ว่าด้วยเรื่องสุขภาพ Health Matters!

เพื่อนๆ ในกลุ่มล่ามและในสื่อสังคมอื่นๆ ได้ส่งข้อความมาหาฉันด้วยความเป็นห่วงและด้วยความหวังดีเมื่อเห็นฉันเดินทาง เขียนหนังสือ เขียนบทความและเดินสายเป็นล่ามตลอด ขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนจากใจค่ะ

งานล่ามก็เหมือนกับงานอาชีพอื่นๆ เมื่อเรามีสุขภาพดี เราก็จะทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพ แต่งานล่ามนั้น นอกจากจะใช้กำลังแล้ว (เช่นต้องแปลฉับพลันทั้งวัน บางทีต่อไปจนถึงกลางคืนจนดึกเลยก็มี) ล่ามต้องใช้สมาธิสูงมาก จะต้องสุขภาพจิตดีด้วยนะ ถ้าสมองไม่ปลอดโปร่ง พักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่มีทางที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทความนี้ ฉันจึงจะเล่าถึงการดูแลสุขภาพของตัวเองให้ฟังค่ะ

สำหรับฉันแล้ว สุขภาพมาเป็นอันดับหนึ่ง มาก่อนงานก่อนเงินเสียดี เพราะรู้ว่าถ้าเราสุขภาพไม่ดีหรือเจ็บป่วยแล้ว เราก็จะเป็นทุกข์ ทำงานไม่ได้ดี แต่ถ้าสุขภาพดี งานมาเงินมาแน่นอน (แต่ต้องมีความสามารถด้วยนะ)

ดังนั้น จึงได้หาวิธีที่ดีที่สุด ที่เหมาะกับตัวเองที่สุด ที่จะทำให้ตัวเองสุขภาพแข็งแรงโดยที่ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้น้อยที่สุด จึงได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพกว่าร้อยเล่ม และในที่สุดก็ได้ค้นพบวิธีการดูแลสุขภาพที่เวิร์คที่สุดสำหรับตนเอง

วิธีที่ฉันใช้เป็นหลักคือยาเก้าเม็ดที่ค้นพบโดยหมอเขียวแห่งแพทย์วิถีธรรม จากนั้นก็ได้นำมาประยุกต์กับความรู้ต่างๆ ที่เรียนมาจากหนังสือและบทความต่างๆ เกี่ยวกับสุขภาพที่ตนได้ศึกษาค้นคว้ามา สูตรหลักๆ ง่ายๆ ของตัวเองที่ทำควบคู่กับยาเก้าเม็ดคือ สูตรสามอ. ออกกำลังกาย อาหาร และอารมณ์ (ถ้าจะให้ดีกว่านี้ จะลองใช้สูตรแปดอ.ของอาจารย์ นิดดา หงษ์วิวัฒน์ก็ได้นะคะ)

อ. แรก คือ ออกกำลังกาย ตื่นขึ้นมาทุกวันฉันจะออกกำลังกายโดยการทำโยคะ ทำตามที่เวลามี วันไหนมีเวลามากก็ทำมาก วันไหนต้องรีบไปงานแต่เช้า ก็ทำน้อยหน่อย แต่ไม่เคยขาดการทำโยคะเลย ทำทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ การออกกำลังกายสำคัญมากสำหรับมนุษย์เรา โดยเฉพาะมนุษย์ในสังคมยุคใหม่ที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย

นอกจากการทำโยคะแล้ว ฉันก็เดินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น เดินจากสถานีรถไฟไปยังสถานที่ทำงานในแต่ละวัน (ฉันทำงานเป็นล่ามฟรีแลนซ์ สถานที่ทำงานก็แตกต่างกันไป) จะพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ลิฟท์หรือบันไดเลื่อน บางที่ก็จะไปจอดรถไว้ไกลๆ เพื่อให้มีโอกาสได้เดินบ้าง การทำเช่นนี้ทำให้ได้ออกกำลังกายตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องไปยิมให้เสียเวลา ฉันเลิกเป็นสมาชิกของยิมต่างๆ เกือบสิบปีแล้ว กว่าจะเดินทางไปยิม กว่าจะเปลี่ยนชุด นั่นนี่ ก็ออกกำลังกายแบบของเราเสร็จเรียบร้อยแล้ว (แต่ไปก็ดีนะ ดีกว่าไม่ออกกำลังกายเลย)

ส่วนเรื่องการออกกำลังกล้ามเนื้อ ฉันก็ทำตลอด โดยการใช้กระเป๋าของตัวเองเป็นที่ยกน้ำหนักเวลาเดินหรือเวลานั่งรอทำเคสของตัวเอง บางทีคนก็มองว่าเราทำอะไร หลายครั้งก็ออกกำลังกายประเภทยกน้ำหนักนี้ที่บ้าน

โปรแกรมการออกกำลังกายนี้ทำให้ได้ออกกำลังกายทั้งสามอย่างคือทั้งแบบยืดกล้ามเนื้อ (stretch) แบบแอโรบิก (aerobic) แบบให้กล้ามเนื้อออกแรงทำงานต้านน้ำหนัก (resistance) ความจริงทำเยอะกว่านี้อีกนะคะ แต่เล่าให้ฟังแค่เป็นไอเดียว่าฉันทำอะไรบ้าง

ส่วนเรื่องอาหาร ซึ่งเป็น อ.ตัวที่สอง ฉันกินมังสวิรัติ ตอนนี้ละเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิดแล้วและกินเพียงวันละสองมื้อ อาจมีกินสแน็คนิดหน่อยถ้าคืนไหนต้องทำงานล่ามรอบดึก ฉันกินผักและผลไม้เยอะมาก และจะเลือกกินที่เป็นออร์แกนนิกทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่เกี่ยงราคา ขอให้เป็นออร์แกนนิกจริงๆ พยายามกินอาหารแบบปรับสมดุลร้อนเย็นให้ได้มากที่สุด ส่วนโปรตีนและไขมันก็ได้จากอาหารประเภทถั่วที่หลากหลาย ฉันกินถั่วและธัญพืชหลายชนิดมาก เพื่อนๆ ถามว่าไม่ขาดสารอาหารหรอกหรือเพราะไม่กินเนื้อสัตว์ ฉันก็ถามเขาว่า "ดูเหมือนฉันขาดสารอาหารหรือเปล่าคะ ไปปีนเขาแข่งกันมั้ย" (ท้าเขาอีกนะ แต่ปรากฏว่าคนถามไม่มีใครกล้ารับคำท้าเลยแม้แต่คนเดียว)

นอกจากนี้ ฉันยังไม่กินกาแฟ ไม่กินน้ำอัดลมหรืออัลกอฮอล์ทุกชนิด ไม่กินอาหารขยะหรืออาหารสำเร็จรูป ไม่ใช้สิ่งเสพติดใดๆ ทั้งสิ้น อะไรที่เขาว่าไม่ดีก็จะไม่เอาเข้าปากเลย

อ.สุดท้ายคือ อารมณ์ อันนี้รู้สึกจะยากสุดเลยนะ แต่ฉันฝึกได้แล้ว เพราะเข้าใจถึงอริยสัจสี่ เข้าใจถึงความไม่เที่ยง (กว่าจะเข้าใจ เป็นบัวพ้นน้ำได้ ต้องใช้เวลานานเหมือนกัน แต่ก็ยังต้องศึกษาอีกเยอะ) ตอนนี้ฝึกมาได้สองปีกว่าแล้ว ฉันตัดความโลภ โกรธ เกลียด อิจฉาได้แล้วนะ เรื่องธุรกิจฉันก็ทำเพียงพอมีพอกิน ไม่โลภเหมือนแต่ก่อนที่ทำงานจนป่วย เรื่องโกรธนี่ไม่มีแล้ว เพราะรู้ว่าการโกรธเป็นการทำลายตัวเอง ความเกลียดก็ไม่เกลียดใครเลย ถึงแม้ว่าบางคนจะเกลียดฉัน หรือหมั่นไส้ที่เห็นเราโพสท์นั่นโพสท์นี่ก็ตาม ส่วนเรื่องอิจฉา ยิ่งไม่มีเลย เพราะฉันได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ทั้งหมดแล้วในชีวิตนี้ ยิ่งทางด้านวัตถุ (พวกคนที่ชอบอวดเรื่องวัตถุ) ก็ไม่อิจฉาเขาเลย ไม่รู้สึกอะไรนะ ถ้าจะอิจฉา ฉันก็จะอิจฉาคนที่มีปัญญา มีสุขภาพดี มีกิเลสน้อยและมีสภาวะธรรมที่สูงกว่าตัวเองเท่านั้น

และที่สำคัญอีกอย่างคือ ฉันเป็นคนสุขภาพจิตดี ไม่เครียด เพราะรู้ว่าความเครียดเป็นสาเหตุของการเกิดโรคยอดนิยมต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง โรคความดันและโรคหัวใจ ถ้าเครียดก็จะเครียดนิดหน่อยเรื่องงานเป็นบางครั้งหรือกับเพื่อนร่วมงานบางคนที่เรื่องมาก นอกนั้นก็จะไม่เอามาคิดให้ตัวเองเครียด

ฉันจึงบอกตัวเองอยู่เสมอว่าต้องพักผ่อนให้เพียงพอ พอหัวถึงหมอนก็หลับสบาย ไม่คิดมาก ฉันนอนไหนก็นอนได้นะ นอนบนเครื่องบินก็ได้ นอนโรงแรมไหนก็ได้ นอนบ้านเพื่อนก็ได้ นอนพื้นหรือโซฟาก็ได้ เพื่อนๆ และแฟนคลับฉันหลายคนนึกว่าฉันจะเป็นพวกไฮโซ เพราะเห็นฉันไปโน่นไปนี่กับลักษณะงานที่ทำ เขาคิดว่าฉันจะยาก เวลาเขาชวนไปพักที่บ้าน กลัวว่าจะไม่หรูพอสำหรับฉัน เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเลยค่ะ ความจริงฉันชอบแบบโลโซ ยิ่งโลโซเท่าไหร่ ยิ่งดีเพราะไม่ต้องมาวางตัววุ่นวายเหมือนเวลาตอนไปพักบ้านเพื่อนๆ ที่เป็นเศรษฐี และฉันก็เบื่อพักโรงแรมหรูๆ เพราะเวลาเดินทาง ลูกค้าจองแต่โรงแรมดีๆ ให้ ฉันชอบพักบ้านคนมากกว่า

อีกอันหนึ่งที่ทำประจำ ที่ไม่ได้อยู่ในสามอ.ข้างต้นคือการขับสารพิษ ฉันจะขับล้างสารพิษออกจากร่างกายเมื่อมีโอกาส เช่น การสวนล้างลำไส้ใหญ่ การล้างพิษตับ การล้างลำไส้เล็ก การกัวซา การกดจุดลมปราณ การดื่มชาสมุนไพรสำหรับล้างตับและไต การอบซาวน่าอินฟาเรดเพื่อขับสารพิษทางผิวหนัง การขับล้างสารพิษต้องใช้เวลา ฉันทำมาได้สี่ปีกว่าแล้ว สุขภาพดีขึ้นมาก แต่ตอนแรกๆ จะดูแก่และโทรมเพราะสารพิษในร่างกายสะสมมาเยอะมาก มันกำลังถูกดันออก กินยาคุณหมอหลายตัวมาสามสิบกว่าปีและกินอาหารพาณิชย์มาแทบจะตลอดชีวิต จึงมีสารพิษในตัวเยอะมาก ตอนแรกๆ คนตกใจว่าฉันทำไมถึงโทรมมาก แต่ฉันรู้ว่าตอนนั้นร่างกายกำลังขับสารพิษออก ตัวเราก็รู้สึกสบาย เบากายและมีกำลังในตัวของเราเอง ไม่สนใจว่าใครจะว่ายังไง ตอนนี้เราค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ และไม่ต้องกินยาเภสัชกรรมเลยแม้แต่เม็ดเดียวมาได้ห้าปีแล้ว ไม่ต้องพกยาแก้ปวดอีกต่อไป

การที่ทำสิ่งต่างๆ ข้างต้น ทำให้ฉันไม่ต้องกลัวอ้วนและจะไม่มีหน้าท้องตลอดชีวิต แถมช่วงไหนเดินมากๆ ซิกซ์แพ็คก็โผล่ขึ้นมาเอง ฉันเห็นคนหลายคนเสียเงินมากมายกับโปรแกรมลดน้ำหนัก ก็อยากจะบอกเขานะว่าอย่าไปเสียเงินเลย ถ้าอยากสวย อยากสุขภาพดี ต้องลดกิเลส อย่ากินมาก อย่าตามใจปาก ออกกำลังกายตามความเหมาะสมและอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าเราสุขภาพดีจากภายในแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่สวย และไม่ต้องไปเสียเงินซื้อเครื่องสำอางค์แพงๆ ด้วย

สุขภาพร่างกายดีอย่างเดียวก็ไม่โอเคนะ ต้องสุขภาพจิตดีด้วย บางคนเน้นแต่เรื่องออกกำลังกาย จะเอาแต่หุ่นเฟิร์มๆ แต่ไม่ดูแลสุขภาพจิตควบคู่ไปด้วย หลายคนดูหุ่นสวย หน้าตาดีเชียว แต่เราดูก็รู้ว่าเขาทุกข์ใจ ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องความสัมพันธ์กับสามี เรื่องที่ตัวเองไม่ได้ดั่งใจ และอีกหลายๆ เรื่อง ฉันจึงฟังธรรมะของหมอเขียวตลอดมาได้สี่ปีแล้ว หมอเขียวจะสอนให้ดูแลสุขภาพร่างกายและสอนธรรมะซึ่งเป็นการดูแลจิตใจไปพร้อมกัน การที่จะใช้ธรรมะเพื่อที่จะเอาชนะใจตัวเองให้ได้นั้น สำหรับฉัน ยากกว่าการดูแลสุขภาพทางกายเสียอีก แต่ตอนนี้ ทำได้ดีขึ้นมากแล้ว และจะพยายามให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ผลของการตัดสินใจที่จะให้สุขภาพมาเป็นอันดับหนึ่ง ทำให้ฉันเดินเหินคล่องแคล่ว พูดจาชัดเจน ไม่ต้องใส่แว่น ไม่ต้องย้อมผม หลายคนใช้คำแทนตัวเหมือนว่าเราเป็นเด็กรุ่นน้องอีก ทั้งๆ ที่เป็นน้องเราหลายปี นอกจากนี้ ฉันสามารถเดินทางข้ามทวีปและทำงานแปลได้ในวันรุ่งขึ้นเลยนะ (ฉันมีเทคนิคที่จะหลีกเลี่ยงเจ็ทแล็กด้วยนะ) ทำให้มีความมั่นใจในการทำงาน งานมีประสิทธิภาพ ลูกค้าจองตัวตลอด โดยเฉพาะเคสใหญ่ๆ หรือเคสที่สำคัญๆ ก็จะได้รับเลือกให้เป็นล่ามเป็นประจำ จึงมีโอกาสได้ศึกษาความรู้ภาคสนามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แถมได้ไปเที่ยวฟรีกินฟรี (เปิดปี 2017 เดือนมกราคม เป็นต้นมาก็ได้ทำงานแปลที่กูเกิล เฟซบุ๊ค ให้กับบริษัทซัมซุงที่ซิลิคอนแวลี่ กลางเดือนก็ไปให้แปลบริษัทแอมเวย์ที่ลองบีช และขณะที่เขียนบทความนี้ได้มาแปลให้กับอานุญาโตตุลาการนานาชาติที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ไม่ได้ถือว่าพิเศษและยึดติดอะไรกับมันนะ แต่ก็รู้สึกภูมิใจลึกๆ ที่ลูกค้าไว้วางใจในความสามารถของเรา)

แน่นอนสังขารของเราไม่เที่ยง แต่เราทุกคนก็อยากมีสุขภาพดีและอยากจะดูดีให้ได้นานที่สุด ตอนนี้ฉันอายุห้าสิบ ยังไม่ต้องใส่แว่นสายตา อ่านหนังสือและขับรถได้สบาย ไม่ต้องไปย้อมผม แต่ถึงเวลาก็จะต้องใส่แว่นหรืออาจจะย้อมผมบ้าง อย่างไรก็ตาม ก็อยากจะยืดเวลานั้นออกไปให้นานที่สุด

จากการที่ฉันทำทุกอย่างข้างต้น ทำให้ฉันมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงอยู่เสมอ น้อยครั้งที่จะไม่สบาย ถ้าไม่สบายก็เพียงเป็นหวัดเพียงเล็กน้อยเพราะเป็นช่วงที่ภูมิต้านทานลดลงเนื่องจากการที่โหลดงานหนักเกินไปเป็นบางคราว แต่ก็จะเป็นแค่วันหรือสองวันและจะไม่เป็นหนักเลย ดังนั้นจึงสามารถเป็นล่ามได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนเรื่องวิชาการ คำศัพท์และเทคนิคด้านการแปล ฉันโอเคแล้ว เพราะศึกษาเพิ่มเติมและทบทวนอยู่เสมอ จึงหันมาเน้นเรื่องสุขภาพควบคู่ไปด้วย

เพื่อนๆ ที่ทำงานเป็นล่ามด้วยกัน มักจะบ่นว่าเหนื่อย เพลีย ทำไปนานๆ เริ่มแปลหลุด แทบจะทุกคนต้องกินกาแฟ หรือน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มชูกำลังอื่นๆ หลายคนต้องพกยาแก้ปวดไปด้วย ล่ามหลายคนมีปัญหาเรื่องปวดหัวกับเรื่องนอนไม่หลับ บางคนก็บ่นเจ็บนั่นปวดนี่ ถึงแม้เขาจะเป็นล่ามที่เก่งมากก็ตาม แต่ฉันก็รู้ว่าเขาสุขภาพไม่ดี ล่ามบางคนก็เครียดมาก อะไรนิดอะไรหน่อยก็เครียด อยากจะบอกเขาให้ปล่อยวาง แต่หลายคน ทุกสาขาวิชาชีพเลยนะ ยิ่งคนเก่งๆ เรียนสูงๆ ยิ่งมีอีโก้สูง ไปบอกเขาไม่ได้หรอก เลยปล่อยให้เขาเครียดต่อไป เราจึงต้องเป็นฝ่ายปล่อยวางเอง

ดังนั้น ขอให้วางใจได้เลยค่ะว่าฉันจะพักผ่อนและดูแลสุขภาพก่อนอื่น ฉันจะดูแลร่างกายให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าถึงเวลาป่วย ก็ต้องยอมรับกับวิบากกรรมของตัวเองเพราะถือว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้จะไม่ประมาทเรื่องสุขภาพอย่างแน่นอน ส่วนผู้อ่าน ก็ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ ลองศึกษาวิธีต่างๆ ที่เหมาะกับตัวเองที่สุด และฉันขอแนะนำให้ศึกษาแพทย์วิถีธรรมลองดูด้วยนะคะ