เกือบเลือกเดินผิดทาง... I Almost Chose the Wrong Path

ตอนเป็นเด็กสมัยประถม ที่โรงเรียนสามัคคีวัฒนา จังหวัดยโสธร ฉันเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนปานกลาง ทำคะแนนไม่ค่อยได้ดี โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรขาคณิต พีชคณิต ไม่ได้เรื่องเลย มาถึงปัจจุบันนี้ก็ยังอ่อนคณิตศาสตร์อยู่ ทำได้ดีแค่บวกลบ

พอโตขึ้นมาหน่อย เริ่มแต่ชั้นป. 5 เป็นต้นมา เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเรียนดีขึ้นบ้าง เพราะเริ่มได้เรียนวิชาภาษาอังกฤษในโรงเรียนเป็นครั้งแรก สมัยนั้น เด็กต่างจังหวัดที่เรียนโรงเรียนหลวงนั้น กว่าจะได้เรียน เอ บี ซี ก็ต้องรอจนถึงชั้นป. 5 ฉันจำได้ว่าประโยคแรกที่ได้เรียนจากหนังสืออ๊อกซ์ฟอร์ด คือ This is a book.

ตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นเป็นต้นมา ฉันก็เริ่มเป็นนักเรียนที่เด่นมากในห้องเรียน เพราะจะทำคะแนนวิชาภาษาอังกฤษได้เต็มหรือเกือบเต็มทุกครั้งที่มีการสอบ ทำให้ตัวเองรู้สึกชอบวิชานี้มากขึ้นเรื่อยๆ และชอบที่จะไปโรงเรียนเพราะสนุกกับวิชาที่ตนเรียน

พอตอนขึ้นชั้นม.สี่ ที่โรงเรียนยโสธรพิทยาคม ทุกคนต้องเลือกว่าจะเรียนสายไหน...สายวิทย์คณิต สายศิลป์คณิต สายศิลป์ภาษา หรือสายอาชีพ ฯลฯ เพื่อนๆ ที่เรียนมัธยมต้นในห้องเดียวกัน ต่างก็พากันเลือกสายวิทย์คณิตแทบทุกคนเพราะถ้าเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ก็จะมีโอกาสที่จะได้ไปสอบเป็นหมอ วิศวะ พยาบาล เภสัช

ความจริงแล้วลึกๆ ฉันก็อยากเป็นหมอมาก เพราะชอบเรื่องสุขภาพ ชอบด้านสรีรวิทยาและกายวิภาคศาสตร์ แต่วิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์เป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง โอกาสที่จะให้ฝันเป็นจริงนั้นยากมาก ก็เลยยกเลิกความฝันนั้น เลยตัดสินใจด้วยตัวเองที่จะเรียนสายศิลป์ภาษา พอฉันตัดสินใจที่จะทำเช่นนั้น ญาติๆ บางคนก็สงสารที่ฉันไปเรียนห้องนั้น เพราะมีแต่เด็กต่างอำเภอ เด็กบ้านนอกที่เข้าเรียน และก็เป็นห่วงว่าจบมาคงไม่มีงานทำนอกจากเป็นครู

ฉันไม่สนใจว่าใครจะว่ายังไง เพราะรู้ว่าตัวเองชอบเรียนภาษามากที่สุด รู้สึกมีความสุขที่ได้ไปโรงเรียน ได้ทำการบ้าน ฉันทำคะแนนได้สูงสุดเสมอ โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และวิชาภาษาไทย เลยรู้ว่าตัวเองเดินถูกทางแล้ว

ในช่วงที่เป็นนักเรียนโควต้าและเรียนเอกวิชาภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นอยู่นั้น รัฐบาลไทยได้มีโครงการมากมายที่โปรโมทการท่องเที่ยวของประเทศไทยและการลงทุนจากต่างประเทศ ต้องการผู้ที่มีทักษะทางด้านภาษาจำนวนมาก ฉันรู้เลยว่า จบมาต้องมีงานทำที่ดีแน่นอน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำงานอะไรดี จะเป็นเลขาของบอสต่างชาติดีมั้ย คงไม่ดีมั้ง เพราะคงไม่มีอนาคตเท่าไหร่ หรือว่าจะเป็นแอร์ แต่ก็คงไม่ได้เพราะตัวเตี้ยเกินไป งั้นเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษก็แล้วกัน แต่เอ๊ะ มันก็ยังรู้สึกไม่ใช่อยู่ดี เลยยังไม่ตัดสินใจว่าจะทำอะไรดี

ฉันทำคะแนนดีมากในระดับชั้นปริญญาตรี ทางมหาวิทยาลัยให้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยนะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้พยายามอะไรมากมายเลย เพียงแต่ไปเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบและทำคะแนนได้ดีเท่านั้น

พอเรียนตรีจบ เพื่อนๆ ส่วนใหญก็ออกไปทำงาน ได้งานดีๆ ทำทั้งนั้นเพราะเราเป็นนักเรียนเอกภาษาอังกฤษที่ตลาดกำลังต้องการ ส่วนฉันสอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่นได้เพื่อไปเรียนปริญญาโทที่นั่น ก็เลยยังไม่ต้องทำงาน ก็ดีเหมือนกัน เราชอบเรียนอยู่แล้ว ก็เลยเรียนไปเรื่อยๆ เขาให้ไปเรียนภาษาก่อน ปรากฏว่า ภาษาญี่ปุ่นเราก็เรียนดีกว่าเพื่อนนักเรียนไทยคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนเอกภาษาญี่ปุ่นมา ตอนนี้เริ่มรู้แล้วว่า ตัวเองมีพรสวรรค์ทางด้านภาษา

ช่วงที่ไปเรียนโทที่ญี่ปุ่นในต้นทศวรรษ 1990 คนไทยไปขุดทองที่นั่นกันเยอะ ไปทำงานไม่ถูกกฎหมายกันหรอก ผู้หญิงก็พากันไปทำงานอย่างว่า ผู้ชายก็ไปทำงานบริการผู้หญิงไทยอีกต่อหนึ่ง เวลาคนไทยถูกจับโดยต.ม.หรือเมื่อทำผิดคดีอาญา ทางการญี่ปุ่นไม่รู้จะไปหาล่ามจากไหน ก็เลยจำเป็นที่ต้องไปเกณฑ์นักเรียนไทยที่พูดภาษาญี่ปุ่นไปเป็นล่าม ฉันรีบกระโดดฉวยโอกาสทันที เพราะอยากไปฝึกภาษาและได้ตังค์ด้วย ตอนนั้นเขาให้วันละสองหมื่นเยนเลยนะ ตกเป็นเงินไทยเมื่อ 25 ปีก่อนก็วันละห้าพันบาทแหนะ ก็จะโดดเรียนไปเป็นล่ามทุกครั้งที่ถูกเรียกตัว ยกเว้นวันที่มีสอบ ตอนเรียนโทที่ญี่ปุ่น เป็นช่วงที่ทำเงินได้มากเลยทีเดียว แถมได้เงินทุนการศึกษาและเงินค่าใช้จ่ายประจำเดือนจากรัฐบาลญี่ปุ่นอีกด้วย

พอมาถึงตอนนี้ก็รู้แล้วว่า อาชีพที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดคืออาชีพเป็นล่าม ฉันชอบท่องศัพท์ ชอบใช้ภาษา ชอบพูด ชอบคุยกับคนจากหลายๆ ประเทศ หลังจากแต่งงานกับหนุ่มอเมริกันและได้ย้ายมาอยู่อเมริกาแล้ว ก็เริ่มทำธุรกิจล่ามและแปลภาษาอังกฤษ ไทยและลาวตั้งแต่นั้นมา ถึงตอนนี้ก็ทำได้ 20 กว่าปีแล้ว เลยรู้ว่าการตัดสินใจที่จะเรียนอะไรนั้น สำคัญมาก ถ้าตัดสินใจผิด ก็เสียเวลา เสียเงิน เสียความรู้สึก ดีใจที่ไม่ได้เลือกเรียนสาขาวิชาอื่น ไม่ได้เป็นแอร์โฮสเตส และก็ดีใจที่ไม่เคยทำงานเป็นลูกจ้างใครเลยนับตั้งแต่เรียนจบเป็นต้นมา