มาอยู่เมืองนอกตั้งนาน ทำไมถึงไม่รวย "Why Aren't You Rich Having Lived Abroad for a Long Time?"

นักเรียนล่ามรุ่นน้องคนหนึ่ง โทรมาปรับทุกข์กับฉันว่า

"พี่เอ๋ หนูเบื่อมากเลย คนชอบถามหนูว่า มาอยู่เมืองนอกตั้งยี่สิบปี ทำไมไม่รวยสักที"

พอได้ยินคอมเม้นท์นี้ ฉันเข้าใจถึงความรู้สึกทันที เพราะฉันก็เคยถูกถามคำถามนี้เหมื อนกัน และคนที่ถามก็เป็นเพื่อนสนิทและ ญาติพี่น้องของตัวเองด้วย

คนไทยที่ไทยเขาไม่รู้หรอกว่าชีวิตเมืองนอกจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร

ประเทศในโลกที่พัฒนาแล้วที่คนไทยเดินทางไปขุดทอง ไปเรียนหนังสือหรือย้ายตามครอบครัวไปนั้น ส่วนมากค่าครองชีพสูงมาก ประชาชนต้องเสียภาษีอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมดมากกว่าที่ไทย วิถีชีวิตการเป็นอยู่ สังคม ค่านิยมของคนแต่ละประเทศก็ไม่เห มือนกับบ้านเรา คนไทยส่วนมากไม่ได้คิดถึงจุดนี้

น่าจะเลิกได้แล้วนะ ไอ้ความคิดเรื่องการที่เอาเงินมาเป็นเครื่องวัดความรวยหรืออะไร ทำนองนี้ พวกคนที่พัฒนาความคิดได้แล้วนั้น เขาไม่พูดถึงเรื่องนี้หรอก มันเชยและก็ล้าหลังมาก ความรวยไม่ใช่จะหมายถึงการมีทรัพย์สินมากเพียงอย่างเดียว

ฉันก็เลยบอกกับน้องเขาว่า...

แต่ก่อนพี่ไม่รู้ แต่เดี๋ยวนี้พอรู้บ้างแล้วว่าพวกที่ถามคำถามนี้ คือพวกที่ไม่รู้หรอกว่า ความรวยที่แท้จริงคืออะไร

คนส่วนมากจะเอาเงินหรือทรัพย์สินมาวัดถึงความรวย ต้องมีบ้านใหญ่โต ขับรถหรู ใช้ของแบรนด์เนม

พี่ทำงานเป็นนักเขียนและล่าม หาเงินได้อย่างสบายโดยไม่ลำบาก เท่านี้ก็คิดว่าตัวเองรวยมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีธุรกิจที่ใหญ่โตที่ทำเงินได้มากมายมหาศาล

ความจริง ถ้าพี่อยากจะทำเงินมากๆ ก็ทำได้นะ พี่ไปทำการค้าขายอย่างอื่นก็ได้ พี่พูดได้หลายภาษา ถ้าอยากทำ ก็ทำได้ แต่ไม่ทำ เพราะพี่ชอบงานเขียนและงานแปลมากที่สุดในโลก

พี่คิดว่าตัวเองเป็นคนหนึ่งในคนที่โชคดีที่สุดเลยนะ ได้ทำงานที่ตัวเองชอบ มีคนจ้างให้ไปพูด เขียน แปล แทบทุกวัน แถมจ่ายค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าที่พักให้ด้วย

พี่เป็นคนชอบท่องเที่ยวมาก เวลาไปแปลแต่ละเมือง จะปลีกเวลาเพื่อสำรวจเมืองที่ไป นั้นทุกครั้งไป

นอกเหนือจากที่จะได้ท่องเที่ยว ในเวลาที่ไปเป็นล่ามตามที่ต่างๆ แล้ว พี่ก็ได้เอาเงินที่ตัวเองหาได้ไปท่องเที่ยวต่างประเทศเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพิ่มเติม ถึงปีนี้ก็ได้ไปมากว่าห้าสิบประ เทศแล้ว บางประเทศที่ชอบมากๆ เช่น ญี่ปุ่นกับเม็กซิโก ก็ได้ไปเกินสิบครั้ง ลองคิดดูเล่นๆ แค่ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหาร ในช่วงสามสิบปีมานี้ ก็ตกเกินกว่าล้านดอลล่าร์ไปแล้ว”

มีคนมาถามพี่ว่าไม่เสียดายเงิน เหรอ ทำไมไม่เอาเงินนั้นไปสร้างบ้านหรูๆ ที่เมืองไทย”

เรื่องบ้านหรู รถหรู และเรื่องอวดรวยไม่ได้อยู่ในความคิดของพี่เลย ถ้าจะอวด พี่จะอวดแต่เรื่องสุขภาพ (สุขภาพร่างกายดี ไม่ทุกข์กาย) และปัญญา (สุขภาพจิตใจดี ไม่ทุกข์ใจ) และก็เรื่องงานกับเรื่องท่องเที่ยว จะไม่อวดเรื่องวัตถุเลย เพราะมันขัดกับหลักการและค่านิยมของตัวเอง

ประสบการณ์ที่พี่ได้สะสมมา เอามาตีเป็นเงินไม่ได้หรอก และพี่จะไม่เอาประสบการณ์ของตัว เองไปแลกกับเงินอย่างแน่นอน

รวย หมายความว่า มี (ทรัพย์สิน) มาก แต่ไม่ได้หมายความว่า คนรวยจะมีความสุข

พี่ทำงานเป็นล่ามทั้งคดีแพ่งแล ะอาญามาเยอะมาก ได้เห็นมากับตาว่า คนรวยเขาก็มีความเจ็บปวดรวดร้าว และมีความทุกข์เหมือนกับคนทั่วๆ ไปนั่นแหละ เวลาอยู่ในศาลได้เห็นสภาพจริงของเขาเลยนะ

พี่เห็นเขาร้องไห้น้ำตาจะเป็นสายเลือดเพราะเรื่องสมบัติจำนวนสี่ล้านเหรียญ หาว่าผัวไม่รัก ถูกเอาเปรียบ จะต้องเอาสองล้านให้ได้ ปรากฏว่ายิ่งสู้คดีไป ผู้ที่ชนะคือทนายความ ได้ค่าทนายเพียบ ตกลงได้ไม่ถึงล้าน เท่ากับจำนวนที่ได้รับเสนอแต่ทีแรก แต่ต้องหมดเงินกับหมดแรงเพราะไม่ ยอมกัน

พี่เห็นเศรษฐีคนนึงที่เครียดมาก มีเน็ตเวิร์ธ (มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ) หลายสิบล้านเหรียญ คิดแต่เรื่องเงิน ห่วงสมบัติและงานของตัวเองจนถึง เวลาที่เข้าใกล้จะเข้าโลง ตอนนี้เขาป่วยหนักอยู่ เขาถามพี่ว่าทำยังไงพี่ถึงดูแฮปปี้จัง พี่บอกเขาว่า พี่พยายามไม่ยึดติดอะไร แล้วบอกให้เขาหยุดคิดเรื่องเงินซะ เขาบอกว่าเขาทำไม่ได้

พี่เห็นพวกฝรั่งรวยๆ ที่อยากมีเมียเป็นคนไทย แต่กลัวเมียจะมาเอาสมบัติ กลัวว่าเมียจะไม่รัก กลัวว่าจะมาแต่งเอาใบเขียว กลัวว่าแต่งแล้วจะทิ้ง ก็บังคับให้เมียต้องทำข้อตกลงก่อนการสมรสด้วย (แน่นอน เขาต้องการจะปกป้องตัวเอง) ถ้าไม่เซ็น ก็ไม่แต่งให้ ถ้าไม่เซ็น ก็จะอยู่ในอเมริกาไม่ได้ บางข้อตกลง อ่านแล้วรู้สึกสงสารคนรวยว่าทำไ มเขาทุกข์ปานนี้ พี่ก็ทำหน้าที่แปลอย่างเดียว แต่ถ้าเป็นพี่เองแล้ว จ้างก็ไม่เซ็น

พี่เห็นผู้หญิงไทยหลายที่แต่งกับฝรั่งรวย ชอบโชว์ว่าตัวเองรวย ทั้งๆ ที่ความจริงเขาแทบไม่ได้ให้อะไร เลย แต่อยากโชว์ให้คนอื่นรู้ว่า "ฉันได้ผัวรวยนะ" "ตอนนี้ฉันรวยแล้วนะ"

พี่เห็นคนรวยที่มาจ้างให้พี่ไปแปลให้กิ๊กเขาที่เมืองไทย เขาไม่มีความสุขกับเมียฝรั่งที่นี่ แอบส่งเงินให้ประจำ บางทีก็แอบบินไปหากิ๊กทำท่าว่าไปเที่ยวก็ยังทำ

พี่เห็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ รายใหญ่คนหนึ่งต้องคุยกับจิตแพทย์ทุกอาทิตย์ เขาเป็นโรคหดหู่ และแทบไม่มีเพื่อนเลย

พี่เห็นเจ้าของร้านอาหารหลายแห่งทำงานมีเงินมากมาย แต่สุขภาพทรุดโทรม เป็นหลายโรค ไม่มีไลฟ์สไตล์ที่ดีเลย

พี่เห็นเขาสู้คดีกันในวงเงินร้อยล้านเหรียญสหรัฐแบบเอาเป็นเอาตาย ทั้งทนายความและคู่กรณีไม่มีใครยอมใคร บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด ขนาดเราไม่ใช่คู่กรณี ไปนั่งอยู่ในห้องกับเขา เราก็รู้สึกเครียดและเสียพลังไปด้วย

พี่เห็นคนรวยที่ตบตีเมียจนต้อง เป็นจำเลยในคดีอาญา ต้องไปเป็นล่ามให้เมียที่มาเป็น พยานค้านของฝ่ายสามีในศาล

พี่เห็นตัวอย่างเยอะมาก เล่าเป็นวันก็ไม่หมด ไม่ได้ต่อต้านคนรวยนะ คนรวยที่โอเคก็มีเยอะแยะไป เพื่อนๆ หลายคนที่เป็นคนรวยที่น่ารัก ช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่น ไม่อวดรวยก็มีมาก แต่อยากจะบอกว่าคนรวยนั้นเขาไม่ ได้เป็นทุกข์เพราะว่าไม่มีเงิน แต่เขาเป็นทุกข์เพราะว่าเขามีเงิน เขาเป็นทุกข์ เพราะเขามีกิเลสเยอะ ทำให้เขาก็ทุกข์กาย ทุกข์ใจได้เหมือนกับคนจนนั่นแหละ

พี่มีเพื่อนที่รวยบางคนเขายังบอกว่าอยากเป็นเหมือนพี่เลย พี่หาเงินเองได้ พี่มีอิสระในชีวิต เขามีเงินแต่ไม่ค่อยได้ไปไหน เขามีเงินแต่สุขภาพไม่ดี เขามีสามีรวยแต่สามีบงการชีวิตเขา อันหลังนี่เห็นเยอะมาก

ไม่ต้องไปสนใจกับพวกที่ถามคำถามนี้ เขาเป็นพวกนิยมวัตถุ พวกยึดติดวัตถุ ต้องใช้วัตถุมาอวดถึงความดีของตน พูดไปเขาก็ไม่เข้าใจหรอก ปล่อยเขาไป

พี่เลยเลือกที่จะทำงานเขียน งานล่าม งานสอน ขอให้พอมีพอกิน ไม่ขัดสน มีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดีและมีปัญญา มีเวลาทำในสิ่งที่ตนเองชอบ มีหมู่มิตรดีสหายดี มีคู่ครองที่ดี อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีโอกาสได้ช่วยเหลือคน และมีโอกาสได้ท่องไปในโลกกว้างก็ เพียงพอแล้ว ไม่อยากมีมาก มีมากเป็นภาระ มีแค่นี้ก็ดีพอแล้ว

จะอยู่ไหนก็ได้ อยู่แล้วพอใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นที่ไทยหรือที่เมืองนอก

"ไม่ต้องรวยหรอก แค่ไม่ทุกข์ ก็สุขแล้ว"...

ฉันได้บอกกับเขาแบบนั้น

"โอ้โห! คุยกับพี่แล้วรู้สึกดีมากค่ะ หนูก็คิดเหมือนพี่เอ๋เลยค่ะ"

แล้วเราก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระ ต่อเกือบหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่เธอจะวางหูไปด้วยความสบายใจ