ข้อเสียของอาชีพล่าม Cons of Being an Interpreter

มีคนคอมเมนท์มาว่า ฉันมีแต่พูดถึงข้อดีข้อการเป็นล่าม อยากจะฟังข้อเสียว่ามีอะไรบ้าง วันนี้เลยจะพูดถึงข้อเสียหรือข้อที่เป็นลบของอาชีพนี้นะคะ

1. งานไม่แน่นอน

ถ้าคุณเป็นล่ามประจำให้กับบริษัท หรือภาครัฐแห่งใดแห่งหนึ่ง คุณก็ไม่ต้องห่วงจุดนี้ เพราะงานค่อนข้างจะมั่นคงอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณเป็นล่ามอิสระ อันดับแรกที่เป็นข้อเสียที่จะกล่าวถึงก็คือ งานมักจะไม่แน่นอน มีการยกเลิกและเปลี่ยนแปลงตารางอยู่เป็นประจำ หลายครั้งที่รับงานมาเป็นเดือนล่วงหน้า แต่พอใกล้ๆ ถึงวันงานจริงๆ กลับมายกเลิกกระทันหัน บางงานก็ได้ค่าตอบแทนบ้าง ซึ่งก็แล้วแต่สัญญา เช่นในสัญญาบอกว่าลูกค้าจะจ่ายให้กับล่าม 100% ถ้ายกเลิกภายใน 48% ชั่วโมง บางสัญญาก็จะให้แค่ 50% บางงานล่ามก็ไม่ได้อะไรเลย เพราะงานยกเลิกก่อนเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งก็เกิดขึ้นเป็นประจำ เช่นไม่นานมานี้ ฉันรับงานพิจารณาคดีที่รัฐแห่งหนึ่ง เขาจองตัวไว้ทั้งอาทิตย์ แต่พอถึงเวลาจริงๆ เดินทางไปถึงแล้ว ปรากฏว่าคดีสิ้นสุดภายในวันเดียว เลยได้ค่าจ้างเฉพาะวันที่ไปและวันต่อมาเท่านั้น ส่วนอีกสามวันที่เหลือไม่ได้ค่าจ้างเพราะศาลสามารถยกเลิกการว่าจ้างล่ามได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าแรงหากยกเลิกก่อน 24 ชั่วโมง เป็นต้น

มีหลายงานโดยเฉพาะงาน deposition (การเป็นล่ามให้พยานในคดีแพ่งก่อนคดีถึงขั้นศาล) ก็มีการยกเลิกและเลื่อนเป็นประจำ เดือนนี้ก็เจอสองเคสที่จองเราไว้เต็มวัน แต่โทรมาแคนเซิลไม่กี่วันก่อนวันงาน ทำให้ขาดรายได้ในวันนั้นๆ ไป บางทีมีงานดีๆ เข้ามาในช่วงเดียวกัน แต่ก็ต้องปฏิเสธไปเพราะได้รับปากกับลูกค้าเจ้านี้ไว้ก่อนแล้ว บางทีเวลามีงานที่ดีกว่าเข้ามา ฉันก็ยกเลิกลูกค้าที่เรารับงานไปแล้วเพื่อไปรับงานที่ดีกว่า แต่ปรากฏว่างานใหม่นั้นถูกยกเลิกไป เลยต้องสมน้ำหน้าตัวเอง จึงเหมือนกับเป็นการเสี่ยงดวงด้วยว่างานนั้นๆ จะเป็นไปตามตารางที่ลูกค้าจองไว้หรือไม่

สำหรับฉันแล้ว ตอนนี้ชินกับการถูกแคนเซิลงาน เพราะฉันชอบรับเคสใหญ่ๆ ซึ่งหลายครั้งทนายความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถมาได้ จึงต้องยกเลิกหรือเปลี่ยนวันอยู่เสมอ เมื่อรู้ว่ากรณีเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นและจะทำให้เราก็จะเสียรายได้ไป ฉันก็มีงานที่เป็นแบ็คอัพเผื่อไว้ เพราะเนื่องจากเป็นล่ามมานาน จึงมีลูกค้าอยู่ทั่วสหรัฐ มักจะมีความต้องการล่ามแบบ last-minute ตลอดเวลา บางทีต้องรีบขึ้นเครื่องไปต่างรัฐในวันนั้นเลย เพราะเราว่างแล้วสามารถรับงานด่วนได้ การเป็นล่ามแบบ last-minute ก็ดีตรงที่ลูกค้ามักจะยอมจ่ายค่าแรงในอัตราที่ค่อนข้างดี

ในกรณีที่เคสถูกยกเลิกและได้ค่าจ้างจากการยกเลิก บางครั้งฉันก็จะไม่รับเคสอื่น ถือว่าเป็นการพักผ่อน มีเวลาได้เขียนหนังสือและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และอีกอย่างฉันไม่กังวลเรื่องว่าจะขาดรายได้เพราะมีธุรกิจอื่นรองรับอยู่แล้ว และบางเดือนได้เงินจากการเป็นล่ามในเคสอื่นๆ เพียงพอแล้ว ฉันจึงบอกเพื่อนๆ ที่เป็นล่ามฟรีแลนซ์ที่ยังเป็นมือใหม่อยู่เสมอว่า ควรมีธุรกิจอื่น เช่นทำงานแปล งานนวดหรืองานร้านอาหารรองรับในกรณีที่งานล่ามยังไม่สม่ำเสมอหรือยังทำเงินให้เรายังไม่ดีพอ (หรือบางคนเกษียณแล้วแต่มาทำพาร์ตไทม์ ก็ไม่ต้องห่วงข้อนี้) แต่ถ้าได้งานล่ามสม่ำเสมอและเป็นงานที่รายได้ดีแล้ว ทำเพียงไม่กี่วันก็อยู่ได้ทั้งเดือน ก็ไม่จำเป็นต้องรับงานอื่นก็ได้

2. ต้องเดินทางมาก

คนที่จะทำงานล่ามอิสระต้องพร้อมที่จะเดินทาง พร้อมที่จะตื่นเช้า ขับรถในจราจรที่ติดขัด ใช้เวลาที่สนามบินเพื่อเดินทางไปทำงานต่างรัฐหรือต่างประเทศ ต้องห่างครอบครัวอยู่เนืองๆ เดินทางคนเดียว นอนพักโรงแรมคนเดียว ต้องปรับตัวกับเวลาและสถานที่ใหม่ๆ ร่างกายต้องพร้อมอยู่เสมอ ถ้าคุณโอเคที่จะเผชิญกับสถานการณ์ข้างบน ก็โอเคที่จะทำงานล่ามอิสระที่จะเดินทางไปทำงานในต่างเมือง ต่างรัฐหรือต่างประเทศ

เรื่องการเดินทางนี่ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับฉันเท่าไหร่ เพราะได้หาวิธีที่จะจัดการกับเวลาที่จะใช้ในการเดินทางได้เป็นอย่างดี ถ้าวันไหนจะต้องตื่นเช้ามาก ก็จะเข้านอนเร็วในคืนก่อนวันงาน ส่วนเรื่องรถติด ก็จะพยายามหลีกเลี่ยงเวลาและเส้นทางที่รถติดนั้น เช่น ไปทำธุระอย่างอื่นก่อนกลับบ้าน หรือนั่งรถไฟแทนการขับรถ ถ้าจำเป็นต้องขับรถช่วงรถติด หรือต้องขับระยะทางไกลๆ ก็จะเตรียมโปรแกรมต่างๆ ในยูทูบไว้เปิดฟังในรถ จึงเป็นเวลาที่มีโอกาสได้ศึกษาสิ่งที่ตัวเองสนใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเรื่องการดูแลสุขภาพแบบแพทย์วิถีธรรม เทคนิคการเป็นล่าม ฝึกเรียนภาษาใหม่ๆ เช่น ภาษาสเปน เป็นต้น

ส่วนการเดินทางไปเป็นล่ามต่างเมือง ต่างรัฐหรือต่างประเทศเป็นสิ่งที่ฉันชอบมาก ไม่ถือว่าเป็นอุปสรรค เพราะทุกครั้งถือว่าได้ไปเที่ยว ได้สะสมไมล์ ได้ไปเจอเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่ในเมืองที่เราไป ฉันไม่ห่วงเรื่องครอบครัวเพราะไม่มีลูก ส่วนสามีก็ไม่ต้องห่วงเพราะเขาดูแลตัวเองได้และเขาก็ชอบการเป็นส่วนตัวเวลาเราไม่อยู่ บางครั้งเราก็พาสามีเดินทางไปด้วย ถ้าเราไปเป็นล่ามในเมืองที่เขาอยากไป

ผู้เป็นล่ามที่ต้องเดินทางไกลนั้น ต้องมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง การเดินทางไกลๆ และเดินทางแทบตลอดเวลา เดินทางคนเดียว (ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็ง จิตตกก็มีนะ เพราะบางทีต้องขับรถไปที่ที่ไม่เคยไปเพียงลำพัง) ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ได้พักผ่อนน้อย จึงต้องรู้จักประมาณตน ต้องรู้จักพักรู้จักเพียร ถึงเวลาพักก็ต้องรีบพัก เพราะงานล่ามต้องใช้สมองมากโดยเฉพาะบางคดีล่ามต้องแปลให้พยานต่อหน้าคณะลูกขุนในคดีอาญาสถานหนักที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ล่ามต้องพักผ่อนให้เพียงพอ สมองต้องปลอดโปร่ง เสียงต้องชัดเจน บางทีล่ามเดินทางมาถึงดึกๆ วันรุ่งขึ้นต้องไปทำคดีใหญ่ๆ จึงต้องให้แน่ใจว่าเราพร้อมหรือไม่ สภาพร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง ต้องแปลให้ได้ดีที่สุดไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเพียงใด

3. ต้องพูดมาก

งานล่ามเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะการพูด ไม่ว่าจะแปลแบบฉับพลันหรือต่อเนื่อง ล่ามต้องพูดๆๆๆๆๆ ถ้าเป็นแบบฉับพลันก็จะได้มีโอกาสเบรคตอนที่สลับแปลกับพาร์ตเนอร์ แต่ตอนที่เบรคนั้น คือแค่หยุดพูดชั่วคราว มีเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อดื่มน้ำและไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น เรายังต้องตั้งใจฟังว่าเขาพูดอะไรกัน ต้องฟังพาร์ตเนอร์ของเราเพื่อช่วยเขาเวลาที่เขาคิดคำไม่ทันหรือแปลผิด หรือเวลาที่เขาเริ่มหลุดเรื่อยๆ เราอาจจะต้องช่วยเขาก่อนจะถึงคิวที่เราต้องแปล งานแปลฉับพลันจะต้องพูดมากและใช้สมาธิมาก บางงานถ้าคนจ้างเราขี้เหนียว ต้องการประหยัดเงินและให้เราแปลฉับพลันคนเดียว ขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่ารับนะคะ ควรให้แน่ใจว่าเรามีพาร์ตเนอร์มาเปลี่ยน โดยเฉพาะแปลแบบฉับพลันไม่ว่าจะแปลในศาล การประชุมแบบคอนเวนชั่นหรือคอนเฟอเรนซ์ควรมีคนมาสลับกับเราอย่างน้อยหนึ่งคน เคยมีครั้งหนึ่งที่ศาลหาคนมาช่วยแปลในการพิจารณาคดีฆาตกรรมโดยคณะลูกขุนที่ซานฟรานซิสโกไม่ได้ ต้องแปลคนเดียวสองอาทิตย์รวด ถึงแม้ผู้พิพากษาจะให้เบรคอยู่เรื่อยๆ ก็ทำให้เหนื่อยมาก จำเลยเขาต้องการฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดในศาลเพราะเป็นคดีสำคัญในชีวิตเขา จึงต้องแปลให้เขาฟังทั้งหมด ปรากฏว่าหลังจากคดีสิ้นสุดลง ฉันเป็นหลอดลมอักเสบและกล่องเสียงอักเสบเกือบเดือน ซึ่งไม่คุ้มกับค่าแรงเลย แต่ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด ตอนหลังพอมีลูกค้ามาเสนอค่าตัววันละ $1500 แต่ให้แปลฉับพลันคนเดียวทั้งงาน ฉันก็ปฏิเสธทันที บอกว่าเอาแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งเอาไปจ้างล่ามอีกคนมาช่วยดีกว่า เพราะฉันรู้ว่ามันไม่คุ้มกับสุขภาพที่เสียไป

ส่วนงานล่ามแบบต่อเนื่อง ส่วนมากจะได้ทำคนเดียว นานๆ ครั้งโชคดีก็มีล่ามมาช่วยเปลี่ยน การแปลแบบต่อเนื่องนี้ ล่ามยังมีเวลาได้พักเสียงเล็กน้อย ขณะที่ผู้บรรยายหรือผู้ที่ถามคำถามกำลังพูดอยู่ บางครั้งเราก็แปลไปทางทิศทางเดียว เช่น จากอังกฤษเป็นไทย แต่หลายครั้งต้องแปลทั้งสองทิศทาง เช่น การสืบพยานในศาลหรือในการทำ deposition ที่สำงานของทนายความ ล่ามจะต้องพูดทั้งสองภาษา เวลาที่มีล่ามเพียงคนเดียวจะรู้สึกเหนื่อยมากหลังจากแปลไปได้สี่หรือห้าชั่วโมง บางครั้ง deposition ทำตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เกินแปดชั่วโมง และต้องแปลคนเดียว ต้องพูดตลอดวัน ดังนั้น ล่ามต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมเพื่อที่จะพูดให้ชัดเจน แปลให้คนเข้าใจและถูกต้องในช่วงเวลาที่ยาวนาน

4. เป็นงานที่ค่อนข้างเครียด

งานล่ามได้เงินดีก็จริง แต่ก็เป็นงานที่ค่อนข้างเครียด ยิ่งงานที่ต้องแปลต่อหน้าสาธารณะหรือแปลให้คณะบุคคลสำคัญ เช่นผู้นำประเทศ หรือระดับรัฐมนตรีในงานประชุมนานาชาติ หรือแปลในศาลที่เป็นคดีอุกฉกรรจ์ การแปลในงานลักษณะนี้ ล่ามต้องเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าเพื่อให้คุ้นเคยกับเนื้อหาและคำศัพท์ที่ตนจะแปลในแต่ละงาน ล่ามต้องอ่านหนังสือหลากหลาย ติดตามข่าวสารบ้านเมืองเพื่อให้ตัวเองมีความรู้รอบตัวให้มากที่สุดซึ่งจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยในการเตรียมพร้อมเพื่อลดความเครียด

ล่ามจะต้องระวังอยู่เสมอ จะต้องคิดประมวลข้อมูลให้ไว เลือกสรรคำให้เหมาะสม แต่งประโยคเป็นภาษาที่ตนแปลให้ถูกต้องและรวดเร็ว บางทีก็มีการแปลผิดเกิดขึ้นได้ ซึ่งบางครั้งที่เป็นข้อมูลสำคัญก็ถึงกับต้องมาแก้ไขและอธิบายกันเลยทีเดียว ยิ่งในการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุนแล้วต้องระวังมาก ทุกคำ ทุกประโยคที่แปลมีความหมาย ซึ่งข้อนี้ก็ทำให้เครียดได้

ล่ามจะต้องตรงเวลา เวลารถติดหรือหลงทางบางครั้งทำให้ตัวเองไปสาย อันนี้ก็ทำให้เครียดได้ บางเคส ล่ามไม่ควรไปสายเลย เพราะมีทนายความหลายคนมารอเราอยู่ ทั้งผู้บันทึกรายงานศาล ผู้อัดวิดีโอ พยานที่จะให้การและคนอื่นๆ กำลังนั่งรอล่ามอยู่ พอล่ามเดินเข้ามา ทุกคนก็จะมองแบบให้เราเครียดไปเลยเพราะเป็นการทำให้ทุกฝ่ายเสียเวลา เสียเงินด้วย ทำให้ล่ามเสียหน้า ดูไม่เป็นมืออาชีพ ความน่าเชื่อถือลดลง ตัวฉันไม่เคยมีประสบการณ์อันนี้ ได้ยินเพื่อนล่ามเล่าให้ฟัง เพราะตัวเองมักจะไปก่อนเวลาเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความเครียด เพราะถ้าเครียดแล้ว ประสิทธิภาพในการแปลก็จะลดลง

เวลาขึ้นโรงขึ้นศาล ไปแปลที่สำนักงานทนายความหรือตามสถานพยาบาล ส่วนมากก็มีแต่เรื่องไม่ดี บางทีล่ามก็ต้องนั่งฟังเรื่องราวต่างๆ ที่เขาบ่นให้เราฟัง ฟังทนายความเถียงกัน ดูคนตีหน้ายักษ์ใส่กัน ซึ่งมีแต่เรื่องลบๆ สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เราเครียดขึ้นไปอีกได้

นอกจากความเครียดข้างต้นแล้ว ยังมีความเครียดเรื่องการทำงานร่วมกับผู้ว่าจ้าง เพื่อนร่วมงาน ผู้ประสานงาน ซึ่งข้อนี้ก็เป็นความเครียดที่มีอยู่ในงานทั่วไปเช่นกัน สำหรับงานล่ามที่ต้องทำงานกับพาร์ตเนอร์ที่ต้องแปลด้วยกันในบูธหรือต้องเดินทางร่วมกันในบางเคส ทีมงานล่ามควรเข้ากันให้ได้ดีเพราะต้องทำงานแบบประชิดตัวเป็นเวลาหลายชั่วโมง ควรเรียนรู้ที่จะประสานงานกันไม่ใช่ประสานงากัน ไม่แข่งขันหรือว่าให้กันในเชิงลบ ไม่อิฉาริษยากัน ไม่รายงานต่อนายจ้างเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานในเชิงลบเพื่อให้ตัวเองดูดี มีอะไรควรบอกกับเพื่อนร่วมงานดีๆ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ดีหรือไม่อาจที่จะทำงานร่วมกันได้อีก อย่าเคร่งกับกฎระเบียบมากเกินไป ล่ามบางคนที่เห็นมาทำงานแบบเครียดจัดเพราะไม่รู้จักยืดหยุ่น ทำให้ทั้งตัวเองและผู้ร่วมงานรอบข้างเครียดไปด้วย เราก็จะมีโอกาสได้เจอคนแบบนี้อยู่แล้วไม่ว่าจะสายงานใด ฉันมักจะบอกกับเพื่อนๆ ที่ฉันสอนวิชาล่ามว่า It's better to be kind than to be right. It's better to be a good person than a good interpreter. เพราะฉะนั้น จะต้องรู้จักลดอัตตาและเดินทางสายกลางเพื่อลดความเครียดในจุดนี้ด้วย

ตอนนี้ ข้อเสียหรือข้อที่เป็นลบของการเป็นล่ามที่คิดได้ก็มีเพียงเท่านี้ ถ้าเพื่อนๆ มีอะไรเพิ่มเติม กรุณาแชร์ประสบการณ์ด้วยนะคะ

จากนี้ไปทุกอาทิตย์ ฉันจะโพสท์คำศัพท์ที่ควรรู้อาทิตย์ละ 20 คำนะคะ และเดี๋ยวจะมีการทดสอบกันในกลุ่มล่ามของเรานะคะ ใครยังไม่ได้เข้ากลุ่ม ขอเชิญเข้ากลุ่มเฟซบุ๊คของเราได้ที่ Thai and Lao Interpreters Study Group ในหนึ่งปี เราจะได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่และทบทวนคำศัพท์เก่าได้ถึงหนึ่งพันคำ