เรื่องเล่าจากล่าม 24 กันยายน 2559

ตอนเรียนม. 5 หรือ ม. 6 ฉันไม่แน่ใจ ฉันได้รู้จักชุมนุมภาษาญี่ปุ่นจากดพื่อนสนิทคนหนึ่ง เขาไปเข้าชุมนุมนี้หนึ่งปีแล้วและเขียนตัวหนังสือญี่ปุ่นได้เกือบหมด ฉันตื่นเต้นมากที่ได้รู้ว่าจะมีโอกาสได้เรียนภาษที่สาม พอถึงเวลาเลือกชุมนุมในปีนั้นฉันก็ไม่รอช้า รีบไปเข้าแถวสมัครเป็นคนแรกๆ เลย ฉันได้ทำความรู้จักและเรียนการเขียนตัวคาตากานะและฮิรางานะครบทุกตัวและจำได้หมด คุณครูได้เปรยๆ ถึงตัวคันจิและยกตัวอย่างให้ดูไม่กี่คำ คำที่ฉันยังจำได้จนทุกวันนี้คือคำว่า จิน แปลว่าคน ที่มีรูปคล้ายขาสองข้างเดินอยู่ น่าเสียดายที่ความรู้ที่มีอยู่ตอนนั้นมันน้อยมากจนไม่สามารถศึกษาต่อด้วยตนเองได้ แต่ฉันก็พยายามแล้ว

ตอนเรียนมัธยมปลายฉันใช้เงินเก่งมาก ใช้เงินเกินตัว ฉันมักจะขอเงินแม่ไปซื้อหนังเตรียมสอบ ซึ่งฉันก็ซื้อจริงๆ แต่ไม่ได้ซื้อทั้งหมด ฉันมักจะกันเงินส่วนหนึ่งไว้ซื้อของที่ฉันอยากได้ เช่น รองเท้าทาทายัง กางเกงทาทายัง เสื้อทาทายัง เพราะฉันชอบทาทายังเป็นชีวิตจิตใจ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันขอเงินแม่ไปตัดแว่นเพราะฉันแค่อยากใส่แว่น ฉันคิดว่าวันเท่ห์ดี จริงๆ สายตาฉันก็สั้นแต่สายตาไม่ได้สั้นเท่าความคิดฉัน ฉันแค่คิดว่าฉันอยากได้ ฉันจึงขอแม่ และแม่ก็ให้ ฉันมีเงินในมือ 1600 บาท ตัดแว่นไป 1200 นอกนั้นฉันซื้อหนังสือหมดเลย ฉันกลับมาบ้าน แม่ถามว่าเหลือเงินเท่าไหร่ ฉันบอกไปตามตรงว่าหมดแล้ว แม่ท้อใจมากที่ฉันเป็นคนใช้เงินเกินตัว ให้เท่าไหร่ก็หมด ฉันก็เสียใจที่ทำไปแบบนั้น แต่มันก็สายเกินไป เราทำอะไรไม่ได้

ในวันเสาร์-อาทิตย์ เด็กรุ่นเดียวกับฉัน แม้แต่น้องๆ ของฉันเอง ต้องไปช่วยพ่อแม่ทำงานในไร่ในนาแต่ด้วยความขี้เกียจฉันจะทำทุกทางเพื่อหลบเลี่ยงงาน ฉันจะอ้างกับแม่ว่าฉันต้องทำรายงานและอ่านหนังสือ แต่พอแม่ไปพ้นบ้านฉันก็เปิดเพลงฟัง ยายมักจะมาแอบดูฉัน และบ่นว่าฉันทำไมถึงต้องเปิดเพลงทำการบ้าน ทำจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ การบ้านอะไรทำไมเยอะแยะเกินคนอื่นๆ เขา คนอื่นเขาไปทำงานกันแต่ตัวเองอ้างแต่เรื่องเรียน

ความจริงฉันก็ละอายแก่ใจในการกระทำของตัวเองนะ แต่ความละอายมันมีน้อยกว่าความเห็นแก่ตัว และอีกอย่างฉันถือว่าฉันเรียนเก่งกว่าน้องๆ และถ้าฉันเรียนจบมีงานดีๆ ทำฉันก็จะดูแลพ่อแม่และช่วยเหลือน้องๆ ได้

ฉันสอบติดโควต้ามหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาวิชาสารสนเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ หลังจากที่สอบติดโควต้าฉันก็ไม่ตั้งใจเรียนอีกเลย ฉันตั้งใจเฉพาะวิชาที่ตัวเองชอบ นั่นก็คือภาษาอังกฤษ ฉันเหลวไหลจนกระทั่งครูที่สอนวิชาคณิตศาสตร์เกิดความเอือมระอาปล่อยให้ฉันติดศูนย์ในเทอมสุดท้ายของการเรียน ฉันเข้าใจว่าที่ฉันสอบผ่านวิชาคณิตศาสตร์มาทุกครั้งนั้นเป็นเพราะครูทุกท่านรู้ว่าฉันเป็นเด็กดีตั้งใจเรียนจึงให้คะแนนจิตพิสัยหรือที่พวกเราเรียกกันว่าคะแนนจิตพิศวาส คือท่านสงสารและเห็นความตั้งใจจึงได้ผ่านมาทุกเทอมแต่พอมาเทอมสุดท้ายท่านคงอยากดัดสันดานฉันที่เหลวไหลมากไปจึงให้คะแนนตามจริง ฉันจึงสอบตกเป็นครั้งแรกในชีวิตและเป็นเทอมสุดท้ายของการเรียน

การเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นไปตามที่ฉันเคยใฝ่ฝันเอาไว้ ว่ามันจะสนุกสนานเหมือนกับที่ฉันเคยอ่านในหนังสือเล่มหนึ่งที่เล่าประสบการณ์ของชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัย ฉันเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องทุกเย็น แม้กระทั่งวันเสาร์-อาทิตย์ ถ้ารุ่นพี่บอกให้ไปเข้าชุมนุมฉันก็ไป เพราะฉันกลัวคำขู่ของพวกเขา มีอยู่ครั้งหนึ่ง น้าของฉันจะไปรับฉันไปนั่งเฮลิค๊อปเตอร์เล่นเพราะท่านขับเครื่องบินทำฝนหลวงในโครงการของในหลวง ฉันปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่ารุ่นพี่ให้เข้าไปชุมนุม ไปกับท่านไม่ได้ ท่านพูดแสดงความแปลกใจว่าทำไมถึงต้องจริงจังขนาดนั้น แค่รุ่นพี่ให้เข้าคลาสชุมนุมจะขาดไม่ได้เชียวหรือ แต่ฉันเลือกที่จะไม่ขาดเพราะไม่อยากให้เพื่อนๆ ถูกลงโทษตามคำขู่ของรุ่นพี่

ผลการเรียนในปีหนึ่งของฉันดีกว่าที่ฉันเคยทำได้ในตอนเรียนมัธยมเยอะมากเพราะฉันได้เรียนแต่วิชาพื้นฐานและแน่นอนไม่มีวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ฉันพอใจมาก แต่พอขึ้นปีที่สอง ฉันเรียนไปก็หวั่นๆใจไปว่าฉันอาจจะต้องเป็นบรรณารักษ์อย่างที่ฉันเคยกลัวแน่ๆเพราะฉันเริ่มได้เรียนวิชาเฉพาะที่เกี่ยวกับห้องสมุด ฉันไม่ชอบการเป็นบรรณารักษ์เพราะภาพของบรรณารักษ์ที่ผุดขึ้นมาในหัวทุกครั้งที่นึกถึงก็คือภาพหญิงวัยกลางคน แต่งตัวเชยๆ ใส่แว่นหนาๆ นั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด พอมีใครทำเสียงดังก็จะก้มหน้า ลดแว่นลงแล้วมองหน้าด้วยสายตาดุๆ ทั้งที่ในความจริงแล้วมันไม่ใช่เลยสักอย่าง ล่ามอย่างฉันแต่งตัวเชยและใส่แว่นหนากว่าบรรณารักษ์หลายคนเลย

ตอนเรียนปีสองเทอมแรก ในขณะที่เพื่อนๆ ไปเลือกเรียนวิชาเลือกด้านการสื่อสาร ฉันเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่น ทุกคนในห้องยกเว้นฉันเป็นรุ่นพี่ปีสามจากเอกภาษาอังกฤษ ฉันสนุกกับการเรียนวิชานี้พอสมควรทั้งๆที่แทบจะไม่มีใครคุยด้วยเลยยกเว้นเวลาที่ต้องจับคู่สนทนา โชคดีที่ฉันเป็นคนไม่ติดกลุ่มติดเพื่อนสักเท่าไหร่ จึงเรียนไปได้สบายๆ จนเกือบจบคอร์ส

สำหรับวิชาภาษาอังกฤษฉันยังทำคะแนนได้ดีตลอด ไม่ว่าจะเป็นวิชาบังคับหรือวิชาบังคับเลือก วันหนึ่งหลังจากสอบกลางภาคเสร็จ อาจารย์เรียกชื่อฉันให้ออกไปยืนหน้าห้องกับท่านและมีเพื่อนจากเอกภาษาอังกฤษสองคน ท่านประกาศว่าฉันสอบได้คะแนนกลางภาคเยอะที่สุด คะแนนเต็ม 100 ฉันทำได้ 98 ส่วนเพื่อนอีกสองคนก็ได้ที่รองจากฉันไป ท่านให้รางวัลเป็นการ์ดกับตุ๊กตาหมีโคอาล่าที่ท่านซื้อมาจากออสเตรเลียตอนท่านไปเรียนต่อ

ความไม่แน่ใจในอนาคตทำให้ฉันตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยหมาสารคาม ก่อนที่จะออกฉันมีเรื่องผิดใจเล็กน้อยกับเพื่อนๆเกิดขึ้นและมันก็มีผลทำให้ฉันตัดสินใจง่ายขึ้นมาบ้างเหมือนกัน แต่เหตุผลหลักๆ คือฉันไม่ชอบสาขาวิชาที่เรียน และความสบายเกินเหตุ ตอนนั้นฉันกู้ทุนรัฐบาลเรียน ฉันมีเวลาว่างหลังเลิกเรียนเยอะแยะแต่ไม่สามารถสร้างประโยชน์ใดๆได้ ฉันอยากหางานพิเศษทำแต่ก็ไม่มีงานเพราะรุ่นของฉันเป็นรุ่นแรกที่ได้เข้าไปเรียนที่วิทยาเขตขามเรียงหรือที่พวกเราเรียกกันติดปากว่า 'มอใหม่' และได้อยู่หอใน ความเจริญยังไปไม่ถึง รอบๆ มีแต่เพิงร้านอาหารที่เพิ่งสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับนักศึกษา หลังจากย้ายออกจากหอในฉันกับเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ก็ออกมาเช่าหอพักที่อยู่ใกล้กับมอใหม่ด้วยความชินกับการอยู่แถวนั้น หอนอกแพงกว่าหอในเยอะแต่พวกเราต้องย้ายออกเพราะมีหอแค่สองหลัง หอหญิงหนึ่งกับหอชายหนึ่ง ต้องให้รุ่นน้องอยู่ต่อจากพวกเรา ฉันได้เงินจากรัฐบาลเดือนละสามพันบาท ค่าหอถ้ารวมค่าน้ำค่าไฟก็ตกประมาณคนละสี่ร้อยบาท นอกนั้นก็ค่ากินและค่ารถ ฉันกินข้าวได้แค่สามเวลา ถ้าอยากกินขนมหวานก็ต้องกินแทนข้าวเพราะไม่มีเงินเหลือพอที่จะซื้อขนมกินหลังกินข้าวเสร็จ ฉันเอารถมอเตอร์ไซค์ของพ่อไปใช้เพราะมันสะดวกและประหยัดกว่าการจ่ายค่ารถโดยสาร ฉันไม่ชอบสภาพที่เป็นอยู่ตอนนั้นเพราะในขณะที่พ่อแม่ต้องลำบากกับการทำนา ฉันเหมือนจะสบายเกินไป แทนที่ฉันจะหาเงินพิเศษส่งให้ท่านใช้บ้างฉันก็ทำไม่ได้