รู้ภาษาอังกฤษ ชีวิตก้าวไกล ตอนที่ 3

ทักษะการฟัง Listening Skills

เป้าหมายของคนส่วนใหญ่ในการเรียนภาษาคือ อยากจะพูดให้เก่งๆ แต่จริงๆ แล้วก่อนที่จะเก่งพูดได้นั้น จะต้องเก่งฟังเสียก่อน ทักษะการฟังภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่ยากมากสำหรับคนไทย เราอาจสามารถพูดให้ฝรั่งฟังได้ หรือเขียนให้เขาเข้าใจได้ แต่พอเขาพูดมา เราไม่รู้เรื่องเลย ต้องคอยบอกให้เขาพูดช้าๆ หรือขอให้เขาเขียนให้จึงจะเข้าใจ ถ้าเป็นอย่างนี้บ่อยๆ เราก็จะเกรงใจ ไม่อยากที่จะขอให้เขาพูดซ้ำหรือเขียนให้เรา บ่อยๆ จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เรากลัวหรือหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยกับฝรั่ง

คุณจะต้องทำความคุ้นเคยกับการฟังภาษาอังกฤษให้มากที่สุดจากหลายๆ แห่งเพราะภาษาอังกฤษใช้กันทั่วโลก คุณอาจจะเลือกฟังสำเนียงจากประเทศที่คุณสนใจ ตอนสมัยที่ฉันเรียนชั้นประถมกับมัธยมต้น ส่วนมากจะได้ฟังภาษาอังกฤษแบบบริติช (British English) แต่พอตั้งแต่มัธยมปลายเป็นต้นมา ได้เปลี่ยนมาฟังภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน (American English) เพิ่มขึ้นเพราะอเมริกาเริ่มขยายอารยธรรมของการเป็นมหาอำนาจมาสู่ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นหนังหรือเพลงสากล ส่วนใหญ่จะมาจากอเมริกา ฉันจึงได้ฝึกหูตัวเองให้เข้าใจสำเนียงแบบอเมริกันมากว่าภาษาอังกฤษจากประเทศอื่นๆ ซึ่งก็ถือว่าโชคดีเพราะได้ฝึกฟังสำเนียงนี้มาตั้งแต่เด็ก และตอนโตได้ย้ายมาอยู่ในประเทศนี้

คุณสามารถฝึกฟังได้หลายวิธี เช่น จากการฟังเพลง ฟังวิทยุ พูดคุยกับเจ้าของภาษา ดูหนัง ดูรายการทีวี ดูคลิปต่างๆ จากยูทูบ ถ้าเป็นไปได้ ให้มีสคริปท์แล้วอ่านตาม หรือฟังซ้ำาแล้วซ้ำเล่าจนสามารถลอกเลียนเสียงและสำเนียงจนเข้าใจได้

มีหนังอเมริกันหลายเรื่องที่ฉันชอบดูมาก ดูเป็นสิบๆ รอบ ดูจนรู้ว่าตัวละครแต่ละตัวพูดอะไรในแต่ละฉาก ฉันจะฝึกฟังก่อน แล้วพยายามลอกเลียนเสียง สำเนียง การแสดงออก บางครั้งต้องดัดจริตไปกับเขา เพราะมีหลายคำที่เสียงภาษาไทยไม่มี สมัยนี้ดีขึ้นมาก เพราะในดีวีดีมีซับไตเติลเป็นภาษาอังกฤษที่เราสามารถอ่านตามได้ ทำให้ได้ฝึกฟังการออกเสียง พร้อมกับฝึกอ่านและเรียนคำศัพท์และสำนวนใหม่ๆ ไปพร้อมๆ กัน

วิธีหนึ่งที่ควรทำคือ อัดเสียงภาษาอังกฤษของตัวเองโดยการอ่านบทความหรือบทสนทนาสั้นๆ แล้วให้อาจารย์ เพื่อนที่เก่งภาษาหรือเจ้าของภาษาช่วยฟังและช่วยท้วงติง หรือใช้ยูทูบช่วยได้ มียูทูบหลายช่องที่สอนทักษะการฟัง จะมีสคริปท์ให้คุณอ่าน คุณก็อัดเสียงตามสคริปท์แล้วเปรียบเทียบกับเสียงของเจ้าของภาษา วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีมาก การได้ฟังตัวเองพูดนั้นจะทำให้คุณพัฒนาทั้งทักษะการฟังและการพูด จะทำให้การออกเสียงดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่จะต้องฝึกออกเสียงให้ถูกควบคู่ไปด้วย มิฉะนั้นแล้ว จะจำการออกเสียงที่ผิดจนเป็นนิสัย เพราะฉะนั้นควรให้ผู้รู้จริงช่วยฟังและแก้ไขการออกเสียงของคุณ เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่ฉันใช้เป็นประจำซึ่งคนส่วนมากที่เรียนภาษาไม่ค่อยทำกัน เพราะส่วนใหญ่ไม่นึกถึงเทคนิคนี้ หรือคิดว่ามันไม่สำคัญ หรืออาจจะอายเสียงตัวเอง ไม่ชอบเสียงตัวเอง หรืออายที่จะให้คนอื่นฟังเสียงอ่านภาษาอังกฤษของตัวเอง

การฟังเพลงเป็นประจำก็พอช่วยได้บ้าง แต่ควรมีเนื้อร้องที่คุณสามารถอ่านตามได้ ตอนนี้คุณสามารถหาเนื้อร้องจากกูเกิลได้ทุกเพลง การฟังเพลงเหมือนกับการฟังบทอาขยานให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกจนคุณจำเนื้อร้องได้อย่างขึ้นใจ

คุณอาจจะเปิดทีวีหรือวิทยุที่มีเสียงคนพูดทิ้งไว้เวลาทำงานบ้านหรือทำกิจกรรมอย่างอื่นเพื่อเป็นการฝึกหูให้คุ้นเคยกับสำเนียงและเสียงภาษาอังกฤษ พยายามฟังรายการที่หลากหลายทั้งที่พูดช้าๆ และที่พูดเร็วๆ ถึงแม้ว่าจะเข้าใจเพียงเล็กน้อยหรือไม่เข้าใจเลยก็ตาม

ทักษะการฟังนี้ จริงๆ แล้วยากมากถ้าคุณไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศที่พูดภาษานั้น ดังนั้นถ้าคุณอยู่เมืองไทย โอกาสที่จะได้ฟังภาษาอังกฤษจริงๆ ก็จะน้อยมาก ยกเว้นคุณหาโอกาสให้กับตัวเอง สำหรับคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ ถ้าคุณอยู่แต่ในกลุ่มคนไทย ทักษะการฟังภาษาอังกฤษของคุณก็จะไม่พัฒนาขึ้น

การฟังที่ดีจะทำให้คุณเข้าใจสิ่งที่คุณอื่นพูด เมื่อคุณเข้าใจดีแล้ว คุณจะสามารถตอบกลับได้อย่างรวดเร็วและจะสามารถสนทนาได้อย่างคล่องแคล่ว

สำหรับผู้เเป็นล่ามแล้ว ทักษะนี้สำคัญมาก ถ้าฟังไม่เข้าใจไม่รู้เรื่องแล้ว จะไม่สามารถแปลได้ ถ้าฟังไม่เข้าใจแล้ว คุณจะแปลให้กับผู้อื่นฟังได้อย่างไร ถ้าแปลไป ผู้ฟังก็จะได้ข้อมูลผิดๆ ถ้าแปลผิดบ่อยเข้า ก็จะไม่สามารถทำอาชีพนี้ได้นาน ดังนั้นเวลาที่ฉันทำงานล่าม ฉันจะตั้งใจฟังอย่างมาก พยายามฟังให้เข้าใจทั้งคำศัพท์ เนื้อหาและสิ่งที่ผู้พูดต้องการจะสื่อสารโดยรวม ทักษะนี้เป็นทักษะที่ยากที่สุดสำหรับผู้ทำงานล่าม

การฟังเป็นทักษะแรกของมนุษย์ที่ใช้ในการสื่อสาร ตอนเราเป็นเด็กทารก เราจะได้ยินเสียงพ่อแม่พูดกับเราก่อนที่เราจะพูดได้ การเรียนภาษาต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน คุณจะต้องฟังคนอื่นให้เข้าใจก่อนที่คุณจะสามารถพูดได้อย่างคล่องแคล่ว ถึงแม้คุณพูดได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ไม่เข้าใจคนอื่นพูดก็เหมือนกับนกแก้วนกขุนทองไป

ทักษะการพูด Speaking Skills

ทุกคนที่เรียนภาษาต่างก็อยากที่จะพูดให้เก่งกันทั้งนั้น ทุกคนอยากที่จะพูดเพื่อที่จะสื่อสารในสิ่งที่ตัวเองต้องการแสดงออกทางวาจา จริงๆ ฉันคิดว่าแล้วทักษะการพูดนี้ไม่ยากเลย ง่ายกว่าทักษะการฟังเสียอีก

ถ้าอยากพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง ก็ต้องฝึกพูดภาษาอังกฤษบ่อยๆ ฝึกให้มากที่สุดเท่าที่โอกาสจะอำนวย ควรฝึกอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ถ้าเป็นไปได้ให้ฝึกกับเจ้าของภาษา หรือไม่ก็หาเพื่อนที่อยากจะฝึกด้วยกัน ขอให้เจ้าของภาษาแก้ข้อผิดพลาดของคุณ ให้เขาช่วยเรื่องการออกเสียง ไวยากรณ์และเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญคือต้องไม่กลัวว่าจะพูดผิด อย่าอาย อย่าประหม่า พยายามพูดด้วยความมั่นใจถึงแม้จะพูดผิดก็ตาม ถ้าคุณกลัวว่าจะพูดผิด คุณจะไม่มีทางพูดได้คล่อง ให้พูดไปเลย ไม่จำเป็นต้องให้มันเพอร์เฟ็ค แรกๆ คุณจะพูดผิดอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือคุณต้องพยายาม คนส่วนใหญ่จะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเอง ให้ถามคนที่เราฝึกภาษาด้วยว่า พูดผิดตรงไหน มีอะไรที่จะต้องแก้ไขบ้าง สำหรับบางคนที่คิดว่าตัวเองพูดเก่งแล้ว แต่เวลาที่มีคนแก้ภาษาของคุณ ก็อย่าไปเคืองเขา ควรขอบคุณที่เขาช่วยแก้ภาษาให้ การฝึกพูดกับเจ้าของภาษาเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะพัฒนาทักษะนี้ให้อยู่ในระดับสูง

ฉันคิดว่าเหตุผลที่ตัวเองพูดภาษาอังกฤษได้ดีตั้งแต่ยังเด็กก็คือ ฉันเป็นคนไม่อาย พอเห็นฝรั่งฉันวิ่งเข้าหา ขณะที่เพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน เห็นฝรั่งแล้ววิ่งหนี ทั้งกลัวทั้งอายว่าจะต้องได้พูดภาษาอังกฤษ สมัยที่เรียนชั้นมัธยมที่จังหวัดยโสธร มีฝรั่งอาสาสมัครจากอเมริกามาทำงานที่นั่น และก็มีฝรั่งที่มาสอนศาสนาด้วย ฉันก็จะเข้าไปทักทายและฝึกภาษาด้วย ฉันยังติดต่อกับเพื่อนฝรั่งที่ฉันรู้จักในตอนนั้นมาจนถึงทุกวันนี้

หลายคนถามฉันว่า "แล้วจะไปหาฝรั่งที่ไหนมาฝึกภาษาด้วยล่ะ" คำตอบคือ คุณต้องสร้างโอกาสที่จะทำให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้น น้อยนักที่ฝรั่งจู่ๆ จะเดินเข้ามาหาคุณเอง คุณต้องพาตัวเองไปยังที่ที่มีฝรั่งอยู่ พยายามหาเพื่อนทางออนไลน์ หรือว่าอาจจะแลกเปลี่ยนภาษากัน โดยคุณสอนภาษาไทยให้เขาแล้วให้เขาสอนภาษาอังกฤษให้ หรือหาแฟนเป็นชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษไปเลย ถ้ามีเงินและมีโอกาส ก็ให้เดินทางไปประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ เช่นประเทศอเมริกา อังกฤษ คานาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น การไปอยู่ต่างประเทศและเรียนภาษาของประเทศนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด

ถ้าไม่มีชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษอยู่ใกล้ๆ คุณอาจจะจัดกลุ่มฝึกภาษากับเพื่อนๆ ไปเรียนพิเศษกับครูคนไทยที่มีคุณวุฒิ หาติวเตอร์เก่งๆ คุณอาจจะเลือกหัวข้อที่ให้ทุกคนออกมาพูดในแต่ละวัน เช่น วันนี้จะพูดเรื่องอากาศ เรื่องกีฬา เรื่องหนังที่ตัวเองชอบ

เคล็ดลับที่จะพูดภาษาอังกฤษให้ดีอีกข้อหนึ่งคือ ให้คิดหรือพูดกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ อันนี้อาจจะยากหน่อยสำหรับหลายคนเพราะไม่เคยคิดที่จะพูดกับตัวเองเป็นภาษาอื่น แต่ถ้าฝึกบ่อยๆ ก็จะสามารถทำจนเคยชินได้ และไม่ต้องพึ่งคู่หูที่จะฝึกภาษาด้วย การที่คิดเป็นภาษาอังกฤษจะช่วยให้พูดได้คล่องขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะคุณจะไม่ต้องเสียเวลาแปลจากภาษาไทย

นอกจากเทคนิคข้างต้นแล้ว การที่จะพูดภาษาอังกฤษให้ดีได้นั้น คุณจะต้องรู้ไวยากรณ์ให้แน่น พอไวยากรณ์ดีแล้ว คุณจะสามารถโฟกัสไปที่การออกเสียง ไม่ต้องไปห่วงหน้าพะวงหลังเรื่องไวยากรณ์ ถ้าไวยากรณ์คุณดีและคุณรู้ว่ามันดีแล้ว คุณจะรู้สึกมั่นใจและอยากที่จะพูดมากขึ้น ทำให้คุณสามารถพูดได้คล่องขึ้น แต่ก็อย่าไปห่วงเรื่องไวยากรณ์มากเกินไป ให้พูดไปก่อน ผิดแล้วค่อยมาแก้ทีหลัง ถ้าคุณรู้ไวยากรณ์ดี คุณจะรู้ว่าตัวเองพูดผิด และจะสามารถแก้ตัวเองไม่ให้พูดผิดในครั้งต่อไปได้

การออกเสียงก็เป็นปัจจัยสำคัญในเรื่องของการพูด ถึงแม้คุณจะพูดถูกไวยากรณ์เป๊ะๆ รู้คำศัพท์มากมาย แต่ออกเสียงไม่ถูกต้อง คนฟังก็อาจไม่เข้าใจคุณเลย หรือเข้าใจเพียงเล็กน้อย ทำให้การสื่อสารนั้นไม่ประสบความสำเร็จ กรุณาดูเทคนิคการออกเสียงในช่วงหลังของบทนี้

ถ้าคุณยังพูดไม่เก่งหรือยังไม่มั่นใจในเรื่องที่จะพูด คุณควรเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าว่าจะพูดอะไร เช่น ต้องการจองที่พักในโรงแรมหรือการสัมภาษณ์ขอวีซ่า คุณก็เตรียมว่าจะพูดอะไร ถ้ามีคำไหนที่คุณไม่รู้ คุณก็สามารถเปิดดิกดูก่อนล่วงหน้าได้ ให้คิดดูว่าอีกฝ่ายจะถามคำถามอะไรบ้าง และคุณจะได้เตรียมคำตอบได้ ถึงแม้ในสถานการณ์จริง อาจจะไม่ได้เป็นไปตามที่ได้เตรียมไว้ แต่อย่างน้อยก็ยังสร้างความมั่นใจให้ได้บ้าง

ทักษะการฟัง การอ่าน การเขียนเป็นทักษะที่คุณสามารถฝึกเองได้ แต่ทักษะการพูดนั้นจำเป็นต้องฝึกบ่อยๆ กับบุคคลอื่น เพราะการพูดเป็นวิธีที่คุณใช้สื่อสารเพื่อให้คนอื่นเข้าใจคุณ