ล่ามมือสมัครเล่น

หลังจากที่ได้มีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับคนส่วนใหญ่ที่เป็นผู้อพยพ รวมไปถึงพี่น้องชาวไทยชาวลาวที่พบกันที่วัด ปัญหาที่พบเจอส่วนใหญ่เลย คือเรื่องของการสื่อสาร หลายคนมีปัญหากับที่ทำงานแต่ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร หรือมีอีกหลายคนที่เจ็บป่วยแต่ ไม่กล้าไปหาหมอด้วยไม่รู้ว่าจะพูดกับหมอว่าอย่างไรถึงอาการ ฉะนั้น การสื่อสารเหมือนกับเป็นประตูหนึ่งที่เปิดโอกาสให้เรา ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายที่เราน่าจะได้รู้ ดังนั้นภาษาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราถูกเอารัดเอาเปรียบ แต่ไม่สามารถปกป้องสิทธิ์ของตัวเองได้ เพราะไม่สามารถอธิบายได้นั่นเอง ช่วงที่มาเป็นอาสาสมัครให้วัด ฉันมีโอกาสได้ใช้ความสามารถทางภาษาช่วยเหลือพี่น้องคนไทยที่นี่หลายคน เช่น ไปช่วยเป็นล่ามที่โรงพยาบาล ความจริงที่โรงพยาบาลจะมีล่ามทางโทรศัพท์อยู่แล้ว แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยากให้ฉันไปเป็นเพื่อน อย่างน้อยมีคนนั่งคุยไปด้วย ระหว่างรอพบหมอก็ยังดีกว่าอยู่คนเดียว เกิดหมอหรือพยาบาลถามอะไรมาจะได้ตอบได้ ที่สำคัญถ้าเขาให้เซ็นเอกสารใดๆ จะได้แน่ใจว่าเข้าใจถูกต้องก่อนเซ็น หรือมีเคสที่พี่ผู้หญิงคนหนึ่งทำงานที่ร้านอาหารไทย แล้วเจ้าของร้านไม่จ่ายค่าแรงมาเป็นเดือน พี่คนนี้ไปทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด ฉันก็งง ว่าเหตุใดเธอยังคงไปทำงานให้เขาทั้งๆ ที่ไม่ได้รับค่าจ้าง เธอบอกว่า ทุกครั้งที่เธอจะลาออกหรือทวงเงิน เจ้าของร้านจะขู่ว่าจะเรียกหน่วยอิมมิเกรชั่นมาจับ แล้วส่งเธอกลับบ้านโดยที่เธอจะไม่ได้พบหน้าลูกอีกเลย เรื่องอิมมิเกรชั่นเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับโรบินฮู้ดอยู่แล้ว ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดีเพราะฉันเองก็เคยป็นโรบินฮู้ด ถึงแม้ว่าจะมีใครมาบอกเราว่า ไม่ต้องไปกลัวหรอก เขาไม่มาจับเราหรอก แต่ใครจะการันตีได้ล่ะว่าถ้ามีปัญหาขึ้นมาแล้วใครจะช่วยเรา เมื่อทราบเรื่องของเธอ ฉันจึงพาเธอไปหาทนายที่องค์กรไม่แสวงหากำไรแห่งหนึ่งที่ทำงานช่วยเหลือโรบินฮู้ดที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง โดยไม่คิดค่าบริการ การไปครั้งนั้นทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า พวกเราไม่ว่าใครก็ตาม ต้องได้รับค่าจ้างขั้นต่ำตามกฏหมายแรงงานของรัฐนั้นๆ กฏหมายไม่ได้บอกว่าค่าแรงขั้นต่ำจ่ายให้เฉพาะคนอเมริกันเท่านั้น โรบินฮู้ดที่ทำงานก็ต้องได้ค่าแรงและเวลาพักเบรกด้วยเช่นกัน ฉันพาพี่คนนี้ไปหาทนายประมาณเกือบสิบครั้งถึงจะได้ยื่นเรื่อง เนื่องจากทนายต้องการรายละเอียดที่รัดกุมที่สุด และต้องแน่ใจว่าเคสของเราจะมีข้อมูลเพียงพอที่จะฟ้องร้องเจ้าของร้านได้ อีกทั้งต้องมีพยานหลักฐานเพียงพอจึงจะยื่นฟ้อง ต้องใช้เวลาหลายเดือนเหมือนกัน ตอนนี้เรื่องอยู่ในชั้นศาล ก็คงต้องมาลุ้นกันต่อว่าจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าพี่เค้าชนะ ก็จะได้เงินหมื่นกว่าเหรียญ เพราะทนายบวกเงินค่าแรงขั้นต่ำที่พี่เขาต้องได้ ค่าล่วงเวลาที่เค้าทำงานแบบไม่มีวันหยุดมาเป็นแรมปี แต่ถ้าพี่เขาแพ้ อย่างน้อยก็ถือว่าเราได้ทำในสิ่งที่ควรทำ และเป็นสิทธิ์ของเราที่จะได้รับค่าแรงคืนมา

นอกเหนือจากนั้น ฉันก็ช่วยคนไทยแปลเอกสาร เช่นใบเกิด ในรับรองแพทย์ หรือเอกสารที่จะใช้ทำใบเขียวหรือสอบซิติเซ่น และยังช่วยวัดแปลเอกสารเวลาที่พระอาจารย์ต้องใช้ ไปติดต่อกับสถานที่ราชการ และเขียนหนังสือด้วย หนังสือที่ฉันกำลังทำให้วัดนี้ เป็นหนังสือ ครบรอบยี่สิบปีก่อตั้งวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ชิคาโก เป็นเรื่องเล่าอัตชีวประวัติของท่านเจ้าอาวาส ตั้งแต่ท่านเกิด จนมาอยู่ที่อเมริกา การตั้งวัด และโครงการต่างๆที่จัดขึ้นในวัดตลอดยี่สิบปี วิธีการคือ ฉันจะให้ท่านเล่าแล้วอัดสียงลงเครื่องอัด แล้วฉันมานั่งแกะคำพูดของท่านพิมพ์ลงหนังสือ ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันทำหนังสือเอง ตั้งแต่อัดเสียง เขียนลงไป จัดหน้า หารูปประกอบ สัมภาษาณ์คนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ วางรูปเล่ม และส่งพิมพ์ รวมทั้งแปลเป็นภาคภาษาอังกฤษ ด้วย หนังสือเล่มนี้ นอกจากจะเป็นการโปรโมทวัดแล้ว ยังอาจจะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ สำหรับคนรุ่นหลังในอนาคตด้วยก็ได้ ใครจะรู้

หนังสือเล่มนี้ตั้งใจว่าจะตีพิมพ์ภายในสิ้นปีนี้เพื่อให้ทันแจกเป็นของขวัญวันปีใหม่ 2017 ที่จะถึงนี้ ทั้งหมดที่ทำเป็นงานอาสา ฉันไม่คิดค่าแรงและค่าเวลาใดๆ ทำฟรีทั้งหมด แต่ก็มีพี่ๆหลายคนเกรงใจที่ฉันไม่คิดเงิน หลายครั้งก็จะมีกับข้าวอร่อยๆ เช่นข้าวมันไก่ น้ำพริกกะปิ ขนมไทย ทุเรียนกวน ที่ฉันคิดว่าดีกว่าได้เป็นค่าจ้างเสียอีกเพราะ อาหารบางอย่างหายากแล้วฉันก็ทำไม่เป็นด้วย

มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ฉันอยากเป็นล่ามมากจริงๆ เกิดขึ้นเมื่อประมาณเดือน สิงหาคมปี 2015 น้าปอ (นามสมมุติ) มาขอความช่วยเหลือให้ฉันช่วยไปเป็นล่ามที่ศาลให้หน่อย เรื่องมีอยู่ว่า น้าปอขับรถไปตามถนนที่วิ่งด้วยความเร็วต่ำ เพราะถนนนั้นมีสี่ stop sign ต่อเนื่องกัน พอผ่าน stop sign แรกรถกำลังจะเคลื่อนตัวไป อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถมาอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงคนนั้น โบกเรียกรถแท็กซี่จากถนนฝั่งตรงกันข้าม แล้ววิ่งพุ่งไปหาแท็กซี่ที่จอดรออยู่โดยที่ไม่ทันสังเกตรถน้าปอ เธอล้มลง รองเท้าส้นสูงหักข้างหนึ่ง และเธอใช้ฝ่ามือยันตัวไว้ตอนล้มจึงมีแผลห้อเลือดที่ฝ่ามือ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ตำรวจเข้ามาไกล่เกลี่ย แล้วนัดไปเจอที่ศาลในอีกหนึ่งเดือนถัดมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันต้องไปศาล ฉันไม่เคยไปมาก่อนเลย ก็ไม่รู้ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร น้าปอดูกลัวและเครียดมาก แกบ่นว่ามาอยู่อเมริกาเกือบสามสิบปีแล้ว แต่ภาษาไม่พัฒนาไปเลย พร้อมกับบ่นถึงลูกสาวไปตลอดทาง ว่าทำงานส่งลูกเรียนจนจบปริญญาโท แต่เวลามีปัญหากลับต้องวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น อ้างว่าไม่ว่าง ฉันว่าคนไทยหลายๆ คนที่ทำงานแต่ในร้านอาหาร หรือคลุกคลีอยู่แต่กับคนไทยด้วยกันก็คงรู้สึกเช่นเดียวกับน้าปอ เพราะมัวแต่ทำงานจนไม่มีโอกาสออกไปฝึกและพัฒนาความรู้ของตน เล่ามาถึงตรงนี้ก็อยากจะขอฝากไปถึงลูกสาวลูกชายทั้งหลายด้วยนะคะว่า เวลาที่คุณพ่อคุณแม่ขอความช่วยเหลือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านไม่สบายต้องไปหาหมอ นี่เป็นโอกาสทองของคุณที่จะได้ตอบแทนท่าน ไม่มีใครอะไรจะทำให้ท่านอุ่นใจเท่าที่มีลูกไปด้วยหรอกค่ะ คุณจะได้เข้าใจอาการของท่านได้อย่างละเอียด และสามารถกลับมาดูแลท่านต่อตามคำแนะนำของแพทย์ เกือบทุกเคสที่ดิฉันไปเป็นล่ามให้ ล้วนแล้วแต่มีลูกสาวลูกชายโตและเรียนหนังสือที่นี่ทุกคน บางคนความรู้ภาษาอังกฤษดีกว่าฉันหลายเท่าเพราะมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็ปฏิเสธเพราะบอกว่าลางานไม่ได้ ตัวฉันเองก็ไม่ได้ว่างเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะต้องทำงานด้วยเรียนด้วย และทำงานให้ที่วัดด้วย แต่ถ้าพี่ป้าน้าอาต้องการความช่วยเหลือและบอกก่อนล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์ ฉันยินดีหาเวลามาช่วยได้เสมอ ฉะนั้นถ้าที่ทำงานไหนเขาไม่อนุญาต ให้คุณลามาเป็นเพื่อนคุณพ่อคุณแม่เวลาที่ท่านต้องไปโรงพยาบาลหรือไปศาล คุณก็ไม่ควรทำงานกับเค้าหรอกค่ะ เพราะเขาไม่มีน้ำใจ แต่ความจริงที่ไหนๆเค้าก็ให้ลาทั้งนั้นนะคะ นอกเสียจากว่าคุณจะไม่อยากมาเอง

กลับมาที่เรื่องของน้าปอต่อดีกว่า เมื่อไปถึง คู่กรณีมาพร้อมทนายแต่ทาง บริษัทประกันรถของน้าปอไม่เห็นส่งใครมาเลย ฉันเดาว่าเค้าคงถามน้าปอแล้วแต่น้าปออาจจะไม่รู้ว่าเค้าหมายถึงอะไรจึงไม่ได้ให้เขามา พอถึงเคสของเรา ผู้พิพากษาถามว่าฉันเป็นใคร ฉันแนะนำตัวว่ามาเป็นล่ามให้น้าปอ ศาลบอกว่าไม่ได้ ศาลไม่อนุญาตให้คนนอกมาแปล ต้องเป็นล่ามที่ผ่านการสอบและได้ใบประกาศของศาลแล้วเท่านั้น วันนั้นเลยกลับบ้านแบบ งงๆ ตกลงศาลนัดล่ามของศาลและพวกเราให้กลับไปอีกครั้งหนึ่ง

ในอีกสามอาทิตย์ถัดมา วันนั้นเราไปนั่งรอก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง ด้วยน้าปอหว้งว่าจะได้มีโอกาสพูดคุยและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆให้ล่ามฟังเสียก่อน ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะเปิดโอกาสให้เราได้พบและพูดคุยกับล่ามก่อนหรือไม่ เมื่อเวลานัดมาถึงแต่ล่ามเรายังไม่มา เราจึงต้องรอต่อไป ผ่านไปสิบห้านาที เธอวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ไม่ทันที่น้าปอจะได้เล่าอะไร ผู้พิพากษาก็เรียกเราเข้าไปเสียแล้ว ผู้พิพากษาให้น้าปอแนะนำตัว แต่บอกกับน้าปอว่า ให้เวลา ห้านาที ออกไปไกล่เกลี่ยกันก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาพิจารณาอีกที เพราะดูแล้วไม่ใช่อุบัติเหตุใหญ่ที่ยอมความกันไม่ได้ เราจึงเดินตามผู้ไกล่เกลี่ยออกมาข้างนอกห้อง มาถึงตอนนี้ผู้ไกล่เกลี่ยบอกว่า หากน้าปอยอมรับผิด (Plead Guilty) น้าปอจะต้องเสียเงิน ค่าปรับให้ศาล $270 เหรียญและบำเพ็ญประโยชน์อีก 16 ชั่งโมง น้องที่เป็นล่ามแปลว่า “หากน้าปอยอมรับผิด น้าปอจะต้องเสียเงิน ค่าศาล $270 เหรียญและต้องทำงานให้ศาลอีก 16 ชั่งโมง” น้าปอถามว่างานอะไร เธอตอบเป็นภาษาอังกฤษว่า “Social Service” น้าปอหันมาถามฉันว่า มันคืออะไร ฉันจึงแปลให้น้าปอฟังอีกที ฉันไม่เข้าใจว่าเธอมาเป็นล่ามทำไม ถ้าเธอแปลไม่ได้ ประโยคต่อมา ผู้ไกล่เกลี่ยบอกว่า แต่ถ้าน้าปอไม่ยอม ก็ต้องมาขึ้นศาลเรื่อยๆ จนกว่าคดีจะสิ้นสุด และถ้าแพ้ ใบขับขี่จะถูกยึดชั่วคราว และโดนข้อหาอีกสี่กระทง น้องล่ามแปลให้น้าปอฟังแบบไทยคำอังกฤษคำ ฉันจึงถามเธอไปว่า สี่กระทงที่จะเจอมีอะไรบ้าง เธอยืนเกาหัวแล้วบอกว่าฟังไม่ทัน ฉันจึงบอกผู้ไกล่เกลี่ยพูดให้อีกที แล้วฉันจะแปลเอง ผู้ไกล่เกลี่ยหันมาดุฉันว่าฉันไม่มีสิทธิ์แปล เพราะต้องให้น้องคนนั้นแปล ในที่สุดเลยไม่รู้เลยว่าสี่กะทงที่ว่าคืออะไร และผู้ไกล่เกลี่ยก็หันมาถามน้าปอว่าตกลงว่าจะเอายังไง ฉันเลยบอกน้าปอว่าถ้าเป็นฉัน คงยอมจ่ายค่าศาลและไปบำเพ็ญประโยชน์เรื่องจะได้จบ เพราะการมาศาลเรื่อยๆ แบบนี้น้าปอต้องลางาน และไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร จะโดนอะไรอีกบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นฉันบอกให้น้าปอเป็นคนตัดสินใจ ตอนแรกน้าปอลังเลเพราะคิดว่าน้าไม่ได้ชนเค้ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่ดูแล้วคู่กรณีท่าทางเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เธอบอกว่าเธอจะต้องไปสแกนสมองและอะไรอีกหลายอย่าง ดูแล้วคงเรียกค่าเสียหายเต็มที่เหมือนกัน โชคดีที่รถขับไปอย่างช้าๆ ไม่ได้ชนเธอรุนแรง ฉันหันไปถามผู้ไกล่เกลี่ยอีกทีว่า ตกลงถ้าเลือกยอมรับผิดน้าปอไม่ต้องจ่ายอะไรแล้วใช่ไหม รวมไปถึงค่าใช้จ่าย ค่ายาของคู่กรณีด้วย ผู้ไกล่เกลี่ยว่าอันนั้น เป็นเรื่องของบริษัทประกันที่ต้องรับผิดชอบ โชคดีที่น้าปอทำประกันชั้นหนึ่งไว้ ผู้ไกล่เกลี่ยพยายามจะให้น้าปอยอมเพราะจะเรื่องได้จบ และหันมาถามน้าปออีกทีว่าตกลงว่าอย่างไร น้องล่ามคนนั้นตอบ “Yes” ทันที คราวนี้ฉันโมโหเลยว่าไปว่า เธอตอบ “Yes” แทนน้าปอไปเลยได้อย่างไร เธอควรรอให้น้าพูดออกมาก่อน ตกลงน้าก็ตกลง ตามนั้น แต่นี่เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ฉันอยากมาเป็นล่าม เพราะ การแปลของน้องคนนี้ทำให้ฉันผิดหวังมาก มาสายไม่พอยังแปลผิดแปลถูกอีก ไม่ทราบเมื่อกันว่าสอบผ่านมาได้อย่างไร ปกติฉันไม่ค่อยว่าใครแต่คนนี้ต้องตำหนิจริงๆ เรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลนั้นต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งระหว่าง ชีวิตของคนที่เราแปล อาจจะดีหรือร้ายก็ได้ขึ้นอยู่กับการแปลของเรา หากแปลออกมาผิดแล้วศาลตีความไปคนละอย่าง แล้วเค้าเกิดต้องติดคุกจะว่าอย่างไรเล่า ใครจะรับผิดชอบ ก่อนกลับฉันถามน้องว่าเรียนทางไหนมา เธอว่าเรียน จบ MBA online มาและมาแต่งงานกับชาวอเมริกัน ไม่ได้เรียนทางด้านภาษามาโดยตรง ความจริงเธอก็มีความดีอยู่บ้าง เอาเป็นว่า อย่างน้อยที่สุดเธอก็เป็นแรงบัลดาลใจให้ฉันอยากมาเป็นล่ามก็แล้วกัน


ครั้งแรกกับการมาทำงานเป็นล่ามฉับพลัน โดย กฤษพร สุริยจันทร์

ฉันได้มีโอกาสมาทำงานเป็นล่ามฉับพลันครั้งแรกในเดือน พฤษภาคม 2016 และนี่เป็นการเปิดโอกาสให้ได้มารู้จักกับพี่เอ๋ เบญวรรณที่ฉันเองก็อยากพบมานาน ฉันรู้จักชื่อของพี่เอ๋ครั้งแรก ก็ตอนที่ฉันต้องไปเป็นล่ามให้ลุงคนหนึ่งที่ต้องไปสอบซิติเซนต์ ลุงคนนี้ พูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลยเพราะทำงานอยู่แต่ในร้านอาหาร ฉันเลยลองค้นทางอินเตอร์เนตดูว่ามีข้อสอบฉบับแปลเป็นภาษาไทยหรือไม่ปรากฏว่ามีเป็นของที่พี่เอ๋แปลไว้หลายปีที่แล้ว จึงได้รู้จักชื่อเสียงและเรื่องราวของพี่เอ๋จากหนังสือประวัติการทำงานที่พี่เอ๋เขียน ฉันได้ถ่ายเอกสารข้อสอบฉบับภาษาไทยนี้มากกว่ายี่สิบชุดแจกให้ที่วัดด้วย ปรากฏว่ามีคนร้องขอกันมากจนถ่ายเอกสารไม่ไหว เลยใช้วิธีส่งทางอีเมลล์แทน ไม่เปลืองกระดาษด้วย ทำให้ฉันทราบว่ามีคนหลายคนที่สามารถจะเป็นซิติเซนต์ได้ แต่กลัวการไปสอบเพราะเห็นว่าข้อสอบภาษาอังกฤษนั้นยาก อย่างน้อยมีแปลเป็นไทยไว้ให้ท่องก็พออุ่นใจได้บ้าง กลับมาที่เรื่องล่ามฉับพลันกันต่อ น้องผู้หญิงคนหนึ่ง ติดต่อให้ฉันมาเป็นล่ามฉับพลันคู่กับที่เอ๋ ที่งาน Buzz Beyond เป็นงานของบริษัทแอมเวย์ที่จะมาโปรโมทสินค้าที่ชิคาโก ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะจะได้เจอพี่เอ๋จริงๆเสียที ความจริงฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับแอมเวย์เหมือนกัน แต่ไม่รู้จักสินค้าและระบบของเค้าเลย จึงต้องมานั่งศึกษา ผ่านทางยูทูปล่วงหน้าประสองเดือน ฉันก็ลองอัดเสียงตัวเองแล้วฟังดูว่าใช้ได้หรือไม่ พร้อมกันส่งเสียงอัดไปให้พี่เอ๋ฟังล่วงหน้าด้วย ตอนนั้นเริ่มคุยกันแล้วผ่านทางเฟซบุค ซึ่งพี่เอ๋ก็ให้คำแนะนำมาปรับปรุงแก้ไข เมื่อถึงวันงาน ฉันชวนสามีไปเป็นเพื่อนด้วย เพราะไม่รู้จักใครเลยในงานนอกจากน้องผู้หญิงคนนั้นที่ติดต่อให้ฉันมาแปล แต่เนื่องจากเธอเป็นแม่งาน ฉันเดาว่าเธอคงไม่มีเวลามาคุยกับฉันมากนัก ฉันคิดว่าพี่เอ๋คงหยิ่งและเนื่องจากเธอเป็นคนมีชื่อเสียง และอาจจะแฟนคลับมาคุยกับเธอมากมายก็ได้ อย่างน้อยเอาสามีไปด้วยก็ยังมีเพื่อนคุยไปพลางๆ แต่พอมาพบกับพี่เอ๋รู้ก็สึกแปลกใจมากที่พี่เอ๋เป็นคนอัธยาศรัยไมตรีดีมาก ไม่หยิ่งหรือถือตัวเลย พี่เอ๋เข้ากับคนได้ง่ายมาก ไม่เรื่องมากและไม่ถือตัวเลย เมื่อถึงเวลาทำงานจริงๆ พี่เอ๋มีความเป็นมืออาชีพสูงมาก และที่ฉันประทับใจมากเลยก็คือการที่เวลาฉันพูดผิด พี่เอ๋จะคอยจดไว้และรีบแก้ไขให้ทันที โดยไม่ตำหนิว่าฉันผิดหรือแสดงอาการการดูถูกฉัน ฉันต้องยอมรับอย่างจริงใจว่าการมาเป็นล่ามครั้งแรกของฉันนั้น มีข้อบกพร่องมากทีเดียวที่ต้องแก้ไข รวมไปถึงการใช้แกรมม่าและการออกเสียงที่ถูกต้องด้วย นอกจากนั้นฉันได้เรียนรู้ว่าการไปแปล ไม่ใช่สักแต่ว่ารู้ศัพท์หรือพูดภาษาอังกฤษได้ แต่เราต้องเข้าใจบริบทหรือสินค้าที่เราจะแปลด้วย จากวันที่พบพี่เอ๋ ทำให้ฉันพบความจริงข้อหนึ่งว่า ต่อให้คุณฝึกฝนมาสักร้อยสักพันครั้ง ก็ไม่เท่าการได้พบครูบาอาจารย์ที่ดีเพียงแค่ครั้งเดียว เพราะการมีครูคอยชี้แนะแก้ไขจะทำให้เราค้นพบข้อผิดพลาดของตัวเอง ยิ่งคุณพบเร็วแค่ไหน คุณก็จะพัฒนาตัวเองได้เร็วเท่านั้น คุณเคยสังเกตไหมว่า พระอาจารย์หลายรูปที่พวกเราเคารพนับถือ ล้วนแล้วแต่ดั้นด้นบุกป่าฝ่าดงไม่หาครูบาอาจารย์ทั้งนั้น หรือแม้แต่นักกีฬาเหรียญทอง ก็ยังต้องหาโค้ชชื่อดังมาสอนให้ บางทีเงินรางวัลที่ได้มายังน้อยกว่า เงินที่ต้องจ่ายให้โค้ชด้วยซ้ำไป แต่สิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่แค่ชื่อเสียงหรือเงินทองหรอก แต่เป็นความรู้ที่เราสามารถเก็บเกี่ยวนำไปใช้ได้ตลอดชีวิตต่างหาก ฉันได้พี่เอ๋นี่แหละที่เป็นแรงบันดาลใจ ให้ฉันอยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเป็นล่าม และอยากจะนำความรู้มาฝึกฝนและพัฒนาตนเอง เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าฉันเก่งแล้วนอกจากจะนำความรู้มาใช้งานหารายได้ให้กับตัวเอง ฉันยังจะสามารถนำความรู้ที่มีไปถ่ายทอดเป็นประโยชน์ให้กับผู้อื่นต่อไปด้วย