถือและท่าทีของผู้ให้ปากคำ ในคดีแพ่งที่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนนี้ คุณควรว่าจ้างให้ทนายความทำเรื่องให้ เพราะทนายความเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะช่วยคุณในขั้นตอนนี้ได้

ผู้ที่อยู่ใน deposition ก็มีผู้ให้ปากคำเป็นพยาน (deponent) ทนายความของผู้ให้ปากคำ (deponent's attorney) ทนายความของฝ่ายตรงกันข้าม (opposing attorney) ผู้บันทึกรายงานศาล (court reporter) ในกรณีที่ผู้ให้ปากคำเป็นพยานพูดภาษาอังกฤษไม่ดีพอ ก็จะมีล่าม (interpreter) มาด้วย (ทนายความที่เป็นผู้ถามคำถามในวันนั้นจะเป็นผู้จ้างล่ามและผู้บันทึกรายงานศาล) บางครั้งก็มีโจทก์ (plaintiff) มานั่งฟังด้วย ในคดีใหญ่ๆ อาจมีทนายความของผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีนั้นมานั่งฟังด้วยนับสิบคน

ทนายของฝ่ายโจทก์มักจะถามคำถามเพื่อดึงเอาข้อมูลจากผู้ให้ปากคำเป็นพยานให้ได้มากที่สุด ยิ่งพยานพูดมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นเท่านั้น คำถามต่างๆ อาจจะนำไปสู่การค้นพบข้อมูลบางอย่างที่อาจถูกนำมาใช้ในการพิจารณาคดีได้ พยานที่ให้ปากคำจะต้องตอบคำถามทุกข้อด้วยความเป็นจริง มิฉะนั้นแล้วจะถือว่าเป็นการให้การเท็จ ยกเว้นบางคำถามที่ทนายความฝ่ายพยานคัดค้านและไม่ให้ตอบคำถามนั้น แต่บางคำถามก็เพียงแต่คัดค้านเพื่อให้ผู้รายงานศาลบันทึกไว้ว่าตนคัดค้านด้วยเหตุผลใด แต่จะอนุญาตให้พยานสามารถตอบได้ ทนายความของอีกฝ่ายอาจต้องถามใหม่หรือต้องถกเถียงกับทนายความที่คัดค้านว่าทำไมตนจึงจำเป็นต้องถามคำถามนั้น

ถ้าคุณเป็นคู่กรณีในคดีแพ่งในอเมริกา คุณมีโอกาสที่จะถูกเรียกตัวไปให้การเป็นพยานใน deposition ซึ่งอาจมีผลต่อคดีในขั้นศาล ดังนั้นคุณควรทราบว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง สิ่งเบื้องต้นที่คุณควรทราบคือ

- ควรแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย อย่าแต่งตัว แต่งหน้ามากเกินไป

- เมื่อเหนื่อยหรือเพลียจากการตอบคำถามหรือนั่งนานๆ สามารถขอพักได้

- ตั้งใจฟัง คิดให้ดีก่อนตอบคำถาม ทุกคำถามถือว่าสำคัญต่อคดีของคุณ

- ให้ตอบตามความเป็นจริง ถ้าคุณถูกจับได้ว่าโกหก จะมีปัญหาตามมา

- ตอบคำถามให้ชัดเจน สั้นๆ และตรงประเด็น ถ้าไม่รู้ให้ตอบว่าไม่รู้ ถ้าจำไม่ได้ก็ตอบว่าจำไม่ได้ แต่ถ้ากะประมาณได้ ก็ให้กะประมาณให้ใกล้เคียงกับความทรงจำของคุณที่สุด แต่อย่าเดาหรือตอบแบบมั่วๆ เด็ดขาด

- อย่าตอบคำถามที่คุณไม่เข้าใจ หรือคำถามที่ซับซ้อนเกินไป คุณสามารถขอให้ทนายถามใหม่ได้

- อย่าให้ข้อมูลที่เขาไม่ได้ถาม อย่าไปเสนอว่าควรไปหาข้อมูลที่ไหนกับใคร

- อย่าเถียงทนาย

- อย่าพูดคุยเรื่องคดีกับใครในช่วงพัก ยกเว้นกับทนายความของคุณ อย่าชวนล่ามคุย ยกเว้นทักทายกันธรรมดา

- อย่าพยายามจำคำตอบมากเกินไปเพราะอาจทำให้สับสน การเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้าอาจไม่ตรงกับคำถาม ต้องตอบให้ตรงคำถามตามสถานการณ์

- ถ้าถูกถามว่าได้พูดคุยกับทนายความมาก่อนหรือไม่ ก็ให้ยอมรับตามนั้น แต่ไม่ต้องบอกว่าพูดอะไรกับทนายของคุณ ถ้าถูกถามว่า "ทนายของคุณให้คุณตอบว่าอย่างไร" ก็ให้ตอบว่า "ทนายของผม บอกให้ผมพูดความจริง" .

- ในช่วงเวลาที่เงียบอยู่นั้น อย่าพูดอะไรเพิ่มเติม ไม่ต้องอาสาที่จะให้ข้อมูล ถึงแม้คุณมีอะไรหลายอย่างที่อัดอั้นอยากจะพูดก็ตาม

- ให้ใช้ภาษาที่เป็นกลางที่สุภาพ อย่าใช้ภาษาในเชิงเหยียดผิว เชื้อชาติ ประเทศที่มา หรือคำหยาบ ลามก

- บางทีทนายอาจถามคำถามซ้ำ ก็ไม่ต้องประหลาดใจ เขาอาจจะลืมหรือลองทดสอบ ดูว่าคุณจะตอบเหมือนเดิมหรือไม่

- อย่าแสดงอารมณ์โกรธ ความไม่สุภาพ อากัปกริยาเชิงลบ แสดงอาการเบื่อหน่าย หรือเหนื่อยล้า

หลังจากได้ข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ แล้ว ทนายความของคู่กรณีก็จะทำการเจรจาตกลงกัน (settlement) ถ้าไม่สามารถกลงกันได้ ฝ่ายโจทก์สามารถขอให้มีการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน แต่คดีแพ่งน้อยนักที่จะถึงขั้นนี้ ต้องดูที่จำนวนเงินที่ฟ้องร้องกันเพราะการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุนนั้นมีค่าใช้จ่ายที่แพงมาก ถ้าวงเงินต่ำ (เช่น จำนวนเพียง $10,000) คดีนั้นก็จะได้รับการพิจารณาคดีโดยผู้พิพากษา แต่ในศาลระดับเฟดเดอรัล ทั้งสองฝ่ายมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะขอให้มีการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน ซึ่งขั้นตอนการคัดเลือกลูกขุนจะเหมือนกันกับในคดีอาญาเกือบทั้งหมด แต่จำนวนลูกขุนอาจจะมีต่ำสุดเพียงห้าคนหรือสูงสุด 12 คนแล้วแต่ศาลและคดี ในศาลเฟดเดอรัลลูกขุนทั้ง 12 ต้องเห็นพ้องต้องกันว่าจะให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้หรือชนะ แต่ในบางศาลอาจจะใช้เสียงข้างมากในการตัดสิน เช่น 9 ต่อ 12

ถ้าจำเลยไม่มาสู้คดีในศาล ฝ่ายโจทก์ก็จะได้รับการตัดสินให้ชนะคดีโดยอัตโนมัติ (default judgment) ในคดีแพ่งจำเลยสามารถฟ้องแย้งหรือฟ้องกลับในคดีเดียวกันได้ (counterclaim) ถ้ามีหลักฐานพยานเพียงพอ

เมื่อศาลตัดสินหรือคณะลูกขุนให้คำพิพากษาแล้ว ฝ่ายที่แพ้จะอาจต้องจ่ายค่าเสียหายทดแทน จ่ายค่าทนายความ ค่าล่ามให้กับฝ่ายที่ชนะ ฝ่ายที่ชนะอาจจะสามารถยึดทรัพย์สินของฝ่ายที่แพ้ได้ หรือขอให้ศาลออกคำสั่งยึดเอาเงินค่าแรงของฝ่ายที่แพ้ในกรณีที่ไม่มีทรัพย์สิน ถ้าคณะลูกขุนไม่สามารถตัดสินได้หรือคณะลูกขุนให้ค่าชดเชยกับทางโจทก์มากเกินไปหรือน้อยเกินไป อาจจะต้องทำการพิจารณาคดีใหม่ ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายสามารถอุทธรณ์ได้ ซึ่งก็จะเป็นไปตามขั้นตอนที่กล่าวไว้ในบทที่ 3


การระงับข้อพิพาท (Alternative Dispute Resolution หรือ ADR) โดยการไกล่เกลี่ย (Mediation) และการอนุญาโตตุลาการ (Arbitration)

คู่ความสามารถเลือกวิธีระงับข้อพิพาทของตนได้ด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหรือโดยการอาศัยอนุญาโตตุลาการ

การระงับข้อพิพาทเป็นกระบวนการที่มีบุคคลภายนอกที่เป็นกลาง หรือ “ผู้ไกล่เกลี่ย” (mediator) หรือ อนุญาโตตุลาการ (arbitrator) ที่ทั้งสองฝ่ายเลือกมาหรือในบางครั้งศาลจะเป็นผู้แต่งตั้งให้เพื่อมาไกล่เกลี่ยและประนีประนอมยอมข้อพิพาทระหว่างคู่ความทั้งสอง ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นกระบวนการระงับข้อพิพาทอย่างสันติที่มีลักษณะไม่เป็นทางการ โดยมีวัตถุประสงค์ในการช่วยให้คู่ความหาทางออกที่เป็นที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย โดยจะจัดทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันด้วยความสมัครใจ

การไกล่เกลี่ยโดยทั่วไปจะใช้ผู้ไกล่เกลี่ยเพียงคนเดียว และผู้ไกล่เกลี่ยจะไม่ทำการตัดสินคดีแต่จะช่วยเจรจาผ่อนหนักเป็นเบา ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายหาข้อสรุปในข้อขัดแย้งนั้น ส่วนการอนุญาโตตุลาการมักจะมีคณะของอนุญาโตตุลาการซึ่งจะทำหน้าที่ในการตัดสิน (อนุญาโตตุลาการเคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน) ซึ่งจะตัดสินจากหลักฐานพยานและจะเขียนความคิดเห็นของตนลงในการตัดสิน (ซึ่งคู่กรณีจะปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้) ถึงแม้ว่าการอนุญาโตตุลาการมักจะมีอนุญาโตตุลาการเพียงคนเดียว แต่ในทางปฏิบัติแล้ว แต่ละฝ่ายจะเป็นคนเลือกอนุญาโตตุลาการของใครของมัน แล้วจะให้อนุญาโตตุลาการทั้งสองคนนั้นเป็นคนเลือกอนุญาโตตุลาการคนที่สามอีกคนหนึ่ง แล้วทั้งสามคนจะเป็นผู้ตัดสิน ผลของการตัดสินจะมาจากเสียงข้างมาก

ในกระบวนการระงับข้อพิพาทนี้ คู่พิพาทจะต้องส่งประเด็นข้อพิพาทที่มีระหว่างกันไปยังบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาด้วยความยินยอมของคู่กรณีหรือตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ขั้นตอนนี้มีขึ้นเพื่อลดจำนวนข้อพิพาทที่นำขึ้นสู่ศาล ประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในกระบวนการพิจารณาคดีในขั้นศาลศาล

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการหรือค่าธรรมเนียมของผู้ไกล่เกลี่ยและของอนุญาโตตุลาการตั้งอยู่บนความสมเหตุสมผล ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนเงินในข้อพิพาท

.................

กระบวนการทางกฎหมายมีขั้นตอนต่างๆ ที่ยุ่งยากซับซ้อน บทนี้เป็นเพียงขั้นตอนเพียงคร่าวๆ ที่ฉันได้เรียบเรียงให้ผู้อ่านทราบเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายเท่านั้น ผู้อ่านคงได้เห็นภาพกว้างๆ ของกระบวนการทางอาญาและทางแพ่งในอเมริกาพอสมควรและสามารถนำไปใช้อ้างอิงหรือศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้



อ่านต่อตอนหน้า