“ทำไมคุณถึงเก่งภาษาจัง” “Why Are You So Good at Languages?”

คำถามที่ฉันถูกถามอยู่เสมอคือ “ทำไมคุณถึงเก่งภาษาจัง” “ทำยังไงถึงจะเก่งภาษา” “ช่วยบอกวิธีให้หน่อย” “มีเคล็ดลับอะไรบ้าง”

ในบทความนี้ก็เลยจะถือโอกาสตอบคำถามเหล่านี้

จะบอกวิธีให้นะคะ ความจริงเคล็ดลับเรื่องการเรียนภาษาไม่มีหรอกค่ะ มีแต่เคล็ดไม่ลับ แล้วแต่ว่าจะนำเอาไปประยุกต์ใช้และปฏิบัติหรือไม่

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนนะคะว่าฉันไม่ใช่คนเก่งอะไรเลย ที่ฉันมาถึงจุดนี้จากความสามารถทางด้านภาษาของตนได้นั้น ไม่ได้มาจากความเก่ง ฉันไม่ใช่คนหัวดีด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ฉันมี ที่หลายๆ คนไม่มีหรือมีไม่เท่าก็คือ ความเพียรพยายามและความเสมอต้นเสมอปลายและองค์ประกอบอื่นๆ ข้างล่างนี้

1. สิ่งแรกที่คิดว่าเป็นเหตุผลหลักก็คือ ความชอบและความสนใจ ฉันเป็นคนชอบภาษามาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งภาษาไทย ภาษาลาว และภาษาอังกฤษ ต่อมาเมื่อมีโอกาสก็ได้ศึกษาภาษาอื่นๆ เพิ่มเติมคือภาษาฝรั่งเศส ภาษาญี่ปุ่น ภาษาสเปนและภาษาจีนกลาง และจะเรียนภาษาอื่นๆ ต่อไปเรื่อยๆ จนแก่เฒ่า การที่ชอบเรียนภาษาทำให้เรียนแล้วสนุก ไม่ต้องมีใครมาบังคับให้เรียน หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยโดยเรียนเอกด้านภาษาแล้ว ยังศึกษาภาษาด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยขาด เพราะว่าเวลาที่เรียนทำให้รู้สึกมีความสุข

2. สิ่งที่สองคือ ความตั้งใจและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง หลังจากที่ตกลงเลือกทางเดินด้านภาษาแล้ว จึงทุ่มเทกับการศึกษา เนื่องจากตอนนี้เป็นล่ามภาษาไทย ภาษาลาว และภาษาอังกฤษ จึงตั้งใจเรียน ฝึกหัดทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียนของทั้งสามภาษานี้ตลอดเวลา แทบจะไม่มีวันไหนที่ไม่ฝึกและพัฒนาทักษะต่างๆ เหล่านี้

3. เหตุผลที่สามคือ การรู้จักสังเกตและการเอาใจใส่ ฉันจะสังเกตดูว่าแต่ละคนเขาพูดอย่างไร ใช้คำอะไรบ้าง สำเนียงเป็นอย่างไร ภาษาระดับไหน ความรู้ระดับไหน เวลาคนพูดมา ฉันจะตั้งใจฟังทุกคำ เวลาอ่านก็จะดูการใช้ภาษาเขียนของเขา ดูว่าเขาใช้ภาษาระดับไหน เขียนสไตล์ไหน ดูการสะกดคำ การใช้เครื่องหมายวรรคตอนของเขาด้วย การสังเกตสิ่งเหล่านี้ ทำให้ฉันนำมาใช้ในการปรับปรุงการใช้ภาษาของตนเอง ถ้าเขาพูดหรือเขียนผิด ก็จะระวังไม่ให้ผิดเหมือนเขา ถ้าเขาพูดดี สำนวนดี เขียนดี ก็จะนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นภาษาของตัวเอง การสังเกตและการเอาใจใส่จะทำให้เราจำได้ดี ผู้ที่ชอบสังเกตและสนใจอะไรสักอย่าง ก็จะทำให้จำสิ่งนั้นๆ ได้ดี นี่เป็นเหตุผลที่ฉันจำคำศัพท์ต่างๆ ได้มากมาย วันหลังจะเขียนเรื่องเทคนิคการจำคำศัพท์ให้อ่านนะคะ

4. การมีครูที่ดีคือเหตุผลที่สี่ที่ฉันคิดว่าตัวเองจึงมาถึงจุดนี้ได้ ฉันโชคดีที่ได้เรียนกับครูที่เก่งๆ หลายท่านในชั้นมัธยมที่โรงเรียนในจังหวัดยโสธร ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นและที่มหาวิทยาลัยโอซากา หลังจากนั้นก็ได้ศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเอง ชอบการสอนของใครก็จะซื้อหนังสือ ซีดีและอุปกรณ์การเรียนการสอนของครูคนนั้นมาเรียนเอง

5. ข้อที่ห้าคือ การกล้าลงทุน การลงทุนของฉันคือการยอมสละเงินและเวลาเพื่อที่จะไปเรียนพิเศษเพิ่มเติม ถ้าโปรแกรมไหนดี ก็ยอมซื้อ แพงแค่ไหนก็ซื้อ เช่น โปรแกรมที่ชื่อว่า Verbal Advantage ตอนออกใหม่ราคา 400 เหรียญสหรัฐ ฉันซื้อโดยที่ไม่ต้องคิดมาก (โปรแกรมนี้เป็นเหตุผลที่ฉันสอบเป็นล่ามกฎหมายในอเมริกาผ่านจากการสอบเพียงครั้งเดียว และเป็นล่ามไทยและล่ามลาวคนแรกในแคลิฟอร์เนียที่สอบผ่าน) ครูคนไหนดี ไกลแค่ไหนก็จะเดินทางไปหา ฉันจะใช้เวลาที่หาได้ เรียนรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา การเรียนภาษาต้องใช้เวลา ไม่ใช่จะเก่งปุ๊บปั๊บ บางคนอาจจะเรียนเร็ว เพราะรู้เทคนิคและมีพรสววรค์ แต่ทุกคนต่างก็ต้องใช้เวลา ยิ่งถ้าเป็นการใช้ภาษาในระดับสูงแล้ว ยิ่งต้องใช้เวลาทุ่มเทกับการเรียนรู้ให้มากที่สุด ถ้าไม่เรียนเพิ่มเติม ก็จะอยู่กับที่หรือแย่ลง คนอื่นก็จะแทรงหน้าไป

6. ข้อต่อไปคือโอกาส ต้องรู้จักฉวยโอกาสและสร้างโอกาสให้กับตัวเอง ถ้ามีคนมามอบโอกาสดีๆ ให้กับเรา ต้องรีบฉวยทันที แต่ถ้าไม่มีโอกาสมาวางไว้ข้างหน้า ก็ต้องพยายามเดินไปหามันหรือสร้างมันขึ้นมา ฉันคิดว่าโอกาสก็เป็นสิ่งสำคัญมากที่ทำให้ฉันได้มาเป็นล่ามในระดับนี้ได้ เริ่มตั้งแต่ได้มีโอกาสสอบทุนเอเอฟเอสเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปประเทศญี่ปุ่นเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ตั้งแต่นั้นมา ฉันจึงเข้าใจว่าโอกาสมีส่วนมากทีเดียวกับการที่ทำให้ฉันเก่งภาษา เพราะได้ใช้ชีวิตในต่างแดนและเรียนภาษาที่ห้าตั้งแต่ยังเด็ก (ภาษาก่อนหน้านั้นคือไทย ลาว อังกฤษ ฝรั่งเศส) เมื่อคนรู้ว่าฉันมีความสามารถ เขาก็จะมาหาฉัน จึงมีโอกาสต่างๆ มากมาย เช่น เมื่อสองปีก่อนกระทรวงต่างประเทศสหรัฐขาดล่ามภาษาลาว เขาก็มาตามตัวฉันไปแปล เอาฉันไปเทรนอย่างหนักเพื่อเตรียมตัวแปลด้านการทูตในระดับโลก ต้นปีนี้เลยได้ไปแปลให้ประธานาธิบดีโอบามาและประธานประเทศลาวท่านจูมมะลี ไซยะสอน (โชคดีที่ล่ามอาวุโสคนลาวอีกท่านไปไม่ได้) และได้แปลทั้งไทยและลาวให้กับรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศจอห์น แคร์รีด้วย จากนั้นมาก็มีโอกาสได้ไปแปลให้กับแขกรัฐบาลสหรัฐอย่างสม่ำเสมอ ฉันไม่เคยปล่อยให้โอกาสดีๆ หลุดไป

7. เหตุผลข้อที่เจ็ดคือ ต้องไม่อาย ต้องกล้าพูด กล้าเขียน กล้าแสดงออก ถ้ามัวแต่อาย ไม่มีทางพูดเก่งหรือเขียนเก่ง คุณอาจจะฟังเก่งและอ่านเก่ง แต่จะไม่ได้ทุกทักษะ ยกเว้นว่าคุณอาจจะเป็นคนขี้อายและขี้กลัว แต่ก็ต่อสู้จนเอาชนะมันได้ คุณก็จะสามารถพัฒนาทักษะอื่นๆ ได้ด้วย ฉันก็โชคดีอีกที่เป็นคนไม่ขี้อาย ชอบพูดคุยกับทุกคน ทั้งกับต่างชาติและกับชาติเดียวกัน ฉันชอบเรียนรู้จากคนทุกระดับจากการได้พูดคุยกับพวกเขา

8. ข้อแปดคือการรู้จักใช้สื่อและข้อมูลข่าวสารให้เป็นประโยชน์ ฉันจะใช้ทุกสื่อที่สามารถหาได้เพื่อพัฒนาทักษะตนเอง สมัยก่อนก็จะไปยืมหนังสือที่ห้องสมุดมาอ่าน ต่อมาเริ่มมีเทป ก็ได้ฟังเทป พอมีวิดีโอ ก็ได้เรียนภาษาจากการดูหนัง พอมีซีดีก็ซื้อซีดีต่างๆ มาฟังตลอด ฉันอิจฉาเด็กสมัยนี้มาก พวกเขามีโอกาสที่จะศึกษาจากอินเตอร์เน็ต ยูทูบ (สะกดว่า “ยูทูบ” นะคะ เพราะ Youtube ลงท้ายด้วยตัวบี แต่คนพากันสะกดว่า ยูทูป) และสื่อสังคมอื่นๆ แต่หลายคนกลับไม่ใช้ประโยชน์จากสื่อเหล่านั้น เห็นเล่นแต่ไลน์ เล่นเฟซบุ๊กและเล่นอินสตาแกรมกันทั้งวัน ทั้งๆ ที่สื่อต่างๆ นี้เป็นประโยชน์และหาได้ง่าย การใช้สื่อสังคมเป็นดาบสองคม เราจะใช้มันให้เป็นประโยชน์หรือติดมันจนไม่ลืมหูลืมตาก็ได้ ฉันจึงระวังการใช้สื่อสังคมและการใช้อินเตอร์เน็ตอย่างมาก แต่ก็ต้องแบ่งเวลาว่าจะใช้มันเมื่อไหร่ด้วย เพียงแต่ต้องระวัง มีข้อมูลข่าวสารมากมาย ไม่รู้จะอ่านอะไร เยอะแยะไปหมด ฉันจึงเลือกฟัง เลือกดูสิ่งที่คิดว่าจะก่อให้เกิดปัญญากับตัวเองมากที่สุด รายการที่ชอบมากๆ คือ ธรรมะจากพระอาจารย์หลายๆ ท่าน แพทย์วิถีธรรม เทคนิคการเรียนภาษาต่างๆ วิดีโอสอนเต้นรำ

9. ข้อที่เก้านี้สำคัญ อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง ถ้าคิดว่าตัวเองเก่งเมื่อไหร่ ก็ถือว่าโง่ทันที ฉันไม่เคยว่าตัวเองเก่งเลยนะคะ มีแต่คนพากันว่าฉันเก่งเอง เขาสรุปกันเองว่าฉันเก่ง อาจเป็นเพราะว่าเขาคิดว่าฉันเก่งกว่าเขามาก สำหรับตัวฉันเองแล้ว ยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ ยิ่งศึกษามากเท่าไหร่ ฉันยิ่งรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรอีกมากมาย ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นกบในกะลา แต่กะลาค่อยๆ ใหญ่ขึ้นตามปริมาณความรู้ที่ศึกษาไป ฉันไม่อายถ้าตัวเองพูดผิดหรือเขียนผิด ฉันชอบให้คนแก้ภาษาให้ฉัน บางทีไม่มีใครแก้ให้ ก็จะอัดเทป อัดวิดีโอ แก้ภาษาตัวเอง มีหลายคนชอบเอาสถาบันหรือระดับปริญญามาอวดอ้างว่าตัวเองเก่ง แต่พอฉันคุยกับเขา ฉันก็รู้ว่าเขาอยู่ระดับไหน แต่ก่อนฉันจะช่วยบอกหรือเตือนเขา เวลาเขาใช้ภาษาผิดหรือได้ข้อมูลผิด แต่หลายคนมีอีโก้ ฉันเลยไม่กล้าบอกแล้ว ตอนนี้ใครอยากให้ฉันสอน ต้องมาขอเป็นลูกศิษย์เอง ฉันจะสอนแบบไม่ปิดบังเลย เพราะฉันไม่หวงวิชา และที่ฉันสอบได้ที่หนึ่งมาตลอด ไม่ใช่เพราะฉันต้องการเป็นที่หนึ่ง ฉันได้มาเอง เพราะฉันขยันและตั้งใจ ที่ฉันเป็นนักเขียนที่มีชื่อ ไม่ใช่เพราะฉันอยากดัง ฉันขยันเขียนเพราะมันเป็นอาชีพของฉันและฉันคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเขียนนั้นมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน คนก็ติดตามบทความฉันเอง ฉันมีแฟนหนังสือทั่วโลก (ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ) ก็เพราะฉันขยันเขียนเป็นภาษาอังกฤษให้ฝรั่งได้อ่านเกี่ยวกับภาษาไทย ภาษาลาวและเกี่ยวกับประเทศไทย (เพิ่งมาเขียนให้คนไทยอ่านได้ประมาณหนึ่งปีเศษเท่านั้น) หาได้มีความเก่งกาจอันใดไม่

10. ข้อสิบคือข้อสุดท้าย นั่นก็คือการมีความเพียรพร้อมกับความเสมอต้นเสมอปลาย ฉันคิดว่าข้อนี้แหละเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ภาษาฉันดีและคิดว่าสำคัญกับการทำหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างให้เป็นไปตามเป้าหมายด้วย ฉันเห็นหลายคนที่เรียนจบสถาบันดีๆ แต่ไม่ศึกษาเพิ่มเติม ไม่ทำการบ้าน ไม่ขยันท่องศัพท์ คิดว่าตัวเองเข้าใจแล้ว รู้แล้ว เก่งแล้ว หรือขี้เกียจ ทำให้ความสามารถเขาไม่พัฒนา บางคนอยากจะทำ แต่ไม่มีเวลา เนื่องจากสภาพครอบครัวไม่อำนวยและเหตุผลบางอย่าง ฉันก็เข้าใจ จึงถือตัวเองโชคดีที่ไม่มีพันธะหลายๆ อย่าง จึงมีเวลาและโอกาสที่จะได้ฝึกฝนความรู้ของตนเองและทำสิ่งที่ตนเองชอบอย่างต่อเนื่อง

ทุกข้อที่พูดมาข้างต้น ใช้ได้กับการศึกษาเล่าเรียนทุกอย่าง ไม่ใช่แต่กับการเรียนภาษาเท่านั้น ผู้อ่านเอาไปประยุกต์ใช้ได้เลยค่ะ