เสียเปรียบ เสียโอกาส เพราะไม่มีล่าม

ผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์นี้ คงได้อ่านบทความต่างๆ ที่ฉันได้เขียนถึงความสำคัญของล่ามมาบ้างแล้ว คงจะได้ไอเดียแล้วว่าล่ามมี ความสำคัญอย่างไรบ้างโดยเฉพาะในยุคโลกาภิวัตน์นี้

หลังจากที่ฉันได้เปิดสอนวิชาการล่ามและการแปลทางออนไลน์ ก็ได้มีคนส่งเรื่องราวที่เป็นประสบการณ์ของตนเกี่ยวกับอาชี พล่ามมาเล่าให้ฟังอย่างสม่ำเสมอ ฉันได้คัดเลือกบทความที่น่าสนใจมาให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันค่ะ

สัปดาห์นี้มาฟังเรื่องราวของคุณบุ๋มหรือ ร.ต.ท.หญิง ศิริวรรณ เจริญพีระเสถียร เกี่ยวกับประสบการณ์ที่สำคัญในชีวิตเธอที่ทำให้เธอได้เห็นถึงความสำคัญของล่ามกันดูนะคะ

โดยร.ต.ท.หญิง ศิริวรรณ เจริญพีระเสถียร อดีตรองสารวัตรกองตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

เพราะตอนนั้นฉันไม่มีล่าม ฉันจึงได้สูญเสียโอกาสในการที่จะได้รับเงินชดเชยเป็นจำนวนนับล้านเหรียญสหรัฐ

หลายคนที่มาอยู่อเมริกา คงไม่เคยคิดว่า ล่ามมีความสำคัญยังไงและมี ความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ก็คงจะเหมือนๆ ตอนฉันมาอยู่อเมริกาใหม่ๆ เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นกับตัวฉันเอง และฉันอยากจะแชร์ให้ทุกคนได้ตระหนักว่า ถ้าเราไม่เก่งในการใช้ภาษาอังกฤษ เราก็ควรที่จะหาตัวช่วย เช่น ล่าม หรือ คนแปล เพราะในการทำนิติกรรมหรืออะไรที่ มันเกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล การแพทย์ หรือเกี่ยวกับกฎหมายแล้ว ยิ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

ถ้าหลายคนที่เคยอ่านบทความ "กว่าจะมาเป็นล่ามในอเมริกา" ที่ฉันเขียนขึ้น คุณคงจะรู้คร่าวๆ แล้วว่า ฉันได้สูญเสียลูก เนื่องจากลูกของฉันเกิดมาแล้วมี ความผิดปกติทางพันธุกรรม โดยที่แพทย์ที่ฉันไปฝากครรภ์ด้วยนั้น ตรวจไม่พบความผิดปกติในระหว่างที่ฉันฝากครรภ์ จนฉันท้องได้ 7 เดือน

ฉันจำได้ว่า วันที่ฉันไปตรวจเช็คการฝากครรภ์ เดือนที่หก (หรือเจ็ด ไม่แน่ใจ) ตามปกติ แพทย์ได้ตรวจพบว่าลูกในครรภ์ของ ฉันไม่ปกติ จึงเก็บตัวฉันไว้ในโรงพยาบาล พร้อมด้วยสายอะไรต่อมิอะไรเต็มท้องและหัวใจของฉันไปหมด ฉันไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ในที่สุดหลังจากที่เก็บฉันไว้ใน โรงพยาบาล ในช่วงบ่ายของวันต่อมา หมอก็ฉีดยาเร่งคลอดให้ฉัน ฉันห่วงแต่ว่าลูกของฉันจะเป็นอะไรมั้ย จะเกิดมาสมบูรณ์หรือเปล่า มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันและเด็กใน ท้องกันแน่ คำถามพร้อมความกลัวของความเป็นแม่นั้นไม่ สามารถจะบรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ ฉันเชื่อว่า คนที่ได้ขึ้นชื่อว่า "แม่" คงจะรู้ดี ว่าฉันรู้สึกยังไงในตอนนั้น

หลังจากฉีดยาเร่งคลอดได้ไม่กี่ชั่วโมง ทีมแพทย์ก็เข้ามาบอกฉันกับสามี ว่า ฉันจำต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อ เอาเด็กออก รอไม่ได้อีกแล้ว แค่นั้นแหละ มือและเท้าฉันเย็นเฉียบ หัวใจของฉันเหมือนตกลงไปในหลุมที่ลึกและเย็น ในหัวของฉันมันเบาหวิวเหมือนมีแต่กะโหลกบางๆ ที่ไม่มีสมองเหลืออยู่ ฉันคิดอะไรไม่ออกและไม่มีความรู้สึก ทุกอย่างมันดูโหวงเหวงไปหมด

เมื่อลูกของฉันลืมตาออกมาดูโลก ปรากฏว่าลูกของฉันมีอาการผิดปกติทางพันธุกรรม ทำให้ ตา หู สมอง หัวใจ ปอดและไต ทำงานผิดปกติ ต้องอยู่ในห้อง NICU ตลอด แต่ละวันก็จะมีอาการหนักบ้างทรง ตัวบ้าง แต่ไม่เคยมีอาการดีขึ้นเลย ลูกตัวเล็กมาก ร้องก็ไม่มีเสียง ตาอีกข้างก็ยังไม่พร้อมที่จะลืม ดื่มนมเองไม่ได้ เมื่อใช้สายยางเพื่อส่งนมลงท้อง ลำไส้ก็ไม่ทำงาน อาหารไม่ย่อย หัวใจมีรู 3 รู ไตทำงานผิดปกติทำให้ฉี่ไม่ได้ ฉันต้องเห็นลูกอยู่ในความเจ็บปวดตลอด จนเค้าอายุได้ 3 เดือน เค้าก็จากฉันไปอย่างสงบ

หลังจากที่ลูกฉันเสีย ฉันกับสามีได้จ้างทนายฟ้องร้องหมอและโรงพยาบาลที่ฉันไปฝากครรภ์ ด้วยเป็นจำนวนเงินหลายล้านเหรียญสหรัฐ ในระหว่างนั้น สามีของฉันก็เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย หลังจากที่ลูกเสีย อาการของสามีฉันก็แย่ลงอย่างมาก เราต้องวิ่งไปหาทนายในขณะที่ต้อ งวิ่งเข้าออกโรงพยาบาลและศูนย์ รักษามะเร็ง สามีของฉันรู้ตัวว่าเขาเหลือเวล าอีกไม่นาน จึงได้ทำเป็นวิดีโอไว้ให้ทนายใช้ ซักถามเพื่อใช้เป็นสำนวนในคดีความ

ภาษาอังกฤษของฉันในตอนนั้นยังแย่มาก ฟังหรือพูดไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไหร่ ยิ่งเกี่ยวกับกฎหมายแล้วยิ่งแย่ เข้าไปใหญ่ ฉันเซ็นเอกสารอะไรเยอะแยะไปหมดทั้งที่ตัวเองไม่เข้าใจและทางโรงพยาบาลก็ไม่ได้จัดหาคนมาอธิบายให้ฉันฟัง

ส่วนสามีของฉันก็อาการหนักเพราะ ต้องไปรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยการฉายรังสีและทำคีโม จึงทำให้เขาผอมโซ ผมร่วง อาเจียนทั้งก่อนและหลังถ่ายวิดีโอ ในขณะที่ฉันเองก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้

หลังจากนั้นไม่นานสามีของฉันก็ได้เสียชีวิต และทิ้งให้ฉันดำเนินต่อสู้คดี เพียงลำพัง

ตอนนั้น ฉันก็เหมือนคนหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีเพื่อนให้ปรึกษา ไม่รู้จักใครพี่พอจะช่วยเหลืออะไรฉันได้ และฉันก็ไม่ได้มีเฟซบุ๊กเหมือนอย่างทุกวันนี้ เพื่อที่จะสื่อสารขอความรู้จากใครๆ เหมือนที่หลายๆ คนทำกัน ฉันอยู่กับความเศร้าและความตรึง เครียดตามลำพัง

ฉันไม่มีใบขับขี่ การเดินทางไปหาทนายก็แสนจะลำบาก การสื่อสารยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่เพราะภาษาอังกฤษของฉันแย่มากๆ ทำฉันเครียดและหวาดกลัวไปเสียทุกอย่าง ฉันกลัวที่จะขึ้นศาลเพราะฉันคงจะไม่เข้าใจ ถ้าผู้พิพากษาถามอะไรฉัน ฉันคงจะตอบไม่ได้หรือพูดไม่เป็นเลย ในตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าฉันสามารถ ขอล่ามมาช่วยได้ ไม่มีใครให้ความรู้ฉันตรงนี้ ลูกและสามีของฉันก็เพิ่งจะเสีย ฉันหมดหนทางที่จะสู้ ฉันจึงปล่อยให้คดีจบไปเฉยๆ ไม่ทำการต่อสู้คดีต่อ

ทุกวันนี้ ฉันได้เข้ามาทำงานสาย healthcare (การดูแลสุขภาพ) ฉันได้เรียนรู้ว่า ตามโรงพยาบาลได้จัดหาล่ามไว้ให้ คนไข้แทบทุกภาษา ตามศาลก็เช่นกัน ฉันสามารถขอล่ามได้ถ้าฉันไม่เข้าใจภาษาอังกฤษดีพอเมื่อฉันไปพบแพทย์ หรือต้องขึ้นศาลถ้ามีคดีความ

ฉันรู้ว่าเราหลายๆ คนในที่นี้ สามารถที่จะสื่อสารในชีวิตประจำ วันได้ แต่เมื่อไปสู่เรื่องสุขภาพและการรักษา หรือคดีความแล้ว เราต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเอง ฉันจึงอยากให้ประสบการณ์ของฉัน เป็นบทเรียนสำหรับทุกคน

ถ้าตอนนั้น ฉันมีล่าม ฉันคงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันและลูก ฉันคงไม่กลัวและมีกำลังใจในการต่อสู้คดี เพราะตั้งแต่ฉันทำงานสาย healthcare มา ฉันรู้เลยว่าถ้าฉันต่อสู้คดีต่อ ไปในตอนนั้น โอกาสที่ฉันจะชนะมีสูงมาก แต่ฉันก็ได้สูญเสียโอกาสนั้นไปเสียแล้ว

ฉันจึงอยากบอกทุกคนถึงความสำคัญ ในการเรียนและการใช้ภาษาอังกฤษที่หลายๆ คนไม่เคยคิดว่ามันน่าเรียนหรือมีความสำคัญจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย ในวันหนึ่ง คุณอาจจะตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับฉันก็ได้ และเมื่อถึงตอนนั้น คุณอาจจะเสียใจและเสียดายโอกาสอย่างที่ฉันเป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะอย่างน้อยถ้าฉันเก่งภาษากว่านี้หรือมีล่ามที่ดี ในตอนนั้น ฉันอาจจะไม่ได้เป็นฝ่ายที่สูญเสียทุกอย่างเพียงฝ่ายเดียวก็ได้

ถึงแม้ว่าคุณอาจจะไม่ได้เจอเหตุ การณ์แบบฉัน แต่ฉันก็เคยได้ยินและได้เห็นหลายๆ กรณี เช่น ผู้หญิงไทยหลายๆ คนที่แต่งงานแล้วมาอยู่ที่อเมริกา มีปัญหากับสามี สุดท้ายก็จบลงที่ศาล ในขณะที่ผู้หญิงเหล่านั้น ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาอังกฤษได้ไม่ดีพอ มิหนำซ้ำ ผู้หญิงบางคนถูกทำร้าย แต่ก็ยังตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา (หรือผู้ต้องหา) และเสียเปรียบต่อรูปคดี เพราะผู้หญิงเหล่านั้นไม่ค่อยรู้กฎหมาย มีข้อจำกัดความรู้ความสามารถทางด้านภาษา

ถ้าเป็นไปได้ควรหาล่ามหรือคนที่ มีความสามารถให้มาช่วยแปล อย่าให้ต้องเสียเปรียบและเสียโอกาสอย่างฉันเลยนะคะ