เรื่องเล่าจากล่าม 3 กันยายน 2559

ฉันเกิดมาในครอบครัวชาวนา ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย ทุกคนในครอบครัวมีอาชีพเกษตรกรรม ฉันรู้ว่าตาของฉันเป็นคนที่ขยันมาก แต่ฉันไม่เคยได้เห็นตาทำงานหรอกนะ เพราะเท่าที่ฉันจำความได้ ตาของฉั นเป็นโรคสั่นสันนิบาตหรือโรคพาร์คินสัน ตาสามารถเดินได้ กินข้าวเองได้ แต่ตาพูดไม่ได้ ฉันคุ้นเคยกับการเห็นตานั่งๆ นอนๆ อยู่บ้าน พูดฟังไม่รู้เรื่อง ตอนเด็กฉันไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะนั่นคือเรื่องปกติที่ฉันเห็น มาถึงตอนนี้ ฉันเสียดายมาก ที่ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับท่าน ท่านเป็นผู้ชายที่อบอุ่น ฉันดูออก ถ้าท่านพูดได้ท่านคงสอนฉันหลายอย่าง ภาพของตาที่เหลืออยู่ในความทรงจำของฉันมีเพียงไม่กี่ภาพ ภาพที่เด่นที่สุดคือ ภาพของชายชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้ เข่าข้างหนึ่งชันขึ้นส่วนอีกข้างวางแนบกับพื้น มีผ้าขาวม้าพาดที่ไหล่หนึ่งข้าง มือไม้สั่นเทา ฉันอยู่ประมาณชั้น ป.3 หรือ ป.4 ตาก็เสีย ตอนท่านเสียฉันไม่รู้สึกสลดเสียใจมากมายเพราะฉันยังเล็กและไม่ได้รู้สึกผูกพันธ์กับท่านมากมายอะไร แต่ทุกวันนี้ฉันคิดเสมอว่าถ้าท่านยังอยู่ท่านคงเป็นที่รักของลูกหลานมากๆ และท่านก็คงรักลูกหลานมากเช่นกัน

เลือดความขยันของตานั้น แม่ของฉันกับลูกของท่านหลายคนได้รับมาเต็มตัวเพราะลูกของตาขยันมาก เกือบทุกคน กว่าจะถึงรุ่นฉัน มันก็เจือจางไปบ้าง เพราะฉันถือว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจมาก ตอนเด็กฉันไม่ชอบไปนาเพราะถ้าไปก็จะอดเล่นกับเพื่อนๆ นาอยู่ห่างจากบ้านไม่ไกลนัก แต่ถ้าวันไหนไปนาก็หมายความว่าเราจะอยู่กันทั้งวัน กินข้าวที่นั่นด้วย ฉันไม่ชอบกินข้าวที่นา ยกเว้นแต่ว่าเราจะไปซื้อก๋วยเตี๋ยวมากินกันในวันพิเศษ ตั้งแต่เด็กจนอายุประมาณสิบขวบฉันจะไปนาบ่อยเพราะยังเด็กอยู่ ถ้าพ่อแม่ไปก็ต้องไปเพราะแม่จะเอากับข้าวไปนาหมด ไม่เหลือไว้ให้กิน (เพราะถ้าเหลือไว้ฉันก็จะไม่ไป) ฉันช่วยพ่อแม่ได้ไม่มากเพราะเป็นคนทำงานไม่เก่ง และทำช้าด้วย ทำอะไรก็มักจะขัดหูขัดตาคนดู ไม่ว่าเวลาพ่อเห็นฉันทำอะไรก็ตามพ่อจะต้องบอกทุกครั้งว่า 'ไม่มีศิลป' แม้กระทั่งแค่การบิดผ้าหลังจากซักเสร็จ นับประสาอะไรกับการก่อไฟ แค่บิดผ้าก็แย่แล้ว หลายครั้งพ่อมักจะทนดูไม่ไหวต้องทำเองก่อนจะโมโห (ใช่ พ่อโมโหง่ายและนิสัยนั้นฉันได้มาเต็มตัวเลย) คนขี้เกียจอย่างฉัน เมื่อเห็นพ่อแย่งทำ ฉันควรจะดีใจ แต่ไม่เลย ฉันจะตั้งใจฝึกฝนตัวเองจนทำได้ดีเพราะฉันเป็นคนที่ทะเยอทะยานและอยากเอาชนะ

ด้วยความทะเยอทะยานและอยากเอาชนะนี่แหละที่ทำให้ฉันทำอย่างที่ทำทุกวันนี้ได้ เริ่มจากเอาชนะคนอื่นจนพัฒนามาเป็นเอาชนะตัวเอง

ฉันเริ่มเรียนหนังสือตอนอายุห้าขวบ ในสมัยนั้นเด็กไทยเข้าเรียนชั้นประถมหนึ่งตอนเจ็ดขวบ ไม่มีชั้นอนุบาลเหมือนทุกวันนี้ ฉันคิดว่าที่พ่อเริ่มสอนฉันก่อนเข้าเรียนอาจเป็นเพราะฉันเป็นลูกคนโต พ่อคงอยากเห็นพัฒนาการของฉันด้วยตัวเอง พ่อเริ่มจากให้หัดอ่านและเขียน ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก กว่าฉันจะรู้จักการสะกดคำ ฉันเสียน้ำตาไปไม่ใช่น้อยเพราะพ่อเป็นครูที่ค่อนข้างดุ ฉันจำได้ว่าฉันเคยสะกดคำผิดแล้วเกือบถูกเขกหัว แต่แม่ปรามพ่อไว้เลยไม่โดน มีอยู่ครั้งหนึ่งเรานั่งอยู่ที่กระท่อมปลายนา ผู้ใหญ่ทุกคนกินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว พ่อกินเสร็จทีหลังเพราะพ่อเป็นคนที่กินข้าวช้ามาก ฉันนั่งอยู่กับพ่อและลูกของน้าที่ฉันเติบโตเคียงคู่กันมา มีซองผงชูรสวางอยู่ใกล้ๆกับตรงที่เรานั่งอยู่ พ่อหยิบมันขึ้นมาแล้วให้ฉันอ่านคำว่า 'รสชาติ' สำหรับฉันคำที่ออกเสียงว่า 'รด' มีอยู่สองคำคือ 'รถ' กับ 'รด' ฉันอึกอักแล้วตอบออกไปว่าไม่รู้ ทั้งๆ ที่ในใจก็อยากจะตอบว่า 'รด' แต่กลัวผิด เพราะถ้าผิดอาจจะโดนตีก็ได้ พ่อต่อว่าฉันว่าโง่ แค่นี้ทำไมถึงอ่านไม่ออก ฉันน้ำตาไหลตามเคย พ่อหันไปถามลูกของน้า แต่ฉันจำไม่ได้ว่าเขาตอบถูกหรือไม่ จากนั้นพ่อสอนต่อ ว่า อ่านว่า 'รด-ชาด' ฉันจำไม่เคยลืม

พ่อสอนภาษาไทยให้ฉันจนอ่านออกเขียนได้คล่องแคล่วก่อนจะไปโรงเรียนเสียอีก ฉันจำได้ว่าแม่มีหนังสือคู่มือทำอาหาร ฉันอ่านจบไปหลายรอบทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าส่วนประกอบหลายอย่างคืออะไร

ฉันเข้าเรียนตอนอายุครบหกขวบเพราะปีนั้นเป็นปีแรกที่มีชั้นเด็กเล็ก โดยเด็กที่ครบหกขวบทุกคนต้องเข้าเรียนชั้นนี้เพื่อเตรียมพื้นฐานให้พร้อมที่จะเรียนชั้นประถมหนึ่งต่อไป ฉันถูกเปลี่ยนให้หัดเขียนหนังสือมือขวาแทน ทั้งๆ ที่ฉันเขียนด้วยมือซ้ายได้หมดแล้ว ประมาณสัปดาห์ที่สองของการเรียนฉันได้พบกับคุณครูคนใหม่ชื่อคุณครูดอกไม้ ท่านเพิ่งบรรจุใหม่ ท่านเป็นครูที่ดีมาก ท่านใช้หนังสือของชั้นประถมหนึ่งมาสอนพวกเรา ฉันพอใจมากที่ไม่ต้องเรียนซ้ำนานๆ ฉันสามารถอ่านได้ทุกอย่างที่ครูมอบหมายให้ เวลาที่ฉันชอบที่สุดคือตอนที่ครูให้เขียนตามคำบอกหรืออ่านบนกระดานทีละคนในตอนบ่าย ถ้าใครอ่านเสร็จก่อนก็จะได้ออกไปเล่นข้างนอกก่อน เพื่อนคนอื่นต้องไปเข้าแถวสามสี่รอบกว่าจะอ่านเสร็จเพราะถ้าอ่านผิดคุณครูจะให้ไปเริ่มเข้าแถวใหม่ ฉันอ่านรอบเดียวจบทุกคั้ง ฉันมีความสุขมาก อิสระภาพที่ได้รับจากการอ่านเสร็จก่อนใครมันช่างหอมสดชื่นเพราะอากาศข้างนอกมักจะสดชื่นกว่าในห้องเรียน แต่ฉันก็ไม่มีเพื่อนเล่นอยู่ดี ฉันจะไปยืนดูเพื่อนๆ ที่ริมหน้าต่าง รอลุ้นให้เพื่อนในกลุ่มอ่านเสร็จเร็วๆ จะได้เล่นด้วยกัน จากนั้นฉันก็ไม่ค่อยตื่นเต้นกับการได้ออกไปข้างนอกก่อนใครอีก แต่ความสุขที่ได้ออกไปอ่านหนังสือหน้ากระดานยังคงกรุ่นในใจฉันทุกครั้งที่นึกถึง