ทำไมถึงชอบงานล่าม Why I Love Being an Interpreter

1. Get to practice my language skills all the time and get paid for it. ได้ฝึกทักษะทางด้านภาษาตลอดเวลา การได้ลงภาคสนามและปฏิบัติจริงนั้น ทำให้จดจำได้แม่นขึ้น ยิ่งทำยิ่งได้เรียนรู้ ทำให้ได้ฝึกวิทยายุทธอยู่เสมอ แถมยังได้รับเงินอีกด้วย

2. Great income. เป็นอาชีพที่มีรายได้ดี บางงานทำไม่กี่วันก็อยู่ได้เป็ นเดือน ถ้าเป็นล่ามที่มีฝีมือ ลูกค้ายอมจ่าย ตามราคาที่เหมาะสมของล่ามในระดั บเดียวกัน ถึงงานนี้จะไม่ทำให้ร่ำ รวยมากมาย แต่ก็ไม่เคยขาดงานหรือขาดรายได้ และได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักและมี ความสุขกับงานอยู่เสมอ ซึ่งหลายอย่างไม่สามารถซื้อได้ ด้วยเงิน

3. No boss. Flexible hours. Have extra time. ผู้เป็นล่ามอิสระ ไม่มีเจ้านาย สามารถจัดตารางเวลาของตัวเองได้ จะรับงานหรือไม่ก็ได้ มีเวลาเป็นของตัวเองที่จะทำกิ จกรรมอื่นๆ ที่ตนเองชอบ

4. Can travel for free. Able to visit friends and family. Go to places that many people don't get to see. ได้เดินทางฟรี เที่ยวฟรี ได้มีโอกาสศึกษาหลายๆ เส้นทาง ทำให้มีความรู้ด้านภูมิศาสตร์ และสถานที่ต่างๆ เพิ่มขึ้น และมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเพื่อนๆ และญาติๆ ที่อยู่ในเมืองต่างๆ ด้วย นอกจากจะได้เดินทางฟรีไปในที่ต่ างๆ แล้ว ยังได้ไปในที่ที่คนทั่วไปไม่ได้ ไป เช่น เรือนจำของนักโทษอุกฉกรรจ์ คุกหลายๆ แบบ โรงงานการผลิต ห้องแล็บที่ทำวิจัยของสถาบันต่ างๆ สถานที่ราชการที่มีการรั กษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ฯลฯ

5. Have the opportunity to meet people from all walks of life. มีโอกาสได้พบกับบุ คคลหลากหลายอาชีพทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น ประธานบริษัทใหญ่ๆ นักการเมือง ผู้นำประเทศ นักการทูต นักธุรกิจ นักวิชาการ อาชกรแบบใส่สูทผูกเน็คไท อาชกรอุกฉกรรจ์ คนไร้บ้าน ได้สัมผัสกับชีวิตของระดั บยาจกถึงมหาเศรษฐี

6. Improve personality, confidence, public speaking, etc. เนื่องจากได้พบกับคนหลากหลาย ทำให้ได้พัฒนาบุคลิกภาพของตน ทำให้เข้ากับคนได้ทุกระดับและคุ ยกับคนได้หลายเรื่อง รู้จักการวางตนในสถานการณ์ต่างๆ ทำให้มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้ นและพัฒนาความสามารถในการพู ดในที่สาธารณะให้ดีขึ้น

7. Learn many life lessons. ได้เรียนรู้บทเรียนหลายอย่างในชีวิตโดยที่ไม่ต้องประสบด้วยตนเอง มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับผู้ที่ตกเป็นคดีความในศาลทั้งแพ่ งและอาญา ได้เห็นว่ามนุษย์เรามีความโลภ โกรธ หลงที่ทำให้ตนต้องเป็นทุกข์ ได้เห็นความเจ็บปวดรวดร้าวของทุ กชนชั้น แม้แต่คนรวย เวลาเขาเจ็บปวดหรือโกรธแค้น เขาก็มีความทุกข์ไม่ต่างกับคนจน เมื่อได้เห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างใกล้ชิด ทำให้ตนเองได้เรียนรู้และหลี กเลี่ยงที่จะไม่ให้ตนต้องตกอยู่ ในสภาพนั้น การที่ได้เห็นทุกข์ ทำให้ได้หันมาศึกษาธรรมะอย่ างจริงจัง

8. Study many subjects. การเป็นล่ามอิสระได้ศึกษาวิชามากมายหลายแขนง เพราะสามารถรับงานได้ หลากหลายตามที่ตนถนัด งานที่ถนัดที่สุดคืองานแปลด้านกฎหมาย รองลงมาคือด้านการแพทย์เพราะได้ ฝึกภาคสนามมากที่สุด และที่ทำบ่อยคือเป็นล่ามในที่ ประชุมสัมมนาหรือคอนเวนชั่นต่ างๆ ให้กับหลายๆ บริษัท จึงทำให้ต้องศึกษาข้อมูลและคำศั พท์เกี่ยวกับเรื่องที่ตนจะแปล แต่เนื่องจากหลายครั้งที่ขาดล่ ามไทยหรือล่ามลาวในอเมริกาสำหรับหลายๆ สาขา บางครั้งก็ต้องลุยเพื่อทำงานนั้ น จึงเป็นการบังคับให้ต้องศึ กษาหลายสาขาวิชา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ศึกษาในเชิงลึกก็ตาม

9. Able to help people. นี่เป็นเหตุผลที่ชอบมาก การเป็นล่ามมีโอกาสได้ช่วยเหลื อคน จริงอยู่ งานล่ามเป็นอาชีพและล่ามก็ได้ค่ าตอบแทนเป็นอย่างดี แต่หลายครั้ง การที่ไปเป็นล่ามช่วยคนที่ไม่ได้ภาษา เวลาที่เขาตกทุกข์ได้ยากนั้น เราจะเห็นได้เลยว่า เขาซาบซึ้งเราขนาดไหน เช่น บางครั้งถูกขังคุกไว้ ศาลไม่ยอมปล่อยตัวจนกว่าจะได้ อธิบายเงื่อนไขในการปล่อยตัว เขาต้องรอล่ามมาอธิบาย บางทีต้องขับรถไปสองชั่วโมงเพื่อที่จะให้ศาลและจำเลยคุยกันรู้ เรื่อง พอเขาเห็นเรา เขาดีใจจนน้ำตาไหล อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เวลาไปแปลที่โรงพยาบาล คุณยายที่แปลให้จะดีใจมากเมื่ อเห็นล่ามมา เพราะเธอจะสามารถบอกหมอได้ว่าเจ็บตรงไหนบ้าง นอกจากนี้ ฉันก็ได้เป็นล่ามอาสาให้กั บหลายองค์กรในสหรัฐและให้กับเพื่ อนๆ คนไทยที่อยู่ในอเมริกา เพื่อนๆ ชอบปรึกษาภาษาอั งกฤษประจำเพราะบางทีไม่รู้ว่าจะแต่งประโยคยังไงหรือจะใช้ คำศัพท์อะไรดี การที่มีโอกาสได้ช่วยเหลือคนอื่นนั้น ทำให้รู้สึกดีและภูมิใจ

10. Become a happier and wiser person. ฉันคิดว่าการเป็นล่ามมาหลายปี ทำให้ตัวเองเป็นคนมีความสุขและมีปัญญาเพิ่มขึ้น การเป็นล่ามกฎหมายที่ ทำมาประมาณสามพันคดีในอเมริ กาทำให้รู้สึกว่าตนมีปัญญามากขึ้น เข้าใจถึงโทษของการยึดติด ตอนนี้มีความสุขมากเพราะสุ ขภาพจิตและสุขภาพร่างกายดีขึ้น ฉันได้สะสมเรื่องต่างๆ ไว้มากมาย แต่หลายเรื่องไม่สามารถนำมาเล่ าได้เพราะหลายอย่างเป็นความลับของลูกค้าหรือของทางราชการ ตอนนี้ฉันอายุย่างห้าสิบ คิดว่าจะเป็นล่ามต่อไปจนกว่าจะไม่สามารถที่จะทำได้อย่างมี ประสิทธิภาพ แต่ถ้าตอนอายุหกสิบ เจ็ดสิบยังทำได้อยู่ คงมีเรื่องเล่าให้รุ่นหลานๆ ฟังได้อย่างไม่จบสิ้น


ข้อเสียของอาชีพล่ามอิสระ Cons of Being a Freelance Interpreter

มีคนคอมเมนท์มาว่า ฉันมีแต่พูดถึงข้อดีข้อการเป็นล่าม อยากจะฟังข้อเสียว่ามีอะไรบ้าง วันนี้เลยจะพูดถึงข้อเสียหรือข้ อที่เป็นลบของอาชีพนี้นะคะ

1. งานไม่แน่นอน (No job security) ถ้าคุณเป็นล่ามประจำใ ห้กับบริษัท หรือภาครัฐแห่งใดแห่งหนึ่ง คุณก็ไม่ต้องห่วงจุดนี้ เพราะงานค่อนข้างจะมั่นคงอยู่แล้ ว แต่ถ้าคุณเป็นล่ามอิสระ อันดับแรกที่เป็นข้อเสียที่จะกล่ าวถึงก็คือ งานมักจะไม่แน่นอน มีการยกเลิกและเปลี่ยนแปลงตาราง อยู่เป็นประจำ หลายครั้งที่รับงานมาเป็นเดือนล่ วงหน้า แต่พอใกล้ๆ ถึงวันงานจริงๆ กลับมายกเลิกกระทันหัน บางงานก็ได้ค่าตอบแทนบ้าง ซึ่งก็แล้วแต่สัญญา เช่นในสัญญาบอกว่าลูกค้าจะจ่ายให้กับล่าม 100% ถ้ายกเลิกภายใน 48% ชั่วโมง บางสัญญาก็จะให้แค่ 50% บางงานล่ามก็ไม่ได้อะไรเลย เพราะงานยกเลิกก่อนเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งก็เกิดขึ้นเป็นประจำ เช่นไม่นานมานี้ ฉันรับงานพิจารณาคดีที่รัฐแห่งหนึ่ง เขาจองตัวไว้ทั้งอาทิตย์ แต่พอถึงเวลาจริงๆ เดินทางไปถึงแล้ว ปรากฏว่าคดีสิ้นสุดภายในวันเดียว เลยได้ค่าจ้างเฉพาะวันที่ไปและวันต่อมาเท่านั้น ส่วนอีกสามวันที่เหลือไม่ได้ค่าจ้างเพราะศาลสามารถยกเลิกการว่าจ้างล่ามได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าแรงหากยกเลิกก่อน 24 ชั่วโมง เป็นต้น

มีหลายงานโดยเฉพาะงาน deposition (การเป็นล่ามให้พยานในคดีแพ่งก่ อนคดีถึงขั้นศาล) ก็มีการยกเลิกและเลื่อนเป็นประจำ เดือนนี้ก็เจอสองเคสที่จองเราไว้ เต็มวัน แต่โทรมาแคนเซิลไม่กี่วันก่อนวันงาน ทำให้ขาดรายได้ในวันนั้นๆ ไป บางทีมีงานดีๆ เข้ามาในช่วงเดียวกัน แต่ก็ต้องปฏิเสธไปเพราะได้รับปากกับลูกค้าเจ้านี้ไว้ก่อนแล้ว บางทีเวลามีงานที่ดีกว่าเข้ามา ก็ยกเลิกลูกค้าที่เรารับงานไปแล้วเพื่อไปรับงานที่ดีกว่า แต่ปรากฏว่างานใหม่นั้นถูกยกเลิกไป เลยต้องสมน้ำหน้าตัวเอง จึงเหมือนกับเป็นการเสี่ยงดวงด้วยว่างานนั้นๆ จะเป็นไปตามตารางที่ลูกค้าจองไว้ หรือไม่

สำหรับฉันแล้ว ตอนนี้ชินกับการถูกแคนเซิลงาน เพราะชอบรับเคสใหญ่ๆ ซึ่งหลายครั้งทนายความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถมาได้ จึงต้องยกเลิกหรือเปลี่ยนวันอยู่เสมอ เมื่อรู้ว่ากรณีเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นและจะทำให้เราก็จะเสียรายได้ไป ฉันก็มีงานที่เป็นแบ็คอัพเผื่อไว้ เพราะเนื่องจากเป็นล่ามมานาน จึงมีลูกค้าอยู่ทั่วสหรัฐ มักจะมีความต้องการล่ามแบบ last -minute ตลอดเวลา บางทีต้องรีบขึ้นเครื่องไปต่างรัฐในวันนั้นเลย เพราะเราว่างแล้วสามารถรับงานด่วนได้ การเป็นล่ามแบบ last-minute ก็ดี ตรงที่ลูกค้ามักจะยอมจ่ายค่าแรง ในอัตราที่ค่อนข้างดี

ในกรณีที่เคสถูกยกเลิกและได้ค่าจ้างจากการยกเลิก บางครั้งฉันก็จะไม่รับเคสอื่น ถือว่าเป็นการพักผ่อน มีเวลาได้เขียนหนังสือและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และอีกอย่างเอ๋ไม่กังวลเรื่องว่าจะขาดรายได้เพราะมีธุรกิจอื่นรองรับอยู่แล้ว และบางเดือนได้เงินจากการเป็นล่ามในเคสอื่นๆ เพียงพอแล้ว ฉันจึงบอกเพื่อนๆ ที่เป็นล่ามฟรีแลนซ์ที่ยังเป็นมือใหม่อยู่เสมอว่า ควรมีธุรกิจอื่น เช่นทำงานแปล งานนวดหรืองานร้านอาหารรองรับในกรณีที่งานล่ามยังไม่สม่ำเสมอหรือยังทำเงินให้เรายังไม่ดีพอ (หรือบางคนเกษียณแล้วแต่มาทำพาร์ตไทม์ ก็ไม่ต้องห่วงข้อนี้) แต่ถ้าได้งานล่ามสม่ำเสมอและเป็ นงานที่รายได้ดีแล้ว ทำเพียงไม่กี่วันก็อยู่ได้ทั้งเดือน ก็ไม่จำเป็นต้องรับงานอื่นก็ได้

2. ต้องเดินทางมาก (Lots of traveling) คนที่จะทำงานล่ามอิสระต้องพร้อมที่จะเดินทาง พร้อมที่จะตื่นเช้า ขับรถในจราจรที่ติดขัด ใช้เวลาที่สนามบินเพื่อเดินทางไปทำงานต่างรัฐหรือต่างประเทศ ต้องห่างครอบครัวอยู่เนืองๆ เดินทางคนเดียว นอนพักโรงแรมคนเดียว ต้องปรับตัวกับเวลาและสถานที่ใหม่ๆ ร่างกายต้องพร้อมอยู่เสมอ ถ้าคุณโอเคที่จะเผชิญกับสถานการณ์ข้างบน ก็โอเคที่จะทำงานล่ามอิสระที่จะ เดินทางไปทำงานในต่างเมือง ต่างรัฐหรือต่างประเทศ

เรื่องการเดินทางนี่ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับฉันเท่าไหร่ เพราะได้หาวิธีที่จะจัดการกับเว ลาที่จะใช้ในการเดินทางได้เป็ นอย่างดี ถ้าวันไหนจะต้องตื่นเช้ามาก ก็จะเข้านอนเร็วในคืนก่อนวันงาน ส่วนเรื่องรถติด ก็จะพยายามหลีกเลี่ยงเวลาและเส้ นทางที่รถติดนั้น เช่น ไปทำธุระอย่างอื่นก่อนกลับบ้าน หรือนั่งรถไฟแทนการขับรถ ถ้าจำเป็นต้องขับรถช่วงรถติด หรือต้องขับระยะทางไกลๆ ก็จะเตรียมโปรแกรมต่างๆ ในยูทูบไว้เปิดฟังในรถ จึงเป็นเวลาที่มีโอกาสได้ศึกษาสิ่งที่ตัวเองสนใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเรื่องการดูแลสุขภาพแบบ แพทย์วิถีธรรม เทคนิคการเป็นล่าม ฝึกเรียนภาษาใหม่ๆ เช่น ภาษาสเปน เป็นต้น

ส่วนการเดินทางไปเป็นล่ามต่างเมือง ต่างรัฐหรือต่างประเทศเป็นสิ่งที่ ฉันชอบมาก ไม่ถือว่าเป็นอุปสรรค เพราะทุกครั้งถือว่าได้ไปเที่ยว ได้สะสมไมล์ ได้ไปเจอเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่ ในเมืองที่เราไป ฉันไม่ห่วงเรื่องครอบครัวเพราะไ ม่มีลูก ส่วนสามีก็ไม่ต้องห่วงเพราะเขาดู แลตัวเองได้และเขาก็ชอบการเป็นส่วนตัวเวลาเราไม่อยู่ บางครั้งเราก็พาสามีเดินทางไปด้วย ถ้าเราไปเป็นล่ามในเมืองที่เขาอยากไป

ผู้เป็นล่ามที่ต้องเดินทางไกลนั้น ต้องมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง การเดินทางไกลๆ และเดินทางแทบตลอดเวลา เดินทางคนเดียว (ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็ง จิตตกก็มีนะ เพราะบางทีต้องขับรถไปที่ที่ไม่ เคยไปเพียงลำพัง) ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ได้พักผ่อนน้อย จึงต้องรู้จักประมาณตน ต้องรู้จักพักรู้จักเพียร ถึงเวลาพักก็ต้องรีบพัก เพราะงานล่ามต้องใช้สมองมากโดยเ ฉพาะบางคดีล่ามต้องแปลให้พยานต่ อหน้าคณะลูกขุนในคดีอาญาสถานหนั กที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ล่ามต้องพักผ่อนให้เพียงพอ สมองต้องปลอดโปร่ง เสียงต้องชัดเจน บางทีล่ามเดินทางมาถึงดึกๆ วันรุ่งขึ้นต้องไปทำคดีใหญ่ๆ จึงต้องให้แน่ใจว่าเราพร้อมหรือไม่ สภาพร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง ต้องแปลให้ได้ดีที่สุดไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเพียงใด

3. ต้องพูดมาก (You have to speak all the time.) งานล่ามเป็นงานที่ต้องใช้ ทักษะการพูด ไม่ว่าจะแปลแบบฉับพลันหรือต่อเนื่อง ล่ามต้องพูดๆๆๆๆๆ ถ้าเป็นแบบฉับพลันก็จะได้มีโอกา สเบรคตอนที่สลับแปลกับพาร์ตเนอร์ แต่ตอนที่เบรคนั้น คือแค่หยุดพูดชั่วคราว มีเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อดื่มน้ำและไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น เรายังต้องตั้งใจฟังว่าเขาพูดอะไรกัน ต้องฟังพาร์ตเนอร์ของเราเพื่อช่วยเขาเวลาที่เขาคิดคำไม่ทันหรือ แปลผิด หรือเวลาที่เขาเริ่มหลุดเรื่อยๆ เราอาจจะต้องช่วยเขาก่อนจะถึงคิวที่เราต้องแปล งานแปลฉับพลันจะต้องพูดมากและใช้สมาธิมาก บางงานถ้าคนจ้างเราขี้เหนียว ต้องการประหยัดเงินและให้เราแปลฉับพลันคนเดียว ขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่ารับนะคะ ควรให้แน่ใจว่าเรามีพาร์ตเนอร์มาเปลี่ยน โดยเฉพาะแปลแบบฉับพลันไม่ว่าจะแปลในศาล การประชุมแบบคอนเวนชั่นหรือคอนเฟอเรนซ์ควรมีคนมาสลับกับเราอย่างน้อยหนึ่งคน เคยมีครั้งหนึ่งที่ศาลหาคนมาช่วยแปลในการพิจารณาคดีฆาตกรรมโดยคณะลูกขุนที่ซานฟรานซิสโกไม่ได้ ต้องแปลคนเดียวสองอาทิตย์รวด ถึงแม้ผู้พิพากษาจะให้เบรคอยู่เรื่อยๆ ก็ทำให้เหนื่อยมาก จำเลยเขาต้องการฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดในศาลเพราะเป็นคดีสำคัญในชีวิตเขา จึงต้องแปลให้เขาฟังทั้งหมด ปรากฏว่าหลังจากคดีสิ้นสุดลง เอ๋เป็นหลอดลมอักเสบและกล่องเสียงอักเสบเกือบเดือน ซึ่งไม่คุ้มกับค่าแรงเลย แต่ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด ตอนหลังพอมีลูกค้ามาเสนอค่าตัววันละ $1500 แต่ให้แปลฉับพลันคนเดียวทั้งงาน เอ๋ก็ปฏิเสธทันที บอกว่าเอาแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งเอาไปจ้างล่ามอีกคนมาช่วยดีกว่า เพราะฉันรู้ว่ามันไม่คุ้มกับสุข ภาพที่เสียไป

ส่วนงานล่ามแบบต่อเนื่อง ส่วนมากจะได้ทำคนเดียวนานๆ ครั้งโชคดีก็มีล่ามมาช่วยเปลี่ยน การแปลแบบต่อเนื่องนี้ ล่ามยังมีเวลาได้พักเสียงเล็กน้อย ขณะที่ผู้บรรยายหรือผู้ที่ถามคำ ถามกำลังพูดอยู่ บางครั้งเราก็แปลไปทางทิศทางเดียว เช่น จากอังกฤษเป็นไทย แต่หลายครั้งต้องแปลทั้งสองทิศทาง เช่น การสืบพยานในศาลหรือในการทำ deposition ที่สำนักงานของทนายความ ล่ามจะต้องพูดทั้งสองภาษา เวลาที่มีล่ามเพียงคนเดียวจะรู้ สึกเหนื่อยมากหลังจากแปลไปได้สี่หรือห้าชั่วโมง บางครั้ง deposition ทำตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เกินแปดชั่วโมง และต้องแปลคนเดียว ต้องพูดตลอดวัน ดังนั้น ล่ามต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมเพื่อที่จะพูดให้ชัดเจน แปลให้คนเข้าใจและถูกต้องในช่วง เวลาที่ยาวนาน

4. เป็นงานที่ค่อนข้างเครียด (Stressful job) งานล่ามได้เงินดีก็จริง แต่ก็เป็นงานที่ค่อนข้างเครียด ยิ่งงานที่ต้องแปลต่อหน้าสาธารณะหรือแปลให้คณะบุคคลสำคัญ เช่นผู้นำประเทศ หรือระดับรัฐมนตรีในงานประชุมนานาชาติ หรือแปลในศาลที่เป็นคดีอุกฉกรรจ์ การแปลในงานลักษณะนี้ ล่ามต้องเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าเพื่อให้คุ้นเคยกับเนื้อหาและคำศัพท์ที่ตนจะแปลในแต่ละงาน ล่ามต้องอ่านหนังสือหลากหลาย ติดตามข่าวสารบ้านเมืองเพื่อให้ ตัวเองมีความรู้รอบตัวให้มากที่สุดซึ่งจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยในการเตรียมพร้อมเพื่อลดความเครียด

ล่ามจะต้องระวังอยู่เสมอ จะต้องคิดประมวลข้อมูลให้ไว เลือกสรรคำให้เหมาะสม แต่งประโยคเป็นภาษาที่ตนแปลให้ถูกต้องและรวดเร็ว บางทีก็มีการแปลผิดเกิดขึ้นได้ ซึ่งบางครั้งที่เป็นข้อมูลสำคัญ ก็ถึงกับต้องมาแก้ไขและอธิบายกันเลยทีเดียว ยิ่งในการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุนแล้วต้องระวังมากทุกคำ ทุกประโยคที่แปลมีความหมาย ซึ่งข้อนี้ก็ทำให้เครียดได้

ล่ามจะต้องตรงเวลา เวลารถติดหรือหลงทางบางครั้งทำให้ตัวเองไปสาย อันนี้ก็ทำให้เครียดได้ บางเคส ล่ามไม่ควรไปสายเลย เพราะมีทนายความหลายคนมารอเราอยู่ ทั้งผู้บันทึกรายงานศาล ผู้อัดวิดีโอ พยานที่จะให้การและคนอื่นๆ กำลังนั่งรอล่ามอยู่ พอล่ามเดินเข้ามา ทุกคนก็จะมองแบบให้เราเครียดไปเลยเพราะเป็นการทำให้ทุกฝ่ายเสียเวลา เสียเงินด้วย ทำให้ล่ามเสียหน้า ดูไม่เป็นมืออาชีพ ความน่าเชื่อถือลดลง ตัวฉันไม่เคยมีประสบการณ์อันนี้ ได้ยินเพื่อนล่ามเล่าให้ฟัง เพราะตัวเองมักจะไปก่อนเวลาเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความเครียด เพราะถ้าเครียดแล้ว ประสิทธิภาพในการแปลก็จะลดลง

เวลาขึ้นโรงขึ้นศาล ไปแปลที่สำนักงานทนายความหรือตามสถานพยาบาล ส่วนมากก็มีแต่เรื่องไม่ดีไม่น่าฟัง บางทีล่ามก็ต้องนั่งฟังเรื่องราวต่างๆ ที่เขาบ่นให้เราฟัง ฟังทนายความเถียงกัน ดูคนตีหน้ายักษ์ใส่กัน ซึ่งมีแต่เรื่องลบๆ เราต้องสัมผัสและได้รับพลังงานที่เป็นลบนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เราเครียดขึ้นไปอีกได้

นอกจากความเครียดข้างต้นแล้ว ยังมีความเครียดเรื่องการทำงานร่วมกับผู้ว่าจ้าง เพื่อนร่วมงาน ผู้ประสานงาน ซึ่งข้อนี้ก็เป็นความเครียดที่มี อยู่ในงานทั่วไปเช่นกัน สำหรับงานล่ามที่ต้องทำงานกับพาร์ตเนอร์ที่ต้องแปลด้วยกันในบูธหรือต้องเดินทางร่วมกันในบางเคส ทีมงานล่ามควรเข้ากันให้ได้ดีเพราะต้องทำงานแบบประชิดตัวเป็นเว ลาหลายชั่วโมง ควรเรียนรู้ที่จะประสานงานกันไม่ ใช่ประสานงากัน ไม่แข่งขันหรือว่าให้กันในเชิงลบ ไม่อิฉาริษยากัน ไม่รายงานต่อนายจ้างเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานในเชิงลบเพื่อให้ตัวเองดูดี มีอะไรควรบอกกับเพื่อนร่วมงานดี ๆ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่สามาร ถทำงานร่วมกันได้ดีหรือไม่อาจที่จะทำงานร่วมกันได้อีก อย่าเคร่งกับกฎระเบียบมากเกินไป บางคนที่เห็นมาทำงานแบบเครียดจัดเพราะไม่รู้จักยืดหยุ่น ทำให้ทั้งตัวเองและผู้ร่วมงานรอบข้างเครียดไปด้วย เราก็จะมีโอกาสได้เจอคนแบบนี้อยู่ แล้วไม่ว่าจะสายงานใด ฉันมักจะบอกกับเพื่อนๆ ที่ฉันสอนวิชาล่ามว่า It's better to be kind than to be right. It's better to be a good person than a good interpreter. เพราะฉะนั้น จะต้องรู้จักลดอัตตาและเดินทางสายกลางเพื่อลดความเครียดในจุดนี้ด้วย