เรื่องเล่าจากล่าม 21 มกราคม 2560

ร้านอาหารของแม่เริ่มมีชื่อเสียงเพราะว่าทำเลดีและก็ไม่ห่างจากใจกลางเมือง มีรถเมล์มาจอดทั้งวัน ทำให้มีคนพลุกพล่านตลอดเวลา คนชอบมากินอาหารที่ร้านแม่เพราะอาหารอร่อยและราคาถูก ไม่นานคนก็พากันรู้ข่าวว่ามีเด็กคนหนึ่งที่อยู่ร้านแม่ที่เก่งภาษาอังกฤษ คนก็เริ่มพากันมาหาฉันเพื่อให้ฉันแปลจดหมายและเอกสารอื่นๆ เป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทย ฉันเริ่มเป็นนักแปลมืออาชีพตอนอายุได้ 15 ปี ฉันได้แปลจดหมายรักมากมายให้กับสาวแก่แม่ม่ายในยโสธรที่มีแฟนเป็นชาวต่างชาติ นอกจากนั้นฉันก็ยังทำงานหาเงินพิเศษให้ตัวเองด้วย เวลาหลังเลิกเรียนและในวันเสาร์อาทิตย์ฉันก็จะสอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ รุ่นน้องที่อยู่ในละแวกนั้น

ร้านของแม่กับน้าก็เป็นที่ที่ฉันได้พบกับเพื่อนชาวอเมริกันคนแรก เขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันอยากเดินทางไปอเมริกา เขาชื่อว่าไมค์ ยังหนุ่มและหน้าตาหล่อมากทีเดียว ไมค์เป็นอาสาสมัครวิศวกรโยธาในโครงการ Peace Corps หรือหน่วยสันติภาพสหรัฐอเมริกาเพื่อมาช่วยในการเร่งรัดพัฒนาชนบทในประเทศไทย ไมค์จะมากินข้าวที่ร้านอาหารของน้าเกือบทุกอาทิตย์และไม่นานนักเราก็ได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไมค์ได้สอนภาษาอังกฤษและเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับอเมริกาให้ฉันฟัง เวลาผ่านไปสองปีไมค์ก็กลับบ้านไปทิ้งให้ฉันหลงใหลใฝ่ฝันที่จะไปอเมริกาให้ได้ ฉันจินตนาการว่ามันคงเป็นเมืองที่ศิวิไลซ์และน่าตื่นเต้นแห่งหนึ่งของโลก พอไมค์กลับไปแล้ว ฉันก็โฆษณาชวนเชื่อให้แม่กับน้าช่วยเป็นครอบครัวรับรองนักเรียนแลกเปลี่ยนจากรัฐหลุยเซียน่าให้มาอยู่กับเราที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อที่ฉันจะได้มีโอกาสฝึกภาษาอังกฤษเพิ่มเติม โจดี้เด็กสาวอเมริกันวัยสิบแปดกับฉันสนิทกันมาก เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนถึงปัจจุบันนี้ ตอนนั้นฉันก็มีเพื่อนชาวอเมริกาแล้วสองคนที่ฉันจะไปหาเมื่อมีโอกาสไปอเมริกา

ก่อนที่ฉันจะเรียนจบมัธยมปลาย ฉันได้สอบผ่านทุน AFS (American Field Service) ซึ่งเป็นโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนมัธยมให้ไปพักกับครอบครัวและเรียนหนังสือในประเทศต่างๆ เป็นเวลาหนึ่งปี ฉันสอบแข่งขันกับนักเรียนรุ่นราวคราวเดียวกันหลายร้อยคนจากสามจังหวัดและฉันเป็นคนเดียวที่สอบผ่าน แน่นอนฉันก็ได้เลือกไปอเมริกา แต่ก็ต้องอกหักเพราะปีนั้นมีคนเลือกไปอเมริกาเยอะมากจนไม่มีที่ว่าง ทางโครงการเลยส่งฉันไปประเทศญี่ปุ่นแทน

เหมือนกับมีบุญที่ฉันถูกส่งไปญี่ปุ่นแทนไปอเมริกา ฉันตกไปอยู่กับครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่มีฐานะดีมากและดูแลฉันเป็นอย่างดีตลอดเวลาหนึ่งปีที่อยู่ที่นั่น พ่อญี่ปุ่นของฉันเป็นหมอหู คอ จมูก และมีโรงพยาบาลเล็กๆ ที่บริหารจัดการโดยครอบครัวในใจกลางเมืองโกเบ พวกเขาเป็นชาวญี่ปุ่นที่น่ารักที่สุด เรายังติดต่อกันจนถึงปัจจุบันนี้ ตอนที่ฉันอยู่ที่นั่นฉันโชคดีหลายๆ อย่างตลอดทั้งปี ฉันได้เข้าเรียนในโรงเรียนคริสเตียนหญิงล้วนชื่อ Kobe College High School ซึ่งผู้ที่มีฐานะเท่านั้นถึงจะสามารถจ่ายค่าเล่าเรียนให้บุตรของตนได้ โอโห! ฉันต้องเผชิญกับประสบการณ์ใหม่ๆ และความแตกต่างทั้งทางด้านฐานะและวัฒนธรรมจนแทบตั้งตัวไม่ทัน จากเด็กบ้านนอกที่ยโสธรมาอยู่กับเด็กไฮโซที่ญี่ปุ่น มันเป็นชีวิตในอีกสังคมหนึ่งที่ฉันได้สัมผัสขณะที่ยังเล็กอยู่ ฉันได้สังเกตถึงความเป็นอยู่ของพวกเขา มันเป็นประสบกาณ์ที่ฉันไม่เคยลืมตราบเท่าทุกวันนี้ ตอนนั้นฉันมีอายุได้ 17 ปี

หลังจากได้ใช้ชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อเป็นเวลาหนึ่งปีที่ประเทศญี่ปุ่น ฉันก็กลับมาเรียนต่อในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ฉันสอบผ่านโควต้าพิเศษของทางมหาวิทยาลัยเพื่อรับเด็กอีสานที่มีคะแนนดีให้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก่อนที่จะพากันไปสอบเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่ออื่นๆ ในกรุงเทพ แม่ชอบใจกับโครงการนี้เพราะฉันจะได้เรียนใกล้บ้านและค่าใช้จ่ายก็น้อยกว่าที่ต้องไปเรียนกรุงเทพ ฉันเลือกเรียนเอกวิชาภาษาอังกฤษและเลือกวิชาวรรณกรรมตะวันตกเป็นวิชาโทในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ชีวิตสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ฉันเรียนหนักและก็เล่นหนักในเวลาเดียวกัน ฉันได้เป็นหัวหน้าชมรมภาษาอังกฤษและได้เป็นนักกีฬามหาวิทยาลัยในชมรมหมากกระดาน ฉันเป็นนักกีฬาในทีมหมากฮอสและสแครบเบิล แต่ก็ยังมีเวลาได้ออกเดทกับหนุ่มๆ จากหลายคณะ

พ่อแม่ของฉันภูมิใจที่สุดที่ได้ปรบมือให้ฉันตอนรับปริญญากับในหลวง ฉันจบปริญญาตรีโดยทำคะแนนได้สูงสุดในคณะจนได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และในปีสุดท้ายของการเรียนที่มหาวิทยาลัย ฉันก็สอบชิงทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (Monbusho) ได้อีกเพื่อไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ฉันเลือกที่จะเรียนวิชาสังคมวิทยาในคณะอักษรศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโกเบเพราะฉันชอบเมืองนี้มากและฉันก็มีเพื่อนชาวญี่ปุ่นหลายคนเมื่อตอนมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อยู่ในเมืองนี้

ก่อนที่จะเข้าเรียนในระดับปริญญาโทในคณะที่ฉันเลือกเรียนนั้น ทางทุนรัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดว่านักเรียนทุกคนจะต้องผ่านการเรียนคอร์สภาษาญี่ปุ่นระดับสูงเป็นเวลาหนึ่งปี ฉันเลยต้องเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างหนักก่อนที่จะเข้าเรียนในห้องเรียนกับนักเรียนญี่ปุ่น ทุกวิชาสอนเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด งานวิจัยและวิทยานิพนธ์ของเราก็ต้องทำเป็นภาษาญี่ปุ่น มาถึงจุดนี้ฉันได้ค้นพบว่า ฉันมีพรสวรรค์ในด้านภาษา ฉันสามารถเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ณ จุดนั้นภาษาญี่ปุ่นของฉันดีพอๆ กับภาษาอังกฤษเลยทีเดียว ตอนที่เรียนปริญญาโทอยู่นั้น ฉันก็ได้ไปทำงานพิเศษสอนภาษาไทยให้คนญี่ปุ่นที่โรงเรียนสอนภาษาเบอร์ลิซ (Berlitz) และที่สมาคมหอการค้าไทย-ญี่ปุ่นที่เมืองโอซาก้า ในช่วงนี้ฉันได้เริ่มเขียนตำราภาษาไทยให้กับชาวต่างชาติ

ช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 80 และต้นทศวรรษ 90 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในยุคที่เฟื่องฟูและเงินเยนแข็งตัวมาก จึงเป็นที่ดึงดูดให้ชาวไทยจำนวนมากหลั่งไหลไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นอย่างผิดกฎหมาย ผู้หญิงไทยก็จะทำงานเป็นโสเภณี ผู้ชายไทยก็ไปใช้แรงงานตามโรงงาน ในตอนนั้นยังไม่ค่อยมีคนไทยที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้ดี ทางเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นจึงต้องมาเกณฑ์นักเรียนไทยที่พูดญี่ปุ่นได้มาช่วยแปลให้กับคนไทยที่ถูกจับ จุดนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นล่ามมืออาชีพของฉัน ฉันทำงานหนักและก็ทำงานหลายอย่างจึงสามารถเก็บเงินเป็นกอบเป็นกำได้ ฉันได้รับเงินทั้งจากทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ทั้งจากการสอนภาษาไทยและเป็นล่าม มันเป็นเงินไม่น้อยสำหรับคนอายุในวัยยี่สิบต้นๆ ฉันได้ส่งเงินไปให้พ่อแม่ทุกเดือนและบอกให้แม่เลิกขายอาหาร ตอนนั้นพ่อก็ได้กลับจากมาการทำงานที่ตะวันออกกลางแล้ว และก็ได้สอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ ที่ยโสธร

การที่ฉันทำเงินได้ดีและมีเงินเข้ามาตลอดทำให้ฉันสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ ฉันเริ่มเดินทางด้วยตัวเองไปเที่ยวและเยี่ยมเพื่อนฝูงตามเมืองต่างๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่น ตอนนั้นประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ปลอดภัยสำหรับหญิงสาวที่จะเดินทางตามลำพัง ในช่วงที่ปิดเทอม ฉันก็เริ่มเดินทางเที่ยวด้วยตัวเองในแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในการเดินทางท่องเที่ยวครั้งหนึ่งตอนไปประเทศเกาหลี ฉันก็ได้พบกับหนุ่มอเมริกันคนหนึ่งในวัย 40 ต้นๆ เขาชื่อจอห์น เบคเกอร์ เขาเป็นคนฉลาด มีความรู้มาก ชอบอ่านหนังสือ สุภาพเรียบร้อย และเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง เขารู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองไทยและวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างดี เพราะเขาทำธุรกิจขายพลอยที่ผลิตในประเทศไทย เราได้ทำความรู้จักกันและเป็นเพื่อนกัน เขาได้เชิญฉันให้มาเยี่ยมเขาที่อเมริกา ในที่สุด ความฝันที่จะมาอเมริกาของฉันก็เป็นความจริง อเมริกาเป็นดินแดนที่ฉันใฝ่ฝันที่จะมาอยู่ตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น ฉันจึงกระโดดรับคำเชิญทันที ฉันได้มาเยือนอเมริกาครั้งแรกในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนขณะที่ฉันยังเรียนปริญญาโทอยู่ที่ญี่ปุ่น

สองปีหลังจากที่ฉันเดินทางมาเที่ยวอเมริกาเป็นครั้งแรก ฉันก็ได้รับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยโกเบ แล้วฉันก็ได้แต่งงานกับจอห์น และได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองเบิร์คเลย์ (Berkeley) รัฐแคลิฟอร์เนีย เมืองเบิร์คเลย์ (ชาวอเมริกันออกเสียงว่าเบิ๊ร์ค-หลิ) เป็นเมืองที่ไม่เหมือนกับประเทศอเมริกาที่ฉันได้จินตนาการไว้ แต่ดูแล้วมันเป็นเมืองที่เหมาะกับฉันที่สุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงได้ส่งฉันให้มาอยู่ที่เมืองนี้ ฉันเรียนรู้ภายหลังว่าเมืองเบิร์คเลย์เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มีความคิดอิสระเสรี มีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง มีอากาศดีเกือบตลอดทั้งปีและเต็มไปด้วยร้านอาหารไทย

ขณะที่ฉันรอที่จะได้รับใบอนุญาตทำงานและใบเขียวอยู่นั้น หน้าที่หลักของฉันคือเป็นแม่บ้าน ฉันรู้สึกอึดอัดมากเพราะฉันเคยทำงานหาเงินด้วยตนเอง พอมาถึงตอนนี้เงินที่สะสมมาก็หมดไปจากการส่งให้ครอบครัวและจากการเดินทางท่องเที่ยวและการเดินทางมาหาจอห์นหลายครั้งก่อนที่เราจะแต่งงานกัน ทางครอบครัวของฉันก็คาดหวังว่าฉันจะเป็นคนส่งเงินให้เพราะฉันทำงานอยู่เมืองนอกและทำเงินได้มากกว่าสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว พี่ชายพี่สาวของฉันทำงานเป็นข้าราชการ แต่ตอนนั้นข้าราชการไทยเงินเดือนน้อยมาก ฉันเลยต้องเป็นคนรับผิดชอบที่จะต้องส่งเงินให้พ่อกับแม่ แต่ตอนนี้พี่น้องคนอื่นๆ เริ่มมีฐานะดีขึ้นมาก จึงได้ช่วยฉันแบ่งเบาภาระเรื่องนี้ได้มาก

ช่วงที่ฉันรอใบเขียวอยู่นั้น ฉันก็ได้อาสาสมัครเป็นครูสอนภาษาไทยที่วัดไทยในเมืองเบิร์คเลย์ ฉันก็ได้สอนนักเรียนตัวต่อตัวที่บ้านด้วย ฉันเริ่มเขียนตำราสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากที่ได้ทำไว้แล้วตอนที่อยู่ที่ญี่ปุ่น และได้เรียนรู้วิธีการพิมพ์และจัดหน้าหนังสือ รวมทั้งได้ศึกษาถึงการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

ภายในหนึ่งปีหลังจากการแต่งงาน ฉันก็ได้ใบเขียวและก็เริ่มที่จะหางานทำ คนไทยส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในอเมริกามักจะหางานทำตามร้านอาหารไทย แต่ฉันอยากทำงานที่สามารถใช้ทักษะทางด้านภาษาของตน ฉันได้ข่าวว่ามีตำแหน่งอาจารย์สอนภาษาไทยว่างที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ฉันเลยรีบสมัครและก็ได้รับเข้าทำงานสอนที่นั่น ในเวลาเดียวกันฉันก็ได้เตรียมตัวสอบเป็นล่ามในศาล โชคดีที่ฉันสอบผ่านทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์จากการสอบเพียงครั้งเดียว ฉันได้เป็นล่ามภาษาไทยและภาษาลาวคนแรกที่ขึ้นทะเบียนกับสภายุติธรรมแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียในปีค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538) หลังจากนั้นไม่นานฉันก็ได้เปิดบริษัทแปลภาษาชื่อศูนย์บริการภาษาไทย-ลาว ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงที่เทคโนโลยีในเขตซิลิคอนแวล์ลี่กำลังเฟื่องฟู ตั้งแต่ฉันเริ่มทำธุรกิจนี้ ฉันได้กอบโกยประสบการณ์อย่างแทบไม่น่าเชื่อจากการแปลเอกสารและการเป็นล่ามให้กับคนไทยและคนลาวกว่า 3,000 คดี นอกจากเป็นล่ามกฎหมายแล้ว ฉันยังเป็นล่ามด้านการแพทย์ในคลินิก โรงพยาบาล สถาบันโรคจิตและเป็นล่ามให้กับธุรกิจต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา ฉันได้เขียนเรื่องราวชีวิตการทำงานเป็นล่ามเป็นภาษาอังกฤษและเป็นหนังสือที่ได้รับรางวัลหนังสือดีเด่นจากสถาบัน Asian Publishing หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า The Interpreter’s Journal: Stories from a Thai and Lao Interpreter (บันทึกของล่าม - เรื่องเล่าจากล่ามไทย-ลาว)

ในช่วงที่ฉันอายุได้ 30 ต้นๆ ธุรกิจการแปลภาษาและงานเขียนของฉันเจริญรุ่งเรืองมากจนฉันต้องจ้างให้คนมาช่วยงาน ช่วงนั้นทำเงินได้ดีมากแต่ร่างกายเริ่มที่จะไม่สมดุลเพราะว่าทำงานหนักเกินไป ฉันพยายามทำงานตรากตรำเพื่อหาเงินโดยที่ไม่ดูแลสุขภาพของตัวเองและไม่ใส่ใจกับสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตของตัวเอง ความสัมพันธ์ของฉันกับจอห์นเริ่มโรยรา ในที่สุดเราก็ต้องจบลงที่การหย่าร้างหนึ่งเดือนก่อนครบรอบการแต่งงานปีที่เก้าของเรา

หลังจากที่ร่างกายทรุดโทรมและเลิกกับสามีแล้ว ฉันก็เริ่มที่จะเปลี่ยนชีวิตใหม่โดยเริ่มจากการดูแลสุขภาพตัวเองและมีไลฟ์สไตล์ที่เน้นเรื่องสุขภาพ และฉันก็ได้แสวงหาความหมายของคำว่าความสุขในชีวิต การที่ได้เป็นพลเมืองของประเทศอเมริกาจากการเปลี่ยนสัญชาติหรือเรียกกันว่าเป็นซิติเซ่นนั้น ทำให้ฉันสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศต่างๆ ได้อย่างง่ายดายเพราะเมื่อถือพาสปอร์ตอเมริกาแล้วไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าเข้าประเทศต่างๆ กว่า 160 ประเทศ หรือถ้าจำเป็นต้องขอวีซ่า ก็ไม่เคยมีปัญหา

ฉันได้เริ่มที่จะเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้งและต้องการที่จะหาคู่ชีวิตที่เข้ากันกับฉันได้ดีกว่าคนเดิม ฉันเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ และกลับมาทำสิ่งเก่าๆ ที่ตนเคยชอบทำ ฉันชอบเต้นรำมาก ฉันเลยไปเรียนเต้นรำตามโรงเรียนสอนเต้นรำหลายแห่งจนถึงขั้นที่ฉันออกแสดงได้ ตอนนี้ฉันสามารถเต้นละตินได้อย่างสบายในจังหวะต่างๆ เช่น อาร์เจนทีนแทงโก้ ซอลซ่า เมเรงเก้ บาชาตะ และคุมเบีย ฉันเริ่มออกเดทกับหนุ่มๆ ที่อยู่ในคลับและที่เจอจากอินเตอร์เน็ต และฉันได้เดินทางไปหลายประเทศ โดยเฉพาะในแถบละตินอเมริกาและฉันได้เรียนรู้ภาษาใหม่อีกภาษาหนึ่ง นั่นก็คือภาษาสเปน

ฉันคิดว่าชีวิตของการเป็นโสดอีกครั้งช่างเป็นชีวิตที่สนุกสนานและน่าตื่นเต้นจริงๆ มันเป็นชีวิตที่มีอิสรภาพ ฉันอยากทำอะไรก็ได้ตามใจตัวเอง ฉันจะไปเต้นรำกลับมาดึกๆ ดื่นๆ หรือกลับเช้าก็ไม่มีใครว่า การที่ได้ออกเดทกับหนุ่มๆ หลายอาชีพ หลายเชื้อชาติทำให้ฉันรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไรในตัวผู้ชายที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของตน ฉันได้เขียนรายการคุณสมบัติที่ฉันเรียกว่า "บัญญัติสิบประการ" ที่ตัวเองต้องการในตัวผู้ชาย และฉันได้บอกกับตัวเองว่าจะต้องได้ตามนี้ ถ้าไม่ได้ ก็อยู่เป็นโสดดีกว่า

แต่ฉันก็เป็นโสดได้ไม่นาน ฉันได้พบกับผู้ชายอเมริกันรูปหล่อคนหนึ่งที่มีทุกอย่างที่ฉันต้องการตามรายการที่ฉันเขียนเอาไว้ ฉันพบกับนิโคลัสที่งานปาร์ตี้ของกลุ่มสถาปนิกที่เมืองซานฟรานซิสโก เราปิ๊งกันทันที ความรู้สึกและสัมผัสที่หกของฉันได้บอกว่าเขาคือคนที่ฉันหามานานและเขาคือเนื้อคู่ของฉัน หลังจากที่รู้จักกับเขาได้ไม่นานฉันก็ได้พบว่าเขามีคุณสมบัติที่ดีอื่นๆ มากกว่าที่ได้บัญญัติไว้ จากประสบการณ์ที่ได้เดทชายที่หลากหลายด้านอาชีพ อายุ เชื้อชาติ ทำให้ฉันรู้ว่าผู้ชายที่ใช่สำหรับเราคือใคร หกเดือนหลังจากที่เราได้พบกันครั้งแรกเราก็ได้แต่งงานกัน และฉันก็ได้อยู่กับนิโคลัสชายในฝันอย่างมีความสุข ณ เมืองซานฟรานซิสโกตั้งแต่นั้นมา

ต่อจากนี้ไป ฉันจะแบ่งปันประสบการณ์ของตนจากมุมมองของล่ามให้กับท่านผู้อ่าน ณ คอลัมน์นี้ค่ะ