ทำไมถึงชอบงานล่าม Why I Love Being an Interpreter

1. Get to practice my language skills all the time and get paid for it. ได้ฝึกทักษะทางด้านภาษาตลอดเวลา การได้ลงภาคสนามและปฏิบัติจริงนั้น ทำให้จดจำได้แม่นขึ้น ยิ่งทำยิ่งได้เรียนรู้ ทำให้ได้ฝึกวิทยายุทธอยู่เสมอ แถมยังได้รับเงินอีกด้วย

2. Great income. เป็นอาชีพที่มีรายได้ดี บางงานทำไม่กี่วันก็อยู่ได้เป็นเดือน ถ้าเป็นล่ามที่มีฝีมือ ลูกค้ายอมจ่าย ตามราคาที่เหมาะสมของล่ามในระดับเดียวกัน ถึงงานนี้จะไม่ทำให้ร่ำรวยมากมาย แต่ก็ไม่เคยขาดงานหรือขาดรายได้และได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักและมีความสุขกับงานอยู่เสมอ ซึ่งหลายอย่างไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน

3. No boss. Flexible hours. Have extra time. ผู้เป็นล่ามอิสระ ไม่มีเจ้านาย สามารถจัดตารางเวลาของตัวเองได้ จะรับงานหรือไม่ก็ได้ มีเวลาเป็นของตัวเองที่จะทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ตนเองชอบ

4. Can travel for free. Able to visit friends and family. Go to places that many people don't get to see. ได้เดินทางฟรี เที่ยวฟรี ได้มีโอกาสศึกษาหลายๆ เส้นทาง ทำให้มีความรู้ด้านภูมิศาสตร์และสถานที่ต่างๆ เพิ่มขึ้น และมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเพื่อนๆ และญาติๆ ที่อยู่ในเมืองต่างๆ ด้วย นอกจากจะได้เดินทางฟรีไปในที่ต่างๆ แล้ว ยังได้ไปในที่ที่คนทั่วไปไม่ได้ไป เช่น เรือนจำของนักโทษอุกฉกรรจ์ คุกหลายๆ แบบ โรงงานการผลิต ห้องแล็บที่ทำวิจัยของสถาบันต่างๆ สถานที่ราชการที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ฯลฯ

5. Have the opportunity to meet people from all walks of life. มีโอกาสได้พบกับบุคคลหลากหลายอาชีพทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น ประธานบริษัทใหญ่ๆ นักการเมือง ผู้นำประเทศ นักการทูต นักธุรกิจ นักวิชาการ อาชกรแบบใส่สูทผูกเน็คไท อาชกรอุกฉกรรจ์ คนไร้บ้าน ได้สัมผัสกับชีวิตของระดับยาจกถึงมหาเศรษฐี

6. Improve personality, confidence, public speaking, etc. เนื่องจากได้พบกับคนหลากหลาย ทำให้ได้พัฒนาบุคลิกภาพของตน ทำให้เข้ากับคนได้ทุกระดับและคุยกับคนได้หลายเรื่อง รู้จักการวางตนในสถานการณ์ต่างๆ ทำให้มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นและพัฒนาความสามารถในการพูดในที่สาธารณะให้ดีขึ้น

7. Learn many life lessons. ได้เรียนรู้บทเรียนหลายอย่างในชีวิตโดยที่ไม่ต้องประสบด้วยตนเอง มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับผู้ที่ตกเป็นคดีความในศาลทั้งแพ่งและอาญา ได้เห็นว่ามนุษย์เรามีความโลภ โกรธ หลงที่ทำให้ตนต้องเป็นทุกข์ ได้เห็นความเจ็บปวดรวดร้าวของทุกชนชั้น แม้แต่คนรวย เวลาเขาเจ็บปวดหรือโกรธแค้น เขาก็มีความทุกข์ไม่ต่างกับคนจน เมื่อได้เห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างใกล้ชิด ทำให้ตนเองได้เรียนรู้และหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้ตนต้องตกอยู่ในสภาพนั้น การที่ได้เห็นทุกข์ ทำให้ได้หันมาศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง

8. Study many subjects. การเป็นล่ามอิสระได้ศึกษาวิชามากมายหลายแขนง เพราะสามารถรับงานได้หลากหลายตามที่ตนถนัด งานที่ถนัดที่สุดคืองานแปลด้านกฎหมาย รองลงมาคือด้านการแพทย์เพราะได้ฝึกภาคสนามมากที่สุด และที่ทำบ่อยคือเป็นล่ามในที่ประชุมสัมมนาหรือคอนเวนชั่นต่างๆ ให้กับหลายๆ บริษัท จึงทำให้ต้องศึกษาข้อมูลและคำศัพท์เกี่ยวกับเรื่องที่ตนจะแปล แต่เนื่องจากหลายครั้งที่ขาดล่ามไทยหรือล่ามลาวในอเมริกาสำหรับหลายๆ สาขา บางครั้งก็ต้องลุยเพื่อทำงานนั้น จึงเป็นการบังคับให้ต้องศึกษาหลายสาขาวิชา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ศึกษาในเชิงลึกก็ตาม

9. Able to help people. นี่เป็นเหตุผลที่ชอบมาก การเป็นล่ามมีโอกาสได้ช่วยเหลือคน จริงอยู่ งานล่ามเป็นอาชีพและล่ามก็ได้ค่าตอบแทนเป็นอย่างดี แต่หลายครั้ง การที่ไปเป็นล่ามช่วยคนที่ไม่ได้ภาษา เวลาที่เขาตกทุกข์ได้ยากนั้น เราจะเห็นได้เลยว่า เขาซาบซึ้งเราขนาดไหน เช่น บางครั้งถูกขังคุกไว้ ศาลไม่ยอมปล่อยตัวจนกว่าจะได้อธิบายเงื่อนไขในการปล่อยตัว เขาต้องรอล่ามมาอธิบาย บางทีต้องขับรถไปสองชั่วโมงเพื่อที่จะให้ศาลและจำเลยคุยกันรู้เรื่อง พอเขาเห็นเรา เขาดีใจจนน้ำตาไหล อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เวลาไปแปลที่โรงพยาบาล คุณยายที่แปลให้จะดีใจมากเมื่อเห็นล่ามมา เพราะเธอจะสามารถบอกหมอได้ว่าเจ็บตรงไหนบ้าง นอกจากนี้ ฉันก็ได้เป็นล่ามอาสาให้กับหลายองค์กรในสหรัฐและให้กับเพื่อนๆ คนไทยที่อยู่ในอเมริกา เพื่อนๆ ชอบปรึกษาภาษาอังกฤษประจำเพราะบางทีไม่รู้ว่าจะแต่งประโยคยังไงหรือจะใช้คำศัพท์อะไรดี การที่มีโอกาสได้ช่วยเหลือคนอื่นนั้น ทำให้รู้สึกดีและภูมิใจ

10. Become a happier and wiser person. ฉันคิดว่าการเป็นล่ามมาหลายปี ทำให้ตัวเองเป็นคนมีความสุขและมีปัญญาเพิ่มขึ้น การเป็นล่ามกฎหมายที่ทำมาประมาณสามพันคดีในอเมริกาทำให้รู้สึกว่าตนมีปัญญามากขึ้น เข้าใจถึงโทษของการยึดติด ตอนนี้มีความสุขมากเพราะสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายดีขึ้น ฉันได้สะสมเรื่องต่างๆ ไว้มากมาย แต่หลายเรื่องไม่สามารถนำมาเล่าได้เพราะหลายอย่างเป็นความลับของลูกค้าหรือของทางราชการ ตอนนี้ฉันอายุย่างห้าสิบ คิดว่าจะเป็นล่ามต่อไปจนกว่าจะไม่สามารถที่จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าตอนอายุหกสิบ เจ็ดสิบยังทำได้อยู่ คงมีเรื่องเล่าให้รุ่นหลานๆ ฟังได้อย่างไม่จบสิ้น