สวัสดีปีใหม่ 2017 ค่ะท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน

ฉันได้เป็นนักเขียนประจำคอลัมน์นี้มาได้ปีเศษแล้ว ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามและให้กำลังใจมาโดยตลอดค่ะ

ฉันเป็นหนึ่งในคนไทยหลายแสนคนที่ได้ตัดสินใจอพยพมาขุดทองที่อเมริกา ยุคโลกาภิวัตน์นี้ได้พาชาวไทยย้ายถิ่นฐานไปยังส่วนต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะไปทำงาน ลงทุน แต่งงาน หรือเรียนหนังสือ หลายคนก็มีลูกหลานที่แตกหน่อออกไปในประเทศนั้นๆ บ้างก็อยู่เพียงชั่วคราว บ้างก็ตั้งรกรากที่นั่นจนแก่เฒ่า ฉันโชคดีมากที่ได้มาตกอยู่ที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่นี่มีโอกาสมากมายให้ไขว่คว้า ตามแต่ใครจะหยิบฉวย ฉันได้ฉวยโอกาสดีๆ ที่ผ่านหน้ามาหลายครั้งจนทำให้ตัวเองขึ้นมายืนถึงจุดนี้ได้

ประเทศที่มีคนไทยเดินทางไปขุดทองมากที่สุดคือประเทศสหรัฐอเมริกา อเมริกาเป็นประเทศที่อ้าแขนต้อนรับชาวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลก (ถึงแม้ว่าในยุคหลังๆ การขอวีซ่าเข้ามาสำหรับคนไทยไม่ใช่เรื่องง่าย) ผู้อพยพเหล่านี้นี่แหละ ที่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่า ทำไมอเมริกาจึงเจริญเติบโตจนได้เป็นอภิมหาอำนาจ และทำไมจึงเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายซับซ้อน

รัฐแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่มีประชากรไทยและชาวอเมริกันเชื้อสายไทยอาศัยอยู่หลายแสนคน มากกว่าที่ใดๆในโลก เมืองลอสแองเจลลิส ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของรัฐ เป็นเมืองที่มีชาวไทยอาศัยอยู่นอกประเทศมากที่สุด จนได้ถูกขนานนามว่า เป็นจังหวัดที่ 78 ของไทยเลยทีเดียว

การที่อพยพมาอยู่จำนวนมากๆ เช่นนี้ มีหลายคนจำเป็นต้องใช้บริการด้านภาษาจากล่ามมืออาชีพ เช่น การขึ้นศาล การสัมภาษณ์เพื่อขอใบเขียว การไปพบแพทย์ การประชุม การสัมนาต่าง ฯลฯ

ฉันมีเรื่องเล่ามากมายจากประสบการณ์เป็นล่ามในสหรัฐอเมริกามากว่า 20 ปี สามารถที่จะนำมาเขียนเป็นหนังสือได้หลายเล่มหรือทำเป็นภาพยนต์ซีรีส์ได้เลยก็ว่าได้ แต่ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ท่านผู้อ่านได้อ่านต่อไปอีกนั้น ขอเล่าเรื่องย่อของตัวเองให้ฟังก่อนนะคะ

แม่ตั้งชื่อให้ฉันว่า "เบญจวรรณ" ซึ่งเป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤตแปลว่า ห้าสี ฉันเกิดที่กรุงเทพในปี พ.ศ. 2510 ตอนที่ฉันเกิดแม่บอกว่าฉันเป็นเด็กทารกที่สวยที่สุดที่แม่เคยเห็นมาและก็เป็นเด็กทารกที่สมบูรณ์แข็งแรง แปดปีก่อนหน้าที่ฉันจะเกิด พ่อกับแม่ได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ จากอำเภอยโสธร (ซึ่งตอนนั้นขึ้นอยู่กับจังหวัดอุบลราชธานี) ซึ่งอยู่ในภาคอีสานของประเทศไทยใกล้กับชายแดนไทย-ลาว ทั้งครอบครัวทางพ่อและทางแม่มีเชื้อสายลาวแต่เราเป็นลาวอีสานที่อยู่ฝั่งประเทศไทย ครอบครัวของเราเลยพูดได้ทั้งภาษาไทยและภาษาลาว

พ่อของฉันพูดภาษาอังกฤษได้อย่างดีทีเดียวเพราะพ่อได้เรียนภาษาอังกฤษกับฝรั่งตั้งแต่สมัยเป็นทหาร พอออกจากราชการทหาร พ่อก็ทำงานให้กับสายการบินอังกฤษ (BOAC) เป็นไฟลท์แพลนเนอร์ หรือผู้วางแผนตารางการบิน (เพราะสมัยนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์แบบสมัยนี้) พ่อเก่งภาษาอังกฤษมากจึงได้รับทุนจากสายการบินนี้ไปเรียนภาษาอังกฤษในระดับสูงที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก่อนที่ฉันจะเกิด ตอนนั้นเราอยู่กันที่กรุงเทพฯ แม่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านและเลี้ยงดูลูกๆ เองทั้งสี่คน (คนสุดท้องมาเกิดตอนเราย้ายกลับไปอยู่ที่ยโสธร)

หลังจากทำงานกับสายการบิน BOAC ได้สิบหกปี ก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของครอบครัวของเราต้องผกผัน วันหนึ่งพ่อถูกส่งตัวให้ไปดูงานที่ฮ่องกง และได้เห็นชีวิตของชาวนาที่นั่นที่ทำการเกษตรแบบพอเพียงโดยการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพ พ่อหลงรักการใช้ชีวิตแบบนี้อย่างท่วมท้น และในขณะเดียวกันก็เริ่มเบื่อกับชีวิตการทำงานที่ทำให้กับสายการบินที่มีนายคอยบงการตลอดเวลา แม่เสียใจและผิดหวังอย่างแรงเมื่อพ่อประกาศลาออกจากตำแหน่งที่ดีพร้อมเงินเดือนที่ดีมาก แม่และญาติๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงยอมทิ้งงานการบินเพื่อที่จะกลับไปทำงานการเกษตรในหมู่บ้านที่ยโสธร

การย้ายครอบครัวจากมหานครมาอยู่หมู่บ้านเล็กๆ เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารสำหรับเราทุกคน หมู่บ้านที่เราย้ายเข้าไปอยู่ชื่อบ้านดอนแฮด ที่มีชื่อนี้ก็เพราะชาวบ้านบอกว่าสมัยก่อนมีแรดอยู่เต็มไปหมด ญาติๆ ทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ได้อาศัยอยู่ที่ยโสธรมาหลายชั่วคน ตากับยายได้แบ่งที่ดินส่วนหนึ่งที่บ้านดอนแฮดให้พ่อเริ่มทำโครงการการเกษตรตามที่ได้วางแผนไว้ ที่ดินแปลงนั้นมีบ้านหลังเล็กๆ ที่ตาได้สร้างไว้ พ่อกับพี่ชายก็มาแต่งเติมให้เป็นที่พักใหม่สำหรับครอบครัวของเรา

หมู่บ้านที่เราอยู่ตอนนั้นยังไม่มีน้ำประปาและไฟฟ้า พ่อได้จ้างคนมาขุดบ่อเอาน้ำมาาใช้ แต่สำหรับน้ำดื่มเราใช้น้ำฝนจากหลังคาที่ไหลลงมาตามรางน้ำและท่อน้ำ แล้วเราจะเก็บมันไว้ในโอ่งดินขนาดใหญ่ แม่จะเอาน้ำฝนมาต้มไว้ใช้เป็นน้ำดื่ม แต่ฉันชอบดื่มน้ำฝนที่ยังไม่ต้มเพราะรสชาติออกหวานๆ ดี เรามีชีวิตที่เรียบง่าย ปลูกผัก เลี้ยงหมู ไก่งวงและไก่อื่นๆ ตอนนั้นฉันอายุได้แปดขวบและรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากทั้งๆ ที่เราไม่มีเงินมากมาย ฉันได้อยู่ใกล้ธรรมชาติ อากาศสดชื่น ฉันได้ปีนต้นไม้ เก็บผลไม้กิน และก็เล่นกับเด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน และยังได้หัดว่ายน้ำในแม่น้ำด้วย

ในช่วงที่เราใช้ชีวิตชนบทอยู่นั้น ฉันมักเห็นแม่ร้องไห้เป็นประจำ แม่หวนหาวิถีชีวิตที่เราเคยมีตอนอยู่กรุงเทพฯ แม่มักจะบอกฉันว่าฉันชอบกอดแม่และปลอบใจว่าแม่ไม่ต้องห่วงหรอกอีกหน่อยเราก็จะมีเงินและทุกอย่างก็จะดีเอง ฉันจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดกับแม่อย่างนั้นเพราะตัวเองยังเด็กมาก พอแม่ได้ยินฉันพูดแบบนี้ทีไรแม่ก็จะร้องไห้ทุกทีแต่ฉันก็ทำให้แม่รู้สึกดีขึ้น

เราอยู่ที่หมู่บ้านนั้นได้เพียงสองสามปี เงินบำเหน็จที่พ่อได้มาพร้อมกับเงินเก็บสะสมไว้ก็หมดลงเพราะธุรกิจการเกษตรของพ่อไม่ได้ทำกำไรอย่างที่คาดไว้ ทั้งพ่อและแม่ต้องหาวิธีที่จะเลี้ยงดูลูกทั้งห้า ตาของฉันก็ได้ให้ที่ดินผืนเล็กๆ อีกผืนหนึ่งกับแม่ที่อยู่ในตัวเมืองยโสธรเพื่อทำร้านอาหารเล็กๆ ณ ตอนนี้ยโสธรได้เป็นจังหวัดแล้ว ในเมืองเริ่มคึกคัก ตาบอกให้แม่ขายก๋วยเตี๋ยว ส้มตำ ไก่ย่าง ลาบและอาหารอีสานอื่นๆ ร้านอาหารของแม่เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วเพราะแม่ทำอาหารอร่อยมาก และร้านก็ตั้งอยู่ทำเลที่ดีเพราะอยู่ตรงข้ามกับปั๊มน้ำมันและป้ายรถเมล์ ร้านจึงมีลูกค้าอย่างไม่ขาดสาย อย่างไรก็ตาม รายได้จากร้านอาหารก็ยังไม่เพียงพอเพราะพวกเราทั้งห้าคนต้องเรียนหนังสือ เนื่องจากพ่อฉันพูดภาษาอังกฤษได้ดี พ่อเลยได้งานเป็นโฟร์แมนหรือหัวหน้าคนงานไทยที่ไปทำงานที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ช่วงพุทธทศวรรษ 2520 นั้นเป็นช่วงที่แรงงานไทยไปขุดทองที่ตะวันออกกลางจำนวนมาก

ร้านอาหารเล็กๆ ของแม่ตั้งอยู่ระหว่างอู่ซ่อมรถของน้าชายและร้านอาหารที่ค่อนข้างหรูของน้าสาว ซึ่งขายอาหารแตกต่างจากร้านของแม่ ฉันก็เลยเติบโตจากการบริโภคอาหารที่เอร็ดอร่อยและมีความคิดว่าเป็นธรรมดาที่อาหารทุกอย่างต้องอร่อยแบบนี้

ฉันอายุได้ประมาณ 11 ขวบตอนที่แม่เริ่มทำธุรกิจร้านอาหาร พี่ชายกับพี่สาวทั้งสองคนเป็นเด็กฉลาดมากและต่างก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้ พี่ชายไปเรียนคณะเกษตรศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ส่วนพี่สาวก็ได้ทุนไปเรียนที่คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉันก็เลยต้องเป็นพี่สาวคนโตคอยดูน้องชายคนเล็กทั้งสองคน ฉันช่วยแม่ทำงานที่ร้านอาหารทุกวัน หลายครั้งที่ฉันต้องตื่นนอนตอนตีห้าเพื่อไปจ่ายตลาดแล้วก็ต้องรีบกลับมาช่วยเปิดร้านก่อนที่จะไปโรงเรียน ที่ร้านจะมีเด็กสาวหนึ่งคนหรือสองคนมาช่วยทำงานที่ร้าน เช่น ล้างจาน เสริฟและงานจิปาถะอื่นๆ

ในช่วงชีวิตนี้ ฉันได้เรียนรู้ว่าการทำงานหนักเป็นอย่างไร ฉันต้องช่วยแม่ที่ร้านทุกเช้า ทำอาหารให้น้องชายทั้งสองคนและก็ช่วยเตรียมตัวไปโรงเรียนทุกวัน พอโรงเรียนเลิกก็ต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปช่วยแม่ที่ร้าน ในเวลาว่างฉันก็จะเรียนภาษาอังกฤษ พ่อสอนภาษาอังกฤษให้เราทุกคนทั้งการฟัง พูด อ่าน เขียน แต่ฉันเป็นลูกคนเดียวที่ใส่ใจที่จะให้ตัวเองเก่งภาษาอังกฤษเหมือนพ่อ ฉันไม่จำเป็นต้องมีแรงดลบันดาลใจที่จะเรียนภาษาอังกฤษ ฉันอยากเรียนให้เก่งเอง พอพ่อไปทำงานที่ตะวันออกกลางฉันก็ยังคงตั้งใจเรียนและวิชาภาษาอังกฤษได้กลายเป็นวิชาที่ฉันชอบเรียนที่สุดและฉันก็ทำคะแนนได้ดีกว่าทุกคนในชั้นเรียนเสมอ

เมื่อพ่อกับแม่ต่างก็ทำงาน ครอบครัวของเราก็เริ่มมีรายได้เข้ามา ชีวิตการเป็นอยู่ของเราก็ดีขึ้น เราซื้อทีวีสีเครื่องแรกในละแวกนั้น ต่อมาก็ซื้อมอเตอร์ไซค์ โทรศัพท์ติดบ้าน และก็ต่อเติมตึกเล็กๆ ที่เป็นร้านขายอาหารโดยทำขึ้นเป็นสองชั้น เรามีห้องของครอบครัวอยู่หลังร้าน และก็ได้ต่อห้องเพิ่มขึ้นบนชั้นสอง ฉันตื่นเต้นมากที่ได้มีห้องนอนส่วนตัวเป็นครั้งแรกเพราะฉันจะได้มีที่เรียนหนังสือเงียบๆ โดยที่ไม่มีสิ่งรบกวน