รู้ภาษาอังกฤษ ชีวิตก้าวไกล ตอนที่ 6

สำนวน Expressions

การที่จะฟัง พูด อ่าน เขียนในระดับถึงพริกถึงขิง แบบมีสีสันหรือระดับที่เป็นธรรมชาติเหมือนกับที่เจ้าของภาษาพูดได้นั้น คุณจะต้องรู้จักใช้สำนวนของภาษานั้นๆ ให้ดี นอกเหนือจากทักษะทั้งสี่และปัจจัยทั้งสามข้างต้นแล้ว การใช้สำนวนได้ถูกต้องตามกาลเทศะนี่แหละจะเป็นตัวบ่งชี้ได้ดีเยี่ยมว่าภาษาของคุณอยู่ระดับใด เวลาที่คุณใช้สำนวนเหล่านี้ หลายครั้งคุณต้องเข้าใจคอนเซ็ปท์ เวลาคุณแปลความหมาย คุณต้องแปลจากความเข้าใจไม่ใช่แปลจากคำศัพท์ตามตัว (ยกเว้นบางสำนวนที่บังเอิญเหมือนกับภาษาไทย) วิธีที่จะรู้สำนวนต่างๆ เหล่านี้ ต้องศึกษาและจำลูกเดียว เพราะมีมากมายเหลือเกินและจะต้องรู้จักว่าจะใช้ในสถานการณ์ใด

ในภาษาอังกฤษมีการใช้สำนวนแบ่งออกเป็นสามประเภทใหญ่ๆ ด้วยกันคือ โวหารและสุภาษิตคำพังเพย (idiom and proverb) กริยาวลี (phrasal verb) และ สแลงหรือภาษาตลาด (slang) มาดูกันว่าทั้งสามประเภทนี้แตกต่างกันอย่างไรบ้าง

โวหาร สุภาษิตและคำพังเพย Idioms, Proverbs and Aphorism

โวหารคือ กลุ่มคำที่ไม่ได้มีความหมายตามตัว แต่มีความหมายแฝงหรือเป็นอย่างอื่น เช่น "to bite the bullet" แปลว่า "ทำในสิ่งที่ยากแสนสาหัส" ไม่ได้แปลว่า "กัดลูกกระสุน" หรือโวหารที่ว่า "dress to kill" ไม่ได้แปลว่า แต่งตัวเพื่อไปฆ่า แต่แปลว่า "แต่งตัวอย่างเลิศหรู"

ส่วนสุภาษิตคือ ถ้อยคำที่กล่าวไว้ที่นำมาเป็นคติสอนใจ เช่น "When in Rome, do as the Romans." แปลว่า "เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม" ส่วนคำพังเพยคือ การกล่าวสั้นๆ ในเชิงเปรียบเทียบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งอาจจะเป็นข้อเท็จจริงหรือข้อคิดเห็น เช่น "History repeats itself." แปลว่า "ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย " "You're never too old to learn." แปลว่า "ไม่มีใครแก่เกินเรียน"

กริยาวลี Phrasal Verbs

ภาษาอังกฤษใช้กริยาวลีในชีวิตประจำวันอย่างมากไม่ว่าจะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ ส่วนใหญ่ก็จะออกไปในเชิงอุปมาเช่นเดียวกับโวหาร แต่จะใช้คำกริยานำหน้าและตามด้วยคำกริยาวิเศษณ์ (adverb) หรือคำบุพบท (preposition) เช่น

to give up แปลว่า "หมดหวัง ยอมแพ้หรือล้มเลิก"

to pass out แปลว่า "เป็นลมหรือหมดสติ"

to run out แปลว่า "หมดหรือขาดมือ" แต่คำนี้สามารถแปลตามตัวว่า "วิ่งออกไป" ก็ได้ คำกริยาวลีบางคำจะสามารถแปลตามตัวได้เช่นคำนี้ ฉะนั้นจึงต้องดูจากบริบทด้วย

สแลง Slang

สำนวนที่เป็นคำสแลงนี้ต้องศึกษาและต้องจำเท่านั้น เพราะหลายครั้งคุณจะไม่สามารถเดาความหมายได้จากบริบท แต่ละท้องที่ แต่ละประเทศต่างก็มีคำสแลงของตน หลายคำอาจจะไม่มีในพจนานุกรมและมีสแลงเกิดขึ้นใหม่เป็นประจำเฉพาะกลุ่ม เช่นในหมู่วัยรุ่น กลุ่มไฮเทค กลุ่มนักกีฬา กลุ่มนักดื่ม กลุ่มนักเรียนนักศึกษา ฯลฯ ต่างก็มีสแลงที่ใช้ในกลุ่มของตน บางคำที่เป็นที่นิยมมากๆ ก็จะถูกนำมาใช้โดยคนทั่วไปและค่อยๆ กลายเป็นคำศัพท์ในที่สุด

นี่เป็นตัวอย่างของสแลงที่คนอเมริกันชอบใช้กัน

He's cool. เขาเท่

Nice wheels! รถสวย!

I hate my ex! ฉันเกลียดแฟนเก่า

The cop shot that junkie in the gut. ตำรวจยิงไอ้ขี้ยานั่นที่ท้อง

It takes a lot of guts to leave your hubby. คุณมีความกล้าหาญมากที่จะเลิกกับสามี

My father got rid of the clunker and bought a new beemer. พ่อเอารถคันเก่าไปทิ้ง แล้วซื้อรถบีเอ็มคันใหม่

That couch potato has three rug rats. คนขี้เกียจสันหลังยาวคนนั้นมีลูกสามคน

Sam invited us to his kegger tonight. แซมชวนเราไปปาร์ตี้เบียร์คืนนี้

My cell was a freebie. มือถือผมเครื่องนี้ได้มาฟรี

That chick is a cold fish. หญิงสาวคนนั้นเยือกเย็น

I finally got myself out of that jam. ในที่สุดฉันก็เอาตัวเองออกจากปัญหานั้นได้

That computer whiz likes to wear cheesy outfits. นักคอมตัวยงนั่นชอบใส่เสื้อผ้าราคาถูกไม่เหมาะกับกาลเทศะ

Don't con me! อย่ามาหลอกฉัน!

ในแต่ละประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ อาจมีการใช้คำและสำนวนต่างๆ ที่แตกต่างกันไป เช่น ในประเทศอเมริกาเรียกลิฟท์ว่า elevator แต่ในประเทศอังกฤษใช้คำว่า lift คำสแลงบางคำในประเทศอเมริกาก็ไม่ใช้ในประเทศอังกฤษ ดังนั้นคุณควรศึกษาสำนวนภาษาอังกฤษของประเทศนั้นๆ

สำนวนภาษาอังกฤษมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่ละประเทศก็มีสำนวนของตนต่างหากอีกด้วย มีหนังสือจำนวนมากที่เขียนอธิบายเฉพาะเรื่องนี้ นอกจากนี้ ผู้อ่านสามารถอ่านเพิ่มเติมในเว็บภาษาอังกฤษต่างๆ ได้ โดยใช้คีย์เวิร์ดภาษาอังกฤษที่ฉันได้วงเล็บไว้

บทสรุปพร้อมคำแนะนำอื่นๆ Summary and Other Suggestions

- ใช้ภาษาอังกฤษทุกที่ที่มีโอกาส อย่าปล่อยโอกาสให้เสียไป

- ฟังภาษาอังกฤษให้มากที่สุด แทนที่จะฟังเพลง ก็ลดลงบ้าง เปลี่ยนมาฟังซีดีเรียนภาษาอังกฤษแทน เวลาดูหนังควรดูซีดีที่มีซับไตเติลเป็นภาษาอังกฤษ โดยปิดซับไตเติลที่เป็นภาษาไทยไว้

- พยายามคิดเป็นภาษาอังกฤษ อย่าแปลจากภาษาไทยมากเกินไป

- อย่ากลัวว่าจะพูดผิดหรือเขียนผิด ถ้าเราไม่พูดไม่เขียนออกมา ก็จะไม่มีคนช่วยแก้ไขได้ แล้วเรียนจากข้อผิดพลาดของตน

- มีความมั่นใจในตัวเอง ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา ฝรั่งก็ใช่ว่าจะพูดไทยกันได้หมด ฝรั่งหลายคนมาอยู่ไทยตั้งหลายปี ยังพูดไทยไม่ได้เลยก็มีเยอะแยะไป

- ใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อเป็นสื่อให้มากที่สุด มีข้อมูลเกินพอที่สามารถเรียนได้ฟรี

- ดูว่าตัวเองมีจุดอ่อนตรงไหน ให้เน้นไปที่จุดนั้น แต่ก็อย่าปล่อยวางจุดแข็ง

- ฝึกภาษาอังกฤษทุกวัน และต้องฝึกให้ถูกต้อง คำกล่าวที่ว่า "Practice makes perfect." นั้นไม่จริง ถ้าคุณฝึกออกเสียงที่ผิดๆ คุณก็จะออกเสียงที่ผิดนั้นได้อย่างคล่องแคล่วจนชิน ฉันได้ยินนักเรียนโรงเรียนหนึ่งออกเสียงคำว่า foreigner ว่า ฝ่อเร้นเหนอะ (เน้นที่พยางค์ที่สอง) แทนที่จะออกว่า ฟ้อเหรอะเหนอะ (เน้นที่พยางค์แรกและพยางค์ที่สองเป็นเสียงเออะเบาๆ) แต่ครูพาออกแบบนั้น ก็ออกกันผิดทั้งโรงเรียน การฝึกจะต้องฝึกจากต้นแบบที่ดีและถูกต้อง ดังนั้นคำกล่าวข้างบนควรเปลี่ยนเป็น "Perfect practice makes perfect."

- บอกกับครอบครัวและเพื่อนๆ ว่าตนกำลังเรียนอะไรอยู่ มีเป้าหมายอะไรบ้าง ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว ตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวให้ตัวเอง พอถึงเป้าหมายแล้ว ควรให้รางวัลกับตัวเองบ้าง

- สร้างบรรยากาศเพื่อให้มีสมาธิในการเรียน หาที่เงียบๆ เรียนเพิ่มเติมด้วยตนเอง

- วางแผนบทเรียนว่าจะเรียนอะไร วันละกี่นาที กี่ชั่วโมง เรียนวันไหนบ้าง

- ถ้าเป็นได้ ให้ไปเรียนหรือไปทำงานในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ

- หาครูที่สอนเก่งๆ และรู้จริง ฝรั่งเจ้าของภาษาบางคนใช่ว่าจะสอนเป็น คนไทยที่เรียนเอกภาษาอังกฤษ อาจจะสอนได้ดีกว่าฝรั่งเพราะรู้และเข้าใจถึงความต้องการของนักเรียน รู้ว่าคนไทยมีจุดอ่อนตรงไหนบ้าง และจะสามารถอธิบายเป็นภาษาไทยให้คุณเข้าใจได้ ถ้าได้ครูภาษาอังกฤษดีๆ ก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าไม่ชอบครูที่สอนที่โรงเรียน คุณควรหาติวเตอร์ที่สอนพิเศษที่คุณเรียนด้วยแล้ว สนุก เข้าใจและรู้สึกว่าตนพัฒนาขึ้น

- หาเพื่อนต่างชาติที่จะสื่อสารด้วย ถ้าเป็นไปได้ ให้เขาช่วยแก้ภาษาของคุณด้วย ตอนนี้การมีเพื่อนต่างชาติไม่ยาก ฝรั่งหลายคนในเฟซบุ๊คก็อยากเรียนภาษาไทย มีเว็บไซท์แลกเปลี่ยนภาษามากมาย มีเพื่อนและแฟนหนังสือของฉันจำนวนมากที่แลกเปลี่ยนภาษากันด้วยวิธีนี้ บางคนเรียนทางออนไลน์จนสามารถอ่านออกเขียนได้ถึงระดับค่อนข้างดีทีเดียว

- อย่าเชื่อคำโฆษณาของครู โรงเรียนหรือสื่อต่างๆ ว่าจะสามารถช่วยให้คุณเก่งภาษาอังกฤษได้ภายในสามเดือนบ้างหรือหกเดือนบ้าง หรือจะช่วยให้เรียนทางลัด จากประสบการณ์ที่ฉันเรียนมาเจ็ดภาษา ไม่มีทางลัด ไม่มีใครที่ฉันรู้จักที่จะเก่งภาษาเร็วถึงขนาดนั้น ยกเว้นคุณเป็นยอดอัจฉริยะ จริงอยู่โรงเรียนนั้นอาจจะสอนคุณให้สอบผ่าน TOEFL ได้ภายในหกเดือน แต่ก็จะเป็นการสอนแค่ส่วนเดียว พอสอบผ่านแล้วก็ลืมเกือบหมด เอาคำศัพท์มาประยุกต์ใช้ไม่ได้ อาจจะพอใช้ไวยากรณ์ได้บ้าง ทุกคนที่ฉันรู้จักที่เก่งภาษาอังกฤษในระดับสูงนั้นต่างก็ได้ฝึกทักษะทั้งสี่และปัจจัยทั้งสี่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ไม่มีใครที่จะเรียนทางลัดหรือเก่งได้ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ

- ใช้สื่อการเรียนการสอนที่เหมาะกับระดับความรู้ของตน ไม่ง่ายหรือยากจนเกินไป

- ทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษของตนเมื่อมีโอกาส

- ลงเรียนคอร์สวิชาฝึกความจำ ศึกษาเทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยให้ความจำดีขึ้น ซึ่งจะเป็นการฝึกสมองเพื่อให้สามารถจำคำศัพท์และสิ่งใหม่ๆ ที่ได้เรียนรู้ได้

- ใช้ภาษาอังกฤษให้ถูกกาลเทศะ รู้ว่าเวลาไหนควรใช้คำสุภาพหรือสแลง อันไหนคือภาษาพูด อันไหนคือภาษาเขียน

- คิดหาวิธีเรียนที่เหมาะที่สุดสำหรับตัวเอง คุณอาจจะชอบสื่อหนึ่งแต่ไม่ชอบสื่อหนึ่ง คุณอาจจะชอบเรียนจากการท่องจำหรือจากการทำแบบฝึกหัดได้ดี หรือคุณเรียนกับเพื่อนๆ เป็นกลุ่มดีกว่าที่จะเรียนคนเดียว

- คุณสามารถเริ่มเรียนภาษาอังกฤษได้ไม่ว่าจะอายุเท่าใด ไม่มีใครแก่เกินเรียน

- อย่าคิดว่าตัวเองเก่งแล้วหรือรู้แล้ว "รู้แค่นี้ก็พอแล้ว" "รู้ไปทำไม ไม่ได้ใช้" ถ้าคุณคิดเช่นนี้เมื่อไหร่ คุณจะปิดกั้นตัวเองเมื่อนั้น ภาษาคุณก็จะไม่พัฒนาขึ้นอีกต่อไป การเรียนภาษาต้องทบทวนสิ่งที่เรียนมาและเรียนเพิ่มเติมอยู่เสมอ การทบทวนเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าไม่ทบทวน ก็มีโอกาสที่จะลืมสิ่งที่เรียนมา ถ้าไม่เรียนเพิ่มเติม ก็จะติดหงักอยู่ตรงนั้น หรือไม่ก็พัฒนาได้อย่างช้ามาก

- อย่าผัดวันประกันพรุ่ง และอย่าขี้เกียจ รู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ลดเวลาดูทีวี เล่นเกม เล่นไลน์ เล่นเฟซบุ๊คลงบ้าง เอาเวลานั้นมาฝึกทักษะภาษา

- อย่าคิดว่าตัวเองอ่อนภาษาหรือไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ คุณอาจจะได้ครูไม่ดี คุณอาจจะยังจับจุดไม่ได้ การสอนอาจน่าเบื่อ ต้องหาสาเหตุว่าทำไมตนถึงไม่เก่งภาษาอังกฤษ

- เรียนภาษาอังกฤษด้วยความสนุกสนาน อย่าเรียนเพราะถูกบังคับหรือด้วยความจำใจ

- ให้คิดถึงอนาคตของประเทศไทย เราอ่อนภาษาอังกฤษกว่าเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน ต้องช่วยกันทำให้เราเก่งเหมือนเขาให้ได้

- อย่าเร่งผล อย่าหักโหม การเรียนภาษาต้องใช้เวลา ค่อยเป็นค่อยไปแต่ต้องสม่ำเสมอ

- คิดว่าตนเองต้องทำ ถ้าคุณคิดว่าตนเองทำได้ คุณก็จะทำได้ อย่ายอมแพ้

นอกจากทักษะและปัจจัยที่กล่าวข้างต้นแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้คุณเก่งภาษาอังกฤษได้ก็คือตัวคุณเอง ไม่มีหนังสือเล่มไหนหรือครูคนไหนที่จะสอนให้คุณเก่งได้ คุณจะมีสมาร์ทโฟน แท็บเบล็ทและแอพมากมายเพียงใด มันก็ไร้ประโยชน์ ถ้าคุณขี้เกียจ ไม่มีความตั้งใจจริง ไม่มีความอดทนหรือไม่ขวนขวาย คุณไม่จำเป็นต้องไปซื้อหนังสือแพงๆ อุปกรณ์การเรียนมาแช่ไว้ เสียดายเงินเปล่าๆ เรียนภาษาอังกฤษก็เหมือนกับเรียนขับรถ คุณจะขับได้ก็ต่อเมื่อคุณได้หัดขับก่อนเท่านั้น แล้วก็จะค่อยๆ ขับเก่งขึ้นเรื่อยๆ ตามชั่วโมงบิน ทุกอย่างอยู่ที่ตัวของคุณเอง ต้องใช้เวลา ต้องฝึกฝนบ่อยๆ ทบทวนด้วยความเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าคุณอยากเปิดโลกของตนให้กว้าง อยากได้ข้อมูลข่าวสารนอกเหนือจากที่เป็นภาษาไทย อยากมีชีวิตที่ก้าวไกล ควรตัดสินใจที่จะเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งตั้งแต่วันนี้