พักจากงานสอน มาลองงานล่าม

ย้อนกลับไปในระหว่างที่ข้าพเจ้าทำงานที่ร้านอาหารในกรุงเทพฯ ก็มีโอกาสได้เจอกับสามีที่มาประชุมที่ประเทศไทยโดยบังเอิญ สามีเป็นลูกค้าในร้านอาหาร เขามาสอบถามข้าพเจ้าเกี่ยวกับการเดินทาง ร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง ถนนหนทางในกรุงเทพ แต่เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่คนที่นั่น ก็เลยรื้อค้นหาแผนที่ เปิดอินเตอร์เนตดูวุ่นวายทีเดียว ลูกค้าคนนี้คงเห็นความพยายามเลยยื่นนามบัตรไว้ให้และบอกว่าถ้ามีอะไรแนะนำก็ช่วย กรุณาเขียนอีเมล์มาด้วย ตอนนั้นคิดแต่เพียงว่าลูกค้าคนนี้คงอยากแนะนำสถานที่เที่ยวและร้านอาหารดีๆ ให้เจ้านายของเขาเท่านั้น ถึงมาทราบทีหลังว่าเป็นมุขจีบสาวของเขานี่เอง หลังจากได้นามบัตรของเขา ข้าพเจ้าก็ส่งข้อความไปขอบคุณและส่งรายละเอียดเกี่ยวกับกรุงเทพฯ หลังจากนั้นเราทั้งพูดคุยกันได้สักพักใหญ่ ภาย หลังจึงได้ทราบว่าเขาเดินทางมาประเทศไทยทุกปี ปีละ 2 ครั้ง เพราะมีงานประชุมระดับโลกอย่าง "Bangkok Gems and Jewelry Fair" ซึ่งเป็นงานที่เขาทำอยู่นั่นเอง ซึ่งเขาต้องเดินทางไปในหลายๆ ประเทศที่มีการจัดงานระดับนี้ขึ้น

ในประเทศที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายและตลาดอัญมณี ซึ่งได้แก่ ฮ่องกง "HKTDC Hong Kong International Jewelry Show" ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา "JCK Las Vegas" เมือง Arezzo, Italy "ORO Arezzo" เมือง Vicenza,Italy "Vicenzaoro International Jewelry Show" ฯลฯ เขาได้เดินทางมาหาข้าพเจ้าบ่อยครั้ง จนเราตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ ระหว่างนั้นข้าพเจ้าก็พยายามสอนภาษาไทยให้เขาด้วย

อุปสรรคของการสอนภาษาให้กับคนในครอบครัวคือการที่ "สอนไม่ได้ดั่งใจ" ข้าพเจ้ามักเปรียบให้กับนักเรียนที่มีภรรยาชาวไทย หรือพ่อแม่คนไทยว่า "การสอนภาษาก็เหมือนการสอนขับรถ" ถ้าคุณเรียนจากคนในครอบครัวนั้นทำได้แต่ต้องมีการทะเลาะเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งการสอนขับรถให้คนในครอบครัว

ก็เช่นกัน คนสอนและคนเรียนต่างรู้นิสัยกัน คนสอนก็จะต้องบังคับ ส่วนคนเรียนก็รู้สึกว่าครูสอนไม่ได้ดั่งใจ ฉะนั้นแล้วทั้งเรียนภาษาไม่ว่าภาษาไหนก็ตามและการเรียนขับรถทางที่ดีควรที่จะให้ครูสอนผู้เชี่ยวชาญมาทำหน้าที่ตรงนี้แทนจะดีกว่า เมื่อสอนเขาไม่ได้ ข้าพเจ้าก็เลยว่างงาน ระหว่างนั้นก็ติดต่อสอนนักเรียนต่างชาติเช่นเคย แต่คราวนี้กลับต่างไป เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้ว การออกไปพบนักเรียนเลยทำให้เกิดความหึงหวงและทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน ข้าพเจ้าจึงยุติปัญหาด้วยการหยุดสอนเพื่อความสบายใจของเราทั้งคู่ ซึ่งนักเรียนก็เข้าใจและยังติดต่อกันทุกวันนี้ แม้จะไม่ได้สอนแล้วก็ตาม หลังจากสามีย้ายมาอยู่ที่ไทย ข้าพเจ้าก็หันมาทำงานร่วมกับสามีแทน ด้วยตำแหน่งที่ปรึกษาด้านธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการติดต่องานกับคนไทย ที่ส่วนมากคือในประเทศ ตอนนี้แหละที่เริ่มต้นของการเป็นล่ามและนักแปล ข้าพเจ้าเริ่มต้นงานด้วยการเข้าไปช่วยบริษัทที่สามีรับเป็นที่ปรึกษาธุรกิจเวลาที่ต้องติดต่อบริษัทของคนไทย คนไทยในวงการอัญมณีนี้ร้อยละ 70 มีศักยภาพทางด้านภาษาซึ่งหลายๆ บริษัทก็มีพนักงานที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี แต่แน่นอนว่าอีก ร้อยละ 30 คือบริษัทหรือร้านเล็กๆ ที่มีฝีมือดีแต่ขาดกำลังคนทางด้านภาษา บริษัทเราจึงต้องเข้าไปเป็นส่วนเสริม ในจุดที่ขาดนี้ งานนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้เดินทางบ่อยๆ และสนุกกับการเป็นล่ามชั่วคราว หลายๆ ครั้งได้เดินทางไปพร้อมบริษัทในประเทศละแวกใกล้ๆ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฮ่องกง มาเก๊า ไกลขึ้นมานิดนึงก็คืออินเดียและจีนที่มีกำลังการผลิตและกำลังการซื้อขายอัญมณีสูงมาก ได้เดินทางไปเป็นล่ามให้คณะทำงานถ้ามีคนไทยติดตามในบางครั้ง


ทิ้งทุกงานเพื่อเป็นคุณแม่เต็มตัว

หลังจากห่างการสอนเพื่อช่วยเหลืองานของบริษัทและไปมีครอบครัว ข้าพเจ้าก็ได้เดินทางย้ายมาอยู่ที่ประเทศอิตาลีเป็นเวลา 2 ปี ด้วยความเบื่อหน่ายที่เป็นแม่เต็มเวลาและภาษาอิตาเลียนยังไม่ได้ จึงคิดหันกลับไปสอนภาษาไทยอีกครั้ง คราวนี้เทคโนโลยีก้าวหน้ากว่าเดิมมาก การสอนภาษาและการโฆษณาเป็นอะไรที่ง่ายขึ้น มีนักเรียนต่างชาติ (ในไทย) ติดต่อขอเรียน แต่ด้วยเวลาที่ต่างกันทำให้นักเรียนหลายคนล้มเลิกความตั้งใจ จนเราก็เกือบท้อไปเช่นกัน จนวันหนึ่งสามีบอกว่าเราจะย้ายไปอเมริกา


กลับมาสอนอย่างเต็มตัว

ข้าพเจ้าย้ายมาอยู่ในรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาเมื่อต้นปี 2014 การมาอยู่โดยไม่มีญาติพี่น้องหรือเพื่อนเป็นเรื่องที่หนักหนาพอสมควร ค่าใช้จ่ายที่ครอบครัว ต้องแบกภาระกับลูกเล็กๆ วัยขวบเศษและอีกคนเพียง 5 เดือนในตอนนั้น ทำให้ข้าพเจ้าแทบจะขยับตัวทำอะไรไม่ได้เลย ไหนจะค่าเช่าบ้าน ค่าเดย์แคร์และพี่เลี้ยงราคาแพงหูฉี่ ข้าพเจ้าคิดอยู่นานเรื่องการจะออกไปทำงานเต็มตัว แต่เมื่อนึกถึงลูกๆ แล้วว่าเวลาไม่สามารถย้อนมาได้ ก็เลยคุยกับสามีและตัดสินใจว่าจะขอดูแลลูกเองสักพักจนกว่าจะลงตัว สามีตกปาก รับคำกำหนดให้เวลาเตรียมพร้อมอยู่ที่หนึ่งปี