บทเรียนจากการเป็นล่าม ตอนที่ 2

คดีความส่วนใหญ่เกิดจากความโลภ ความโกรธ ความหลงและความเขลาของมนุษย์ Most Legal Cases Arose from Greed, Anger, Delusion and Ignorance

การทำงานเป็นล่ามกฎหมายและล่ามทางการแพทย์ทั้งในศาล ในคุก ในสำนักงานทนายความ ในคลินิคหรือแม้แต่ในโรงพยาบาลประสาท ทำให้ฉันสามารถสรุปได้ว่าเรื่องต่างๆ เกือบทั้งร้อยทั้งที่เป็นความแพ่งหรือความอาญา และการบาดเจ็บต่างๆ นั้นเกิดจากกิเลสและความเขลาของมนุษย์แทบทั้งสิ้น (ยกเว้นอุบัติเหตุในบางกรณี) ในฐานะชาวพุทธ พวกเราก็ทราบกันดีว่า กิเลสก็คือ สิ่งที่ทำให้เศร้าหมอง ซึ่งได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และความหลง

กิเลสเป็นสิ่งที่ติดตัวเราอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก คนไทยที่ฉันได้แปลให้ในอเมริกาที่ได้ลงเอยในคดีความต่างๆ หรือที่โรงพยาบาลก็เนื่องมาจากกิเลสนั่นเอง ซึ่งก็สามารถแบ่งย่อยออกไปอีกเป็นออกเป็นสามประเภทด้วยกันคือ ราคะ โทสะ และโมหะ สิ่งเหล่านี้ยังติดตัวเรามา

ราคะที่เป็นความโลภอย่างแรงจนแสดงออกมา เช่น การลักขโมย (theft) การขโมยสินค้าในร้าน (shoplifting) การปล้นจี้ (robbery) เป็นต้น

ราคะที่เป็นความโลภโดยการเอาเปรียบผู้อื่น เช่น การขูดรีดแรงงาน (exploitation) การค้ามนุษย์ (human trafficking)

ราคะที่เป็นความอยากในทางไม่ชอบ เช่น การรับสินบน (bribery) การทุจริตเพื่อแลกกับการมีทรัพย์ (corruption) การค้ากำไรเกินควร (overcharging) การทำลายสิ่งแวดล้อมเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า (environmental destruction for commercial use) การหลีกเลี่ยงภาษี (tax evasion)

ราคะที่เป็นความยินดีในกามจนถึงขั้นผิดกฎหมาย เช่น การข่มขืนกระทำชำเรา (rape) การละเมิดทางเพศ (sexual assault) การใช้สื่อลามกเด็ก (child pornography)

โทสะที่เป็นความพยาบาท คือการผูกใจอาฆาต มีใจที่ไม่หวังดี การจองเวร การแก้แค้น การคิดประทุษร้าย จะเอาเรื่องให้ได้ เช่น การใส่ร้ายป้ายสี (defamation or libel) การฟ้องร้องในคดีแพ่งต่างๆ (various lawsuits) การทำร้ายร่างกาย (assault) การตบตีกัน (battery) การฆาตกรรม (murder) การพยายามฆ่า (attempted murder) การจ้างคนอื่นไปฆ่าแทน (murder-for-hire)

โทสะที่เป็นความโกรธ ความเดือดร้อนใจ เกิดความเกลียดชังอย่างรุนแรง คิดไม่เป็นสาระ ไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่มีสมาธิ จนเป็นโรคประสาท บางครั้งถึงกับทำร้ายร่างกายตัวเอง เช่น การพยายามฆ่าตัวตาย (attempted suicide) เพื่อเรียกร้องความสนใจ หรือ การฆ่าตัวตาย (suicide) เพื่อประชดตนเองหรือใครสักคน

โมหะที่เป็นความเห็นผิดเป็นชอบ การไม่เชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ การเนรคุณ ทำให้ก่ออาชญากรรมต่างๆ มากมาย

อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้น นั่นก็คือความเขลา (บางตำราถือว่าความเขลาเป็นโมหะอย่างหนึ่ง) ซึ่งรวมถึงการไม่รู้กฎหมาย การรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความประมาท ความมักง่าย ความไม่รู้จริง การรู้แค่ผิวเผินหรือการทึกทักเอาเอง

มีหลายคนที่ฉันได้เป็นล่ามให้ได้บอกกับทนายความว่า ตนไม่มีเจตนาที่จะทำผิดกฎหมาย เพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือการกระทำบางอย่างไม่ถือว่าผิดกฎหมายในประเทศเดิมของตน ทนายมักจะตอบว่า "ความไม่รู้กฎหมาย ไม่ใช่ข้อแก้ตัว (Ignorance of law is no excuse.)" เช่น ไปช่วยแฟนปลูกกัญชาโดยที่ตนไม่มีใบอนุญาต (ถึงแม้แฟนจะมีก็ตาม) การตีเพื่อสั่งสอนลูกจนมีรอยช้ำตามตัว การไปจับหอย ปู ปลาที่มีขนาดเล็กกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้หรือในปริมาณมากกว่าที่กฎหมายอนุญาต เป็นต้น บางคนก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันผิดกฎหมาย แต่ก็ทำเพราะความมักง่าย ความประมาทเลินเล่อ ความขี้เกียจ เช่น การทิ้งขยะเรี่ยราด การเมาแล้วขับเพราะคิดว่าตนเองยังพอขับได้ การจอดรถตรงที่จอดรถของคนพิการ การไม่หยุดรถให้สนิทที่ป้ายบอกให้หยุด (stop sign) การเปิดเพลงเสียงดังรบกวนชาวบ้าน การลักไก่ไม่ซื้อตั๋วรถโดยสารเพราะคิดว่าคงไม่โดนตรวจ การผ่าไฟแดง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าแทบจะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกิดจากกิเลสและความเขลาแทบทั้งสิ้น

ไม่มีใครอยากที่จะเป็นคู่กรณีในคดีความหรือต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะนอกจากจะทำให้เสียเงิน เสียเวลาแล้ว ยังทำให้เสียสุขภาพจิตอย่างมากอีกด้วย แต่ก็มีบางคดีในศาลที่เป็นเรื่องดี เช่น การที่ศาลสั่งว่าผู้ใดจะได้รับมรดก การอนุมัติให้รับบุตรบุญธรรมได้ หรือการที่ศาลอนุญาตให้ลี้ภัยในอเมริกาได้

สำหรับผู้ที่เคยทำผิดและสำนึกตัวหรือผู้ที่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของตน ฉันคิดว่าสังคมควรให้อภัยและให้โอกาส ฉันได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดของคนอื่นอย่างใกล้ชิดแทบทุกวัน ไม่จำเป็นต้องประสบกับตัวเองและไม่อยากที่จะต้องประสบ ฉันจึงได้นำมาใช้เป็นเครื่องเตือนใจอยู่เสมอและพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น

ทนายความนั้นสำคัญไฉน Important Things to Know About Lawyers

ไม่ว่าคุณจะใช้บริการของทนายความเพื่อให้เขียนสัญญา แก้ต่างในศาลในคดีอาญา ทำเรื่องฟ้องร้องในคดีแพ่ง เป็นตัวแทนในการเจรจาธุรกิจ หรือเตรียมเอกสารเพื่อเปลี่ยนสถานภาพการเข้าเมืองนั้น คุณควรใช้เวลาที่จะหาทนายความที่ดีที่สุดสำหรับคดีของคุณ

ทนายความก็มีทั้งที่ดีและไม่ดี ที่เก่งและไม่เก่ง ถ้าคุณเลือกทนายความที่ไม่ดีแล้ว คุณมีสิทธิเสียเปรียบในคดี เสียเงินมากเกินควร หรือมีแต่เรื่องปวดหัว

การที่ได้ทำงานเป็นล่ามในศาล ฉันจึงได้ทำงานกับทั้งทนายความสาธารณะ (public defender) ทนายความเอกชน (private attorney) และทนายความที่ศาลแต่งตั้งให้ (court appointed attorney) ทำให้ฉันได้เห็นการทำงานของทนายความหลายคนและเริ่มที่จะแยกแยะได้ว่าทนายคนไหนดี คนไหนไม่ดี ฉันมักจะได้ยินหลายคนบ่นเกี่ยวกับทนายความของตน เช่น "ทนายคนนี้ไม่ทำอะไรเลย มีแต่จะเอาเงิน" "ทนายยุ่งมาก โทรไปหาไม่เคยได้คุยด้วยเลย เจอแต่เลขาหรือผู้ช่วย" "คิดแพงมาก" "ทนายไม่สุภาพ ดุมาก" "คิดว่าทนายทำงานไม่ดี" "ทนายช้ามาก"

ฉันได้เห็นทนายความหลายคนรับคดีจนล้นมือ ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะพูดคุยกับลูกความ ทำอะไรก็รีบไปหมด บางคนมาศาลสายอยู่เป็นประจำ (โดยเฉพาะศาลอาญา) ต้องให้ล่ามและลูกความนั่งรอทีละหลายชั่วโมง ทนายความบางคนก็ให้แต่เลขาเป็นผู้ประสานงานกับลูกความเกือบทั้งหมดจนแทบจะไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับลูกความ ทนายความบางคนพูดเก่งพูดหวาน แต่คิดแพงกว่าทนายความที่พูดห้วนๆ ตรงไปตรงมาเป็นเท่าตัวเลยก็มี

มีทนายความคนหนึ่งเรียกเงินลูกความไปจำนวนสามพันเหรียญสำหรับค่าทำเอกสารเพื่อสมัครขอเป็นซิติเซ่น คนไทยคนนี้ไม่รู้ว่าการสมัครขอเป็นซิติเซ่นไม่จำเป็นต้องใช้ทนายก็ได้ แต่เขากรอกเอกสารเองไม่เป็น คิดว่าทุกอย่างจะต้องให้ทนายความทำให้หมด ค่าบริการในราคานี้ถือว่ามากเกินควร ทนายความผู้นี้ได้ถูกร้องเรียนต่อสภาทนายความแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียโดยลูกความจำนวนมากและในที่สุดก็ได้ถูกปลดจากสถานะการเป็นทนายความ

ทนายความที่พูดภาษาไทยหรือภาษาลาวได้ส่วนมากจะเป็นทนายความอิมมิเกรชั่น (การเข้าเมือง) เพราะสามารถพูดคุยกับลูกความได้สะดวก และมีผู้ใช้บริการที่เป็นคนไทยหรือคนลาวอยู่เสมอ แต่สำหรับในคดีอาญาและคดีแพ่งส่วนใหญ่แล้ว แทบจะไม่มีทนายความที่เป็นคนไทยหรือลาว ดังนั้น จึงต้องว่าจ้างทนายความที่พูดแต่ภาษาอังกฤษ บางครั้งจึงจำเป็นต้องใช้บริการของล่ามในเวลาที่เข้าพบกับทนาย

หลายครั้งในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยจำเป็นต้องว่าจ้างทนายความโดยด่วน ไม่มีเวลาที่จะศึกษาหรือคัดเลือกทนายความ อาจทำให้ได้คนที่ไม่เหมาะกับคดีของตน สำหรับผู้มีรายได้ต่ำในคดีอาญา คุณมีสิทธิได้ทนายความสาธารณะซึ่งส่วนใหญ่จะมีประสบการณ์มากกว่าทนายเอกชนทั่วไปเพราะได้ทำคดีมากกว่า ทนายความสาธารณะสมัยนี้ก็ว่าความเก่งและตั้งใจสู้คดีให้กับลูกความไม่แพ้ทนายความเอกชน ยิ่งที่จบมาใหม่ๆ กำลังไฟแรง อย่างไรก็ดี ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณไม่ชอบการทำงานของทนายความของคุณไม่ว่าจะเป็นคดีใดก็ตาม คุณสามารถเปลี่ยนทนายความได้ทุกเมื่อ (ยกเว้นทนายความที่ศาลแต่งตั้งให้ที่เปลี่ยนทนายได้ยาก) และทนายความของคุณก็สามารถถอนตัวออกจากคดีคุณได้เช่นเดียวกัน เพราะทนายคนนั้นอาจไม่อยากทำคดีที่ซับซ้อนหรืออาจไม่อยากทำงานให้ลูกความคนนั้น

ในการเลือกทนายความ คุณควรพิจารณาในสิ่งต่อไปนี้

เป็นคนที่ซื่อตรง ตั้งใจทำงาน ไม่เห็นแก่เงินหรือไม่

มีเวลาให้คุณ ตอบคำถามต่างๆ ของคุณเป็นที่พอใจหรือไม่

เป็นทนายความมานานเท่าใดแล้ว มีประสบการณ์มากน้อยเพียงใด

เคยทำคดีที่คล้ายกับคดีของคุณมาแล้วหรือไม่ ได้ทำมากี่คดีแล้ว จะสู้คดีอย่างไร

มีวิธีอื่นที่คิดว่าจะเป็นทางออกหรือไม่ มีวิธีใดที่คิดว่าดีที่สุด

มีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือการขัดกันของผลประโยชน์ (conflict of interest) หรือไม่

ค่าทนายสมเหตุสมผลหรือไม่

คุณถูกชะตากับทนายคนนั้นหรือไม่ สื่อสารกันเป็นที่เข้าใจหรือไม่

เช็คประวัติทนายจากผู้ที่เคยใช้บริการดูว่าลูกความคนอื่นมีความคิดเห็นกับทนายความคนนี้อย่างไร

การได้ทนายความที่ดีมาทำงานให้คุณนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการเจรจา การแก้ต่างและการทำขั้นตอนทางกฎหมายต่างๆ ให้สำเร็จไปด้วยดี ไม่ควรรีบร้อนในการว่าจ้างทนาย คุณควรใช้เวลาศึกษาดูว่าทนายความคนใดเหมาะกับคดีของคุณที่สุดในวงเงินที่คุณสามารถจ่ายได้