กว่าจะมาเป็นล่ามที่อเมริกา How I Became an Interpreter in America

ตั้งแต่ฉันได้เปิดเพจแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการล่ามกับเพื่อนร่วมอาชีพบนเฟซบุ๊ค ก็ได้รู้จักกับผู้ประกอบอาชีพล่ามทั่วโลก และได้มีกัลยาณมิตรเพิ่มขึ้นจำนวนมาก หลายคนได้มาสมัครเป็นลูกศิษย์ เพื่อให้ฉันสอนวิชาการล่ามให้ หนึ่งในนี้เป็นเจ้าของบทความข้างล่างนี้ เป็นบทความของนักสู้ชีวิตในอเมริกาที่ผู้อ่านไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง


กว่าจะมาเป็นล่ามที่อเมริกา

How I Became an Interpreter in America

ร.ต.ท.หญิง ศิริวรรณ เจริญพีระเสถียร อดีตรองสารวัตรกองตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะดำเนินชีวิตและไขว่คว้าไปในทางที่ถูกต้องเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เราหวังได้ อย่างสุภาษิตที่ฉันเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กว่า “ความจนไม่เคยอยู่ในหมู่คนขยัน” อันนี้จริงค่ะ ถ้าเราไม่ได้เกิดมาจากตระกูลหรือครอบครัวที่มีฐานะ เราก็ต้องทำงานหนัก ขยัน และอดทนกว่าคนที่เขามีทุนมาตั้งแต่เกิด และที่สำคัญ เราต้องมีใจที่จะเรียนรู้แบบไม่หยุดนิ่งด้วย

ในวัยเด็กเราอาจไม่เคยคิดหรือฝันว่าเราจะสามารถไปถึงจุดใดจุดหนึ่งของชีวิตได้ แต่เมื่อเราโตขึ้นและได้เรียนรู้ ชีวิตมากขึ้น เราก็จะเรียนรู้ว่าทุกอย่างมักจะมาจากความไม่แน่นอนและนอกเหนือจากความคาดคิดเสมอ ซึ่งมันก็เหมือนกับชีวิตของฉัน จากเด็กบ้านนอก สถานะทางครอบครัวเรียกได้ว่า “จน” กลายมาเป็นพยาบาลและล่ามในอเมริกา กว่าจะมาถึงวันนี้ ชีวิตของฉันก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันโรยไปด้วยหนามกุหลาบมากกว่า ฉันผ่านมาทั้งความเจ็บปวด ล้มเหลว หมดหวัง คิดแม้แต่จะฆ่าตัวตาย และสุดท้าย ฉันคิดว่าฉันประสบผลสำเร็จขั้นหนึ่ง ที่ฉันสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ ซึ่งมันไม่ง่ายเลยแต่มันสามารถเป็นไปได้ ไม่ว่ากับฉันหรือกับทุกคน

แค่เพียงคุณให้ความสำคัญและให้เวลากับสิ่งที่จะนำคุณไปถึงเป้าหมาย อย่ายอมแพ้ต่ออุปสรรค รู้จักรักและให้กำลังใจตัวเองให้มาก

ฉันจึงอยากแชร์ประสบการณ์ชีวิตของฉันบางส่วนให้ทุกคนได้อ่านและเก็บไปเป็นข้อคิดชีวิตในวันเด็กวัยเด็กจนถึงทุกวันนี้ ฉันผ่านอะไรมาบ้าง ต้องต่อสู้ชีวิตมาแบบไหน ประสบความสำเร็จและความล้มเหลวอะไรมาบ้าง จุดไหนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตฉัน และอะไรที่ทำให้ฉันมาถึงจุดนี้ ได้จำไว้ว่า “It’s not easy but it’s possible.”

ฉันมีพี่น้องห้าคน เป็นลูกสาวคนที่สี่ เกิดที่จังหวัดอุบลราชธานี ด้วยความที่ฐานะครอบครัวที่บ้านจน พ่อและแม่ของฉันได้พาพวกเราห้าพี่น้องอพยพไปอยู่จังหวัดนราธิวาส ตามโครงการพระราชดำริแบ่งปันที่ ทำกินให้กับผู้ยากไร้ ที่เราไปอยู่นั้นสุดแสนจะกันดาร ไม่มีไฟฟ้า หรือถนนดี ๆ และห่างไกลความเจริญมาก นาน ๆ ที พวกเรา (เด็กๆ ในหมู่บ้าน) จะเห็นมอเตอร์ไซด์ขับผ่านเข้ามาในหมู่บ้านสักที เราจะวิ่งตามท้ายรถมอเตอร์ไซด์ และส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นและสนุกสนาน เราจะพากันสูดหายใจเอากลิ่นควันรถเข้าไปเต็มปอด เพราะคิดว่ามันเป็นกลิ่นที่แสนวิเศษ ที่เราไม่ได้มีโอกาสสัมผัสง่ายๆ ในตอนนั้น โดยที่เราไม่รู้เลยว่าเราได้สูดเอาควันพิษเข้าไป เรามีความสุขกับสิ่งที่เรามี เรามีรองเท้ายางเก่าๆ ถ้ามันขาดเราก็ซ่อมใส่ เสื้อผ้ากางเกงก็ใส่ของเหลือจากพี่ ๆ เราไม่มีโทรทัศน์ ตู้เย็น หรือน้ำปะปาใช้ แต่พวกเราก็มีความสุข เพราะเราไม่เคยเปรียบเทียบชีวิตเรากับโลกภายนอก เพราะสิ่งที่เราเห็นก็มีอยู่แค่นั้น

ตอนฉันเริ่มเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ พ่อและแม่ของฉันได้ พาพวกเราไปอยู่ในตัวเมือง ตรงที่เราอาศัยอยู่ก็คือสลัมที่ อยู่หลังสถานีรถไฟ แต่นั่นมันคือวิมานของพวกเราเพราะเราได้เห็นรถไฟ รถยนต์ มอเตอร์ไซด์ ตึกรามบ้านช่อง และเราได้ยินเสียงรถไฟดังอย่างต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน โดยที่เราไม่รู้สึกรำคาญเลย มันกลับเป็นเหมือนเสียงเพลงกล่อมพวกเรามากกว่า

ฉันเริ่มทำงานตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ ฉันตื่นไปทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงหกโมงเย็น ได้รับเงินเป็นค่าจ้างวันละ ๑๐ บาท ฉันจึงรู้จักใช้เงินอย่างประหยัด เก็บหอมรอมริบและทำงานเป็นตั้งแต่เด็ก ตอนที่ฉันอายุแปดขวบ นอกจากมีหน้าที่ไปโรงเรียนแล้ว ตอนเย็นกลับบ้านฉันก็ช่วยแม่ ทำงานบ้านสารพัด วันหยุด วันเสาร์และอาทิตย์ ฉันก็จะออกไปรับจ้าง เพราะฉันทำงานแล้วได้เงินฉันจึงชอบที่จะทำงาน

พ่อและแม่ของฉันได้ พาพวกเราอพยพกลับไปอยู่อุบลราชธานีตอนฉันขึ้นมัธยมปีที่ ๑ เพราะพ่อของฉันเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งตัว ไม่สามารถทำงานได้ ฉันเริ่มที่จะไปออกไปทำงานรับจ้างเพื่อช่วยแม่ของฉัน จนฉันเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ ๓ หลังจากนั้นฉันได้สอบเข้าเรียนที่วิทยาลัยอาชีวะศึกษาอุบลราชธานีในสาขาบริหารธุรกิจ พ่อและแม่ฉันไม่มีเงินส่งให้ฉันเรียนต่อ ฉันต้องรับจ้างทำงานเพื่อส่งเสียตัวเองและเป็นภาระของครอบครัวให้น้อยที่สุด ปิดเทอมหน้าร้อน ฉันก็จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ กับคนในหมู่บ้าน เพื่อมาทำงานก่อสร้างและเก็บเงินไปเรียนต่อ แน่นอน ที่ๆ ฉันพักก็คงจะไม่พ้นสลัมดีๆ นี่เอง

พอฉันจบการศึกษาจากวิทยาลัยอาชีวะศึกษาและได้รับใบประกาศนียบัตรสาขาการบัญชี ฉันก็ได้สอบแข่งขันเพื่อบรรจุ เข้ารับราชการเป็นตำรวจชั้นประทวน และแล้วฉันสอบผ่าน และถูกบรรจุแต่งตั้ง ฉันดีใจมาก เพราะฉันได้เป็นตำรวจตั้งแต่ อายุ ๑๘ ปี มันโก้มากๆ เลยนะ ยิ่งกว่าถูกหวยเป็นล้านเลยล่ะในตอนนั้น แต่เงินเดือนที่ฉันได้รับมันน้อยมาก ฉันต้องส่งเสียงตัวเองเรียนหนังสือต่อในระดับปริญญาตรี ช่วยน้องชายที่กำลังเรียน ส่งเงินให้พ่อและแม่ ค่ากินและค่าใช้จ่ายอีกมากมายสรุปแล้ว ฉันก็ต้องหางานเสริมอีกนั่นแหละ

วันจันทร์ – วันศุกร์ ฉันเป็นตำรวจ วันเสาร์และอาทิตย์ฉันไปขายของที่ตลาดนัดจตุจักร (เฮ้ย! ชีวิตฉันเมื่อไหร่จะสบายแบบคนอื่นเขาบ้างนะ) และฉันเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะค่าเทอมไม่แพงมาก จัดเวลาเรียนเองได้โดยที่ไม่ต้องไปนั่งเรียนทุกวัน เวลาไปสอบทีก็สนุกจะตาย เพราะฉันต้องขึ้นรถเมล์ ระหว่างทางก็ลุ้นไปว่าจะโดนกรีดกระเป๋าหรือเปล่า จะโดนพวกโรคจิตจับตูดมั้ย บางทีฉันก็เดินทางโดยเรือ ยิ่งสนุกใหญ่ กลิ่นควันจากเรือและน้ำเน่าคลองแสนแสบ ทำให้ฉันเมาได้ยิ่งกว่ากินเหล้า ๔๐ ดีกรีซะอีก แต่นักศึกษาจบมาแล้วก็มีคุณภาพเหมือนฉันนี่ไง สถาบันดีช่วยผลิตคนที่มีคุณภาพ แต่คนที่มีคุณภาพก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถาบันเพียงอย่างเดียว (ใช่มั้ยคะ)

หลังจากที่ฉันจบการศึกษาและได้ รับประกาศนียบัตรระดับปริญญาตรี ในสาขาบริหารรัฐศาสตร์ ฉันก็สอบแข่งขันกับคนทั้งประเทศ (ประมาณเกือบแสนคน แต่รับบรรจุแต่งตั้งแค่ ๑๙๐ ตำแหน่ง) เพื่อบรรจุเป็นตำรวจชั้นสั ญญาบัตรในส่วนของตำรวจตรวจคนเข้ าเมือง ท่าอากาศยานกรุงเทพฯ

ในที่สุด ฉันก็ผ่านด่านอรหันต์และติดหนึ่งในบรรดาผู้เก่งกล้า ได้เข้าอบรมในโรงเรียนเส้าหลินที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะมี โอกาสเข้าเรียน คือ โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานยังไงล่ะ พอจบมาฉันก็ได้ติดยศเป็น ร้อยตำรวจตรีหญิง (โก้มากไปกว่าเดิมเลยล่ะ คุณว่ามั้ย) ด้วยความที่ตำแหน่งสูงขึ้นและทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมีเบี้ยเลี้ยงและเงินสนับสนุนอย่างอื่นให้ (ก็หลายบาทอยู่) ฐานะทางการเงินของฉันก็ดีขึ้นมาทันที

ขอเสริมอีกนิดนึงนะ ตอนสมัยสาวๆ ฉันเป็นคนหน้าตาดี เคยมีคนรวยมาเสนอให้ฉันเป็นอีหนูหรือเมียน้อย แต่ฉันเลือกที่จะกินศักดิ์ศรี ทนไส้กิ่ว ดีกว่าจะไปเป็นผีสิงตามบ้านน้อยรอคอยส่วนบุญหรือเศษเงินของเสี่ย ๆ ฉันถึงลำบากอยู่นี่ไง แต่ฉันก็ภูมิใจนะที่ฉันหากินด้วยลำแข้ง ไม่ได้หากินด้วยที่นาผืนน้อยที่ ติดตัวมาตั้งแต่เกิด อันนี้นานาจิตตังนะคะ ไม่ได้ว่าให้ใคร ใครใคร่ค้า ๆ ใครใคร่ขาย ๆ ค่ะ

จุดเปลี่ยนผันของชีวิตของฉันก็เริ่มขึ้น ฉันได้เจอแฟนของฉันซึ่งเป็นคนอเมริกัน ฉันก็อยากจะได้สามีฝรั่งเหมือนคนหลาย ๆ คนบ้าง ช่วงแรกฉันยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ อเมริกาเต็มตัวแค่ไป ๆ มาๆ แจ๊คพ็อตแตกค่ะ ในที่สุดฉันก็ตั้งท้อง ฉันจึงตัดสินใจลาออกจากงานราชการที่ฉันรักเพื่อมาใช้ชีวิตครอบครัวกับสามีและลูกที่อเมริกา เมื่อฉันมาถึง ทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิดเอาไว้

ฉันมาอยู่อเมริกาได้เพียง ๕ เดือนและท้องได้ ๗ เดือน หมอที่ฉันไปฝากท้องด้วยก็ ตรวจพบว่าเด็กในท้องของฉันผิดปกติ ฉันจึงถูกเก็บตัวให้นอนโรงพยาบาลด้วยอุปกรณ์ การแพทย์แปะเต็มตัวเต็มท้องไปหมด ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะภาษาอังกฤษยังไม่ดีพอ ได้แต่เดาและประติดประต่อ พร้อมเปิดดิกชันนารี

วันต่อมาทางโรงพยาบาลได้ส่งฉันไปอยู่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งเพราะว่ามีหมอเฉพาะทางที่จะช่วยฉันและลูกในท้องได้ แต่ฉันก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ดี พอฉันถึงโรงพยาบาลแห่งที่ สองในตอนบ่าย ๆ หมอเข้ามาคุยอะไรกับสามีฉันก็ ไม่รู้ ฉันเข้าใจแค่ว่าหมอฉีดยาเร่งคลอดให้ฉัน กำหนดคลอดอาจจะพรุ่งนี้เช้า ในเวลาไม่ถึง ๔ ชั่วโมง ก็มีทีมหมอและพยาบาลบอกว่าฉันจะต้องถูกส่งตัวไปห้องผ่าตัดเดี๋ยวนี้ เพราะเกิดการผิดปกติต่อเด็กในครรภ์ ไม่อย่างงั้นจะเป็นอันตรายต่อแม่และเด็ก ฉันทำอะไรไม่ถูก จึงขอหมอโทรหาแม่ที่เมืองไทยก่อนเข้าห้องผ่าตัด ฉันกลัวมาก ฉันโทรหาแม่ด้วยเสียงสั่นเครือด้วยความกลัวและร้องไห้ แม่ฉันก็ร้องไห้และอวยพรให้ฉันและลูกปลอดภัย

หลังจากที่ลูกคลอด ฉันไม่มีโอกาสพบลูกเลย จนถึงวันสุดท้ายก่อนฉันจะออกจากโรงพยาบาล มีพยาบาลพาฉันไปหาลูกอีกห้องหนึ่งซึ่งมีเด็กเต็มไปหมด เด็กส่วนใหญ่ก็มีสายอะไรต่อมิอะไรแปะติดตามตัว ตามหัวเต็มไปหมด และมีเด็กหลายคนอยู่ในตู้อบ ฉันได้แค่ยืนดูลูกซึ่งนอนหลับแบบแทบจะมองไม่เห็นว่ายังมี การหายใจอยู่ในตู้อบ โดยที่ไม่มีโอกาสได้อุ้มลูกเหมือนคนอื่นเขา ฉันได้แต่ร้องไห้เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกของฉัน

ตั้งแต่ลูกฉันคลอดออกมา (คลอดก่อนกำหนด) ฉันเทียวไปโรงพยาบาลเพื่อดูลูกของฉันทุกวัน ฉันพยายามปั๊มน้ำนมไปให้ลูกทุกเช้า แต่ลูกของฉันไม่สามารถดูดนมได้ ต้องสอดสายให้อาหารผ่านทางจมูก ฉันเจอหมอ พยาบาล และโซเชี่ยลเวิร์คเกอร์ (นักสังคมสงเคราะห์) ทุกวัน พวกเขาพยายามจะคุยและอธิบายให้ ฉันฟัง แต่ฉันก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง

ในระหว่างที่ลูกฉันถูกเก็บตัวไว้ในโรงพยาบาล สามีของฉันก็เริ่มจะแสดงอาการผิดปกติบางอย่างออกมาให้เห็น สามีฉันจึงไปทำการตรวจเช็คร่างกายโรงพยาบาลที่ลูกฉันอยู่ ผลการตรวจแบบคร่าว ๆ ออกมาว่า สามีฉันเป็นมะเร็ง แต่ยังไม่ยืนยัน หมอจึงส่งสามีฉันไปตรวจเพื่อทำการยืนยันอีกหลายที่ หลังจากฉันและสามีได้ไปพบหมอผู้ เชี่ยวชาญทางด้านมะเร็ง ผลก็ออกมาว่า สามีฉันเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ าย ฉันคิดอะไรไม่ออก และไม่มีอะไรจะพูดในตอนนั้น มันเหมือนกับฟ้าผ่าลงบนหัวฉัน เหมือนมีใครเอามือมาบีบคอบีบหัวใจฉันอย่างเจ็บปวด ทุกวันฉันจะไปดูสามีและลูกขึ้น ๆ ลง ๆ ในโรงพยาบาลเดียวกัน บ้านก็ไม่ได้กลับ ค่าบ้านก็ไม่ได้จ่ายเพราะแฟนไม่ มีรายได้ ในที่สุดก็ไม่มีที่อยู่

ฉันมาเข้าใจว่าลูกฉันเป็น down síndrome (โรคที่เกิดจากความผิดปกติ ของสารพันธุกรรมที่เป็นมาแต่กำเนิด) หรือ trisomy 18 แต่กรณีของลูกฉันเข้าขั้นร้ายแรง ซึ่งถ้ามีชีวิตอยู่ก็จะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ ชิดและใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจไปตลอดชีวิต ลูกผิดปกติตั้งแต่สมอง สายตา หู ปอด ตับ หัวใจ ไต ม้าม และหมอไม่รับรองผลในการรักษาใด ๆ ทุกวันหมอ พยาบาลและโซเชี่ยลเวิร์คเกอร์ก็ จะมาคุยกับฉัน เหมือนจะให้ฉันตัดสินใจว่าจะทำการรักษาต่อไปหรือไม่

จนลูกฉันอายุได้ ๓ เดือน หมอมาคุยกับฉันว่า ระบบการย่อยไม่ทำงานและหัวใจมี รู ๓ รู ต้องทำการผ่าตัดด่วน แต่ไม่รับรองความปลอดภัยเพราะเด็กเล็กมาก สภาวะของร่างกายในส่วนอื่นก็ไม่พร้อม หมอและทีมผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายให้ทางเลือกในการรักษาลูกกับฉัน ให้ฉันออกความเห็นว่าฉันมี ความต้องการจะให้มีการรักษาอย่างไรในฐานะแม่ เมื่อฉันมองไปเห็นสามีที่ป่วยอยู่ และคิดว่าเขาก็คงจะเหลือเวลาอีกไม่นานเช่นกัน แล้วลูกฉันอาจจะทรมานหรือเสียชีวิตในระหว่างผ่าตัด หรือ หลังผ่าตัด ฉันก็ไม่รู้ ถึงแม้ว่าจะรอดคราวนี้ ก็ต้องมีการผ่าตัดอีกหลายอย่าง และลูกจะรู้มั้ยว่าความสุขสนุกสนานเหมือนเด็กทั่วไปนั้นจะเป็นอย่างไร ลูกจะรู้หรือเปล่าว่าฉันคือแม่ ฉันจึงตัดสินใจและบอกหมอว่า “ I will let her go. I do not want to see her suffer anymore” (ทุกครั้งที่ฉันอ่านผ่ านประโยคนี้ น้ำตาฉันจะไหลและรู้สึกเจ็บปวดตลอด ตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่เคยพูดประโยคนี้จบก่อนที่ ฉันจะร้องไห้) หัวใจฉันแตกสลายเมื่อฉันตัดสินใจในการที่จะปล่อยให้ลูกฉันจากไปอย่างสงบ จะไม่มีการรักษาหรือผ่าตัดใดๆ ทั้งสิ้น และแล้วลูกฉันก็จากไปในขณะที่ เขาหลับอยู่บนอกของฉันในวันต่อมา และวันนั้นก็คือวันครบรอบแต่งงาน ๑ ปี ของแม่และพ่อของเด็กน้อยที่ จากไปอย่างสงบนั้น

หลังจากที่ลูกฉันเสีย อาการของสามีฉันก็เริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ ทั้งคีโมและฉายรังสีทำให้สามีฉันดูผอม โทรม และดูแย่มาก สุดท้ายสามีฉันก็เข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิตที่ Hospice Care Center (หรือที่รอตายดีๆ นี่เอง) ในระหว่างนั้น สามีฉันร้องทุรนทุรายตลอดเวลาเพราะมะเร็งได้ ลามเข้าไปในกระดูก ตกกลางคืนฉันนอนบนเก้าอี้ในห้องที่สามีฉันพักอยู่ มองดูสามีตัวเองร้องด้วยความเจ็บปวดและน้ำตาของฉันก็ ไหลออกมาไม่หยุด ฉันร้องไห้โดยที่ไม่มีเสียง ในที่สุดทีมหมอและพยาบาลจึงปรึกษาฉันอีกครั้ง หมอบอกฉันว่าหมอให้ยามอร์ฟีนทุก ๆ ๔ ชั่วโมง แต่สามีฉันก็ยังเจ็บปวดร้องทุรนทุราย ให้ทางเลือกในการรักษาสามีฉันอีก หมอบอกฉันว่า ถึงตอนนี้หมอคงทำอะไรมากไม่ได้ นอกจากให้ยานอนหลับเพื่อให้สามี ฉันหลับไปเลยจนกว่าเขาจะจากไปเอง จะได้ไม่ต้องตื่นขึ้นมาทรมานอีก แต่ยานอนหลับไม่ได้ฆ่าสามีฉัน มะเร็งต่างหากคือสิ่งที่ฆ่าสามีฉัน ฉันจึงตัดสินใจให้หมอให้ ยานอนหลับเพราะไม่อยากเห็นสามี ฉันตื่นขึ้นมาทรมานอีก สองครั้งที่ฉันต้องตัดสินใจแบบนี้ ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน บางครั้งฉันก็เคยคิดในใจว่า ทำไมหมอหรือเทคโนโลยี ทางการแพทย์ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ให้ฉันเลือกบ้าง สามวันต่อมาสามีฉันก็ได้จากไปโดยมีฉันก็อยู่ข้าง ๆ จนลมหายใจสุดท้าย

ในกรณีความผิดพลาดเกี่ยวกับลูกของฉันที่คลอดออกมาโดยที่ หมอไม่สามารถตรวจพบสิ่งปกติ ในระหว่างที่ฉันตั้งครรภ์ ฉันและสามีได้จ้างทนายฟ้องร้องโรงพยาบาลและหมอก่อนที่สามีฉันจะเสียชีวิตเป็นเงินหลายล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่เพราะการที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษและไม่รู้ว่าจะไปหาใครมาช่วยเป็นล่ามให้ (อันนี้คือเรื่องที่สำคัญ ว่าทำไมเราต้องการล่าม) รวมทั้งฉันอยู่ในระหว่างโศกเศร้า การเดินทางไปหาทนายก็ไม่สะดวกเพราะฉันยังไม่มีใบอนุญาตขับรถที่อเมริกา ฉันจึงยกเลิกการฟ้องร้องและปล่อยให้คดีจบไปจนเท่าทุกวันนี้ แต่ฉันก็ยังเก็บสำนวนที่ทนายส่งมาให้ฉัน ซึ่งฉันก็ไม่เคยแกะดู เผื่อว่าวันนึง ฉันอยากจะเปิดอ่านขึ้นมา

ฉันทำงานร้านอาหารใกล้ที่พักก่อนหน้าที่สามีฉันจะเสียแค่เดือนกว่า ๆ หลังจากที่สามีฉันเสียชีวิต ฉันทำงานอย่างหนักแบบไม่มีวันหยุด เพื่อเก็บเงิน แต่ฉันยังไม่มีความคิดที่จะเรียนต่อ ฉันทำงานทุกวัน อะไรที่เจ้าของร้านบอกฉันก็จะทำตามแบบไม่ให้ตกหล่น ลูกค้าที่รู้เรื่องของฉัน เขาก็พากันรักและสงสารฉัน แต่ทำไมคนไทยที่ฉันร่วมงานด้วยกลับทำอะไรแย่ๆ ใส่ฉัน ดูถูกฉันเรื่องภาษา ทำกริยาใส่ฉันเหมือนกับฉันเป็นยิ่งกว่าหมาข้างถนน บางทีฉันอดคิดไม่ได้ว่า ฉันล้มแล้วใครๆ ก็ข้ามได้อย่างนั้นหรือ ถ้าไม่คิดว่าฉันเป็นเพื่อนหรือคนไทยด้วยกัน ทำไมไม่คิดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่อยู่ในช่วงของความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกและสามีบ้ าง พูดดีกับฉันบ้างได้มั้ย แม้แต่วันที่สามีฉันเสีย ไม่มีแม้แต่คำว่าเสียใจด้วยนะจากคนไทยด้วยกัน คนในครัวรวบรวมเงินมาช่วยเหลืองานศพสามีฉัน เยอะมากเลยค่ะ ตั้ง $40 แหนะ ฉันจำได้อย่างชัดเจน แต่ลูกค้าที่เป็นอเมริกัน ทยอยกันมาหาฉัน ที่ร้านอาหารที่ฉันทำงานและบอกฉันว่า “We are here for you, Boom.” ฉันเสิร์ฟไปน้ำตาไหลไป จนไม่สามารถออกไปเสิร์ฟได้ ต้องทำงานอยู่ในครัว

ฉันเคยท้อแท้ หมดหวัง หมดกำลังใจ ฉันคิดจะฆ่าตัวตายเหมือนกัน แต่ฉันบอกตัวเองให้อดทนอีกนิด อย่ายอมแพ้ง่ายๆ อีกอย่างแม่ของฉันที่ ประเทศไทยคงจะเสียใจและใครจะดูแลแม่ฉัน ถ้าฉันคิดอะไรสั้นๆ

ฉันต้องเดินเท้าไปทำงานเป็นเวลา ๗ เดือน ก่อนที่จะได้ใบขับขี่ของที่นี่ เพราะฉันรอเอกสารในการสอบ ไม่ว่าจะวันที่หิมะตกและหนาวเหน็บ วันที่ฝนตกและเปียกปอน วันที่แดดออกร้อนอบอ้าว ฉันก็ต้องทน เพราะฉันไม่มีทางเลือก (เดินไปทำงานหน้าหนาวนี่ทรมานสุดๆ)

พอฉันได้เอกสารเพื่อไปขอสอบใบอนุญาตขับขี่ ฉันดีใจมาก เพราะฉันจะได้ไม่ต้องเดินมาทำงานแล้ว ฉันอ่านหนังสืออย่างหนัก แปลความหมายแทบทุกตัว ไม่มีคนช่วยสอนหรือเป็นล่ามให้ วันหนึ่ง ฉันไป Department of Motor Vehicles เพื่อทำการสอบแต่เช้า ผลออกมาว่าฉันสอบไม่ผ่าน ฉันกลับมาบ้าน ตั้งใจอ่านหนังสืออีกครั้ง และไปสอบอีกรอบ ฉันก็ยังสอบไม่ผ่านอีกอยู่ดี ฉันเสียใจและร้องไห้ ในที่สุด ฉันสอบผ่านและได้ใบอนุญาตในการขับขี่รถที่อเมริกาในการสอบ ครั้งที่ ๓ ฉันดีใจแทบจะรั้งไม่อยู่เพราะมันเป็นอิสรภาพใบแรกที่ฉันได้รับที่นี่

หลังจากที่ฉันทำงานร้านอาหาร ฉันก็ยังมองไม่เห็นจุดหมายปลายทางของชีวิตตัวเอง ฉันเห็นหลายคนจบสูงกว่าฉัน อายุมากกว่าฉัน อยู่อย่างถูกกฎหมาย ก็ยังทำงานร้านอาหาร ทำไม่เขาไม่ไปทำอย่างอื่นกันนะ เพราะร้านอาหารรายได้ก็ไม่แย่ แต่ไม่มีหลักประกันอะไรที่แน่นอน ตามความคิดฉัน ฉันจึงตัดสินใจกลับไปเรียนสาย healthcare (การดูแลสุขภาพ) และได้ลงเรียนโปรแกรม medical assistant (ผู้ช่วยด้านการแพทย์) ก่อน

พอฉันเรียนจบก็ได้งานทำเป็น medical assistant ให้กับหมอเท้า ได้เงินน้อยกว่าทำงานร้านอาหารซะอีกฉันจึงเปลี่ยนมาเรียนสายพยาบาล ฉันไม่มีเงินพอที่จะเรียนพยาบาลแบบ ๔ ปี ฉันจึงเลือกทำในสิ่งที่ฉันพอที่จะสู้ไหว ฉันลงเรียนโปรแกรม licensed practical nurse ก่อน อย่างน้อยเงินที่มีอยู่ตอนนี้ก็คงจะพอจนเรียนจบ ถ้าฉันใช้อย่างประหยัดหลายคนที่ ฉันรู้จักจะบอกฉันว่า “อย่าไปเรียนพยาบาลเลย เพราะภาษาอังกฤษเธอไม่ดีเรียนไปก็เสียเวลาและเสียเงินเปล่าขนาดภาษาอังกฤษฉันดีกว่าเธอ ฉันยังไม่ไปเรียนกันเลย” ฉันไม่สนใจในคำพูดของใครๆ ฉันมุ่งมั่นและฉันจะพิสูจน์ให้ พวกเขาเห็นและจะได้ให้รู้ว่าพวกเขาคิดผิด ตอนนั้นพวกเขาเก่งภาษากว่าฉันก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดที่จะก้าวขาออกจากกรอบ พวกเขาก็จะย่ำอยู่แต่ที่เดิม ในขณะที่ฉันเดินไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ในที่สุดฉันก็เรียนจบพยาบาล ๒ ปีแรก สอบผ่านและก็ได้ใบประกอบวิชาชีพ

ก่อนฉันจะมาเป็นพยาบาล ฉันผ่านการทำงานมาหลายอย่าง เช่น เป็นครูสอนภาษาไทยให้บริษัทเบอลิทซ์ สอนและไปเป็นคนแปลในการสอบใบขับขี่ให้คนไทยและคนลาว หลายสิบคนที่ฉันพาไปสอบใบขับขี่ สอบผ่าน และบางคนสอบก็ไม่ผ่าน ฉันก็ให้กำลังใจพวกเขาเสมอและบอกพวกเขาว่า ฉันเองก็ไม่ได้เก่งมาจากไหน ตอนฉันสอบใบขับขี่ ฉันตกถึงสองรอบ แต่ฉันก็ช่วยให้ทุกคนสอบผ่านจนได้

ในระหว่างที่ฉันทำงานเป็นพยาบาล ฉันได้ไปสมัครทำงานเป็นล่ามทางการแพทย์กับบริษัทแห่งหนึ่ง ฉันไปเป็นล่ามทั้งภาษาไทยและภาษาลาวให้กับหลายๆ คน ฉันไปเป็นล่ามตามศูนย์ต่างๆ เช่น ศูนย์เปลี่ยนถ่ายอวัยวะ ศูนย์หัวใจ ศูนย์มะเร็ง ศูนย์โรคเอดส์และอีกมากมาย ฉันดีใจและภูมิใจที่ได้ช่วยเขาเหล่านั้น ฉันรู้ว่าบางคนภาษาอังกฤษดีแต่ เป็นเพราะว่า พวกเขากลัวว่าแพทย์จะใช้ศัพท์สูงเกินไป บางคนก็แค่ต้องการใครสักคน อยู่ใกล้ๆ และระบายเรื่องที่กังวลเกี่ยวกับญาติที่ป่วยให้ฟังแค่นั้น

ฉันทำงานพยาบาล ๗ วัน ต่อสัปดาห์ (ประมาณ ๗๐ ถึง ๑๐๐ ชั่วโมง ต่อสัปดาห์) จนมีรถในฝันขับ ฉันอยู่ดีกินดี มีเงินส่งให้แม่ทุกเดือน ฉันเริ่มที่จะเบื่ออาชีพนี้แล้วเพราะมันเป็นอะไรที่ซ้ำซากจำเจทุกวัน ฉันเลยหักเหตัวเองไปเรียนสักคิ้ว หรือเรียกว่า permanent makeup artist ฉันเรียนและสอบเอาใบประกอบวิชาชีพที่นี่และบินไปเรียนที่ สถาบันสักคิ้วแห่งหนึ่งที่ประเทศไทยด้วย งานสักคิ้วรายได้ดีทีเดียวล่ะ บางวันฉันหาเงินได้จากการสักคิ้ ว $3,000 - $4,000 (แค่บางวันนะคะ โดยเฉลี่ยแล้วก็วันละ600 – 700 เหรียญ ถ้าฉันไม่เหนื่อยหรือปฏิเสธลูกค้าไป) ฉันมีรายได้หลายทาง มีงานเข้าตลอด ไม่ว่าจะงานพยาบาล งานล่าม หรืองานสักคิ้ว

ตอนนี้ฉันกำลังเรียนต่อสายพยาบาลเพื่อให้ได้วุฒิ BSN (พยาบาลศาสตรบัณฑิต) ในปีหน้า ในระหว่างวันหยุด ฉันก็ตั้งใจเรียนออนไลน์ ในการเป็นล่ามที่ศาลกับพี่เอ๋ เบญจวรรณที่เราหลายคนรู้จักกันดี ฉันอยากมีความรู้ อยากช่วยคนในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าคนไทยหรือคนลาวด้วยกัน ฉันจะช่วยเหลือน้องๆ ที่มาอยู่อเมริกาใหม่ๆ เป็นกำลังใจให้พวกน้องๆ เหล่านั้น ได้มีประสบการณ์ที่ดี ฉันจะไม่ทำกับใครเหมือนที่คนไทยเหล่านั้นที่ทำกับฉัน

ทุกวันนี้ฉันได้เรียนรู้ว่าชีวิตเปรียบเสมือนเหรียญที่มี ๒ ด้าน ชีวิตมีขึ้นและมีลง มีช่วงเวลาที่มีความสุขและโศกเศร้า มีช่วงเวลาที่ราบรื่นและมีอุปสรรค มีวันที่หมองมัวและสดใส ฯลฯ มันง่ายที่เราจะท้อถอยและยอมแพ้ ต่อมรสุมที่เข้ามาในชีวิต แต่เราต้องใช้ความเข้มแข็งที่มี อยู่ในตัวเราก้าวผ่านมรสุมเหล่านั้น เหมือนที่เราได้ยินเสมอว่า ความสว่างสดใสมักจะมาหลังจากฝนตก ซึ่งทำให้เรามีความหวังที่จะสู้ต่อ

สุดท้ายฉันอยากสื่อให้ทุกคนเข้าใจว่า ไม่ว่าเราจะเกิดหรือโตมาจากไหน ทุนแต่ละคนมีมาไม่เท่ากัน แต่เราควรจะใช้ความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา มาพัฒนาชีวิตของเราและกำหนดโชคชะตาของเราเอง อย่าพึ่งคนอื่นหรือรอให้คนอื่นหยิบยื่นอะไรใส่มือให้เรา อย่าน้อยใจถ้าไม่มีใครให้ อะไรเรา เราอาจจะได้รับความผิดหวังหากเราคาดหวังกับคนอื่นมากเกินไป

ในช่วงชีวิตหนึ่งของคนเราอาจจะล้มมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่สำหรับฉัน ไม่ว่าฉันจะล้มสักกี่ครั้ง ฉันก็จะลุกขึ้นและเริ่มต้นเดินใหม่ทุกครั้ง ฉันจะไม่ยอมแพ้ต่อความล้มเหลวตราบที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่ ขอแค่อย่าท้อถอย หมดหวังและใฝ่ที่จะเรียนรู้ โอกาสไม่ได้เดินเข้ามาหาเรา แต่เราต้องมองหาโอกาส ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น Where there is a will, there is a way.


"บุ๋ม" ศิริวรรณ เจริญพีระเสถียร