ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



XFG โควิดพันธุ์ใหม่ บุกไทยป่วยแล้ว 33 ราย! แพร่เร็ว-หลบภูมิฯ เก่ง แต่อาการไม่รุนแรง สธ.ชี้กลุ่มเสี่ยงต้องระวังสูงสุด! ย้ำ! ล้างมือ-เลี่ยงที่แออัดนี้

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้าสถานการณ์โควิด 19 พบว่า สายพันธุ์ “XFG” หรือที่เรียกว่า สเตรตัส (Stratus) กำลังกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดทั่วโลก โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์อื่น นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยตรวจพบสายพันธุ์ XFG ครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2568 และจนถึงวันที่ 24 กันยายน 2568 มีรายงานสะสมแล้ว 33 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในเขตสุขภาพที่ 13 จำนวน 23 ราย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก และปวดศีรษะ และยังไม่มีรายใดต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

ขณะเดียวกัน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 1 เมษายน – 24 กันยายน 2568 ได้ทำการถอดรหัสแล้ว 608 ตัวอย่าง พบว่าเป็น สายพันธุ์ NB.1.8.1* ร้อยละ 73.7 สายพันธุ์ XEC* ร้อยละ 8.7 สายพันธุ์ JN.1* ร้อยละ 6.4 สายพันธุ์ XFG* ร้อยละ 5.4 สายพันธุ์อื่น ๆ รวมร้อยละ 5.7 นับตั้งแต่เริ่มการระบาดในประเทศไทยเมื่อเดือนมกราคม 2563 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้เผยแพร่ข้อมูลจีโนมของเชื้อโควิด-19 เข้าสู่ฐานข้อมูลสากล GISAID แล้วกว่า 48,865 ราย เพื่อสนับสนุนระบบเฝ้าระวังโรคระดับโลก

นพ.ยงยศ เน้นย้ำว่า แม้สายพันธุ์ XFG ยังไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง แต่ประชาชนควรป้องกันตนเองอย่างสม่ำเสมอ โดยล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และหากมีอาการผิดปกติ เช่น ไข้ ไอ หรือหายใจลำบาก ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม


“ผักครอบจักรวาล" ซูเปอร์ฮีโร่สายเขียว! เคล็ดลับธรรมชาติ ลดความดัน-ลดเสี่ยงหลอดเลือดตีบ ป้องกันภัยเงียบใกล้ตัว

ผักพื้นบ้านที่หลายคนมองข้ามอย่าง "ครอบจักรวาล" หรือสมุนไพรในกลุ่มที่ถูกเรียกขานว่า "ครอบจักรวาล" กำลังเป็นที่จับตาในฐานะทางเลือกจากธรรมชาติที่ช่วยดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงและความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดตีบ

1.กระเทียม

กระเทียมเป็นสมุนไพรคู่ครัวไทยที่ใส่ในแทบทุกเมนู แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ กระเทียมช่วยลดความดันได้ด้วยครับ เพราะมีสาร Allicin ที่ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ลดแรงดันในหลอดเลือด ผลลัพธ์คือความดันลดลงเล็กน้อย นอกจากนี้ยังช่วยลดไขมันเลวด้วย การกินอาหารที่ใส่กระเทียมสด ๆ อย่างผัดผักหรือกินกับน้ำพริก ก็ถือว่าได้ประโยชน์เต็มๆ

2. ขึ้นฉ่าย

ขึ้นฉ่ายไม่ได้มีดีแค่กลิ่นหอม แต่มีสาร phthalides ที่ทำให้หลอดเลือดคลายตัว ความดันจึงลดลง อีกทั้งยังมีโพแทสเซียมสูงที่ช่วยปรับสมดุลกับโซเดียมในร่างกาย การกินขึ้นฉ่ายจึงเป็นเหมือนตัวช่วยเล็ก ๆ ที่ช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น

3. กระเจี๊ยบแดง

สมุนไพรตัวนี้มีงานวิจัยจริงว่าช่วยลดความดันได้ โดยสาร anthocyanins ในกระเจี๊ยบแดงออกฤทธิ์คล้ายยาลดความดัน ช่วยยับยั้งการหดตัวของหลอดเลือด และมีฤทธิ์ขับโซเดียมออกเล็กน้อย การดื่มชากระเจี๊ยบแบบไม่ใส่น้ำตาลจึงเป็นอีกทางเลือกเพื่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

4. มะระขี้นก

แม้จะขมจนหลายคนอาจจะไม่ชอบ แต่สารขมในมะระขี้นกกลับมีประโยชน์ ช่วยให้หลอดเลือดยืดหยุ่นขึ้นและลดความดันได้ แถมยังช่วยคุมน้ำตาลในเลือด ซึ่งมักเป็นปัญหาคู่กับโรคความดันอีกด้วยถ้าอยากลอง อาจทำแกงจืดมะระยัดไส้หมู หรือผัดไข่ก็อร่อยได้

5. ชาเขียว

ชาเขียวมี catechins ที่ช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือด เพิ่มการขยายตัวของหลอดเลือด และช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าการดื่มชาเขียวอย่างพอเหมาะช่วยให้ความดันลดลงได้แนะนำชงดื่มแบบร้อน ไม่ใส่น้ำตาล จะดีที่สุด

จากข้อมูลทางการแพทย์แผนไทยและการศึกษาเบื้องต้น สมุนไพรกลุ่มนี้มีสรรพคุณที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต ดังนี้

ลดความดันโลหิต: สารสำคัญบางชนิดในสมุนไพรกลุ่มนี้มีส่วนช่วยในการขยายหลอดเลือด หรือมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะอ่อน ๆ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

ลดความเสี่ยงหลอดเลือดตีบ: สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่สูงช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือดและป้องกันการสะสมของไขมัน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของการเกิดภาวะหลอดเลือดตีบตัน

ที่มาข้อมูล เพจหมอเจด


ตรวจสอบโบราณวัตถุ'ปราสาทคันนา'สุรินทร์ ชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมสมัยพุทธศตวรรษที่15-16

ผอ.สำนักศิลปกรที่ 10 ตรวจสอบโบราณวัตถุปราสาทคันนา ชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมสมัยพุทธศตวรรษที่ 15-16 โดยปราสาทคันนาอยู่ฝั่งไทย ด้านชาวบ้านเผยอดีตเจ้าอาวาสได้ให้นำมาเก็บไว้ที่วัด เมื่อปี 2515 ชาวบ้านอยากให้ทำรั้วกันเขตแดนให้ชัดเจน รุ่นลูกรุ่นหลานในวันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องมาลำบากอีก

8 ตุลาคม 2568 นายทศพร ศรีสมาน ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา พร้อมด้วยร้อยตำรวจเอกอัคคภาคย์ เที่ยงธรรม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแนงมุด นายสมเดช ลีลามโนธรรม ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี นายนภสินธุ์ บุญล้อม หัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ตลอดจนผู้นำชุมชน และชาวบ้านแนงมุด ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบโบราณวัตถุที่ถูกเคลื่อนมาจากปราสาทคันนา เมื่อปี 2515 ปัจจุบันเก็บรักษาภายในวัดบ้านแนงมุด ตำบลแนงมุด อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบโบราณวัตถุ ชิ้นส่วนสถาปัตยกรรม อาทิ เสาประดับกรอบประตู และชิ้นส่วนหน้าบันและโบราณวัตถุประเภทฐานรูปเคารพ ช่วงประมาณพุทธศตวรรษ ที่ 15-16 หรือประมาณ 900 ปี

นายเลื้อย เรืองกระจาย อายุ 70 ปี(เสื้อขาว) ชาวบ้านแนงมุด หนึ่งในผู้ที่ช่วยกันขนหินสลักจากปราสาทคันนา มาไว้ที่วัดบ้านแนงมุด ช่วงที่บวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัด ให้ข้อมูลว่า ช่วงนั้นประมาณปี พ.ศ.2515 ตนบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดนี้ หลวงพ่อได้ให้ไปช่วยขนขึ้นรถมาจากปราสาทคันนา ไปก็เห็นสภาพเป็นซากปรักหักพังแบบนี้อยู่แล้ว ที่ขนมามีเสากับฐานรูปเคารพ ส่วนทับหลังมีขนาดใหญ่เอามาไม่ได้ ส่วนตัวปราสาทสภาพไม่เหมือนอย่างที่เป็นข่าว พังเรียบไปหมดแล้ว มีเพียงเสาตั้งอยู่สองต้นมีคานอยู่คานเดียว เอามาเท่าที่ยกขึ้นรถมาได้ หลังจากันก็ไม่ได้เข้าที่ปราสาทอีกเลย

โดยนายทศพร ศรีสมาน ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา เปิดเผยว่า โบราณสถานมีกฎหมายคุมครองอยู่ โดยสภาพทั่วไปหากไม่มีปัญหาก็ไม่ควรที่จะเคลื่อนย้ายออกมา แต่ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องในอดีตแล้ว ก็อยากจะประชาสัมพันธ์ให้ได้รับทราบ แต่ในอดีตด้วยความเป็นห่วงศิลปวัตถุโบราณของคนในพื้นที่ ก็มีการเคลื่อนย้ายมาเก็บรักษาไว้ มองว่าเป็นเจตนาที่ดีปราสาทคนา ในส่วนของสำนักศิลปากรที่ 10 ได้รับแจ้งครั้งแรกเมื่อปี 2544 โดยทางตำรวจตระเวนชายแดน

จากนั้นทางสำนักโบราณคดีได้เข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ แล้วทำเป็นรายงานเบื้องต้นไว้ ในขณะที่สำรวจก็มีประเด็นเรื่อง MOU เกิดขึ้น ทำให้ไม่สามารถเข้ามาดำเนินการต่อได้ เหมือนกับปราสาทตาเมือนธม จึงหยุดอยู่แค่นั้นและไม่ได้ดำเนินการต่อ วัตถุโบราณที่พบเป็นเสาประดับกรอบประตูที่บ่งบอกหรือเป็นเอกลักษณ์ว่าเป็นชิ้นส่วนจากปราสาทคันนาก็คือลวดลายของเสากรอบประตู ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตัวประกอบปราสาทหรือตัวสถาปัตยกรรมโบราณของปราสาท หลักๆก็จะเป็นทับหลัง เสาประดับกรอบประตู ส่วนเหล่านี้บางที่เมื่อเสื่อมสภาพจากสาเหตุธรรมชาติก็จะหลุดออกมา ซึ่งจะเห็นได้จากลวดลายโบราณที่อยู่ในตัวเสา

ส่วนพื้นที่ของปราสาทคนาข้อมูลในขณะที่ได้ไปสำรวจตอนนั้นอยู่ในดินแดนของประเทศไทย แต่หลังจากเกิดความขัดแย้งกัน ก็ต้องไปถามทางฝ่ายความมั่นคง ทางทหารว่าจะอย่างไร แต่จากที่เราดูจากข้อมูลแมพต่างๆที่เรามี ปราสาทอยู่ในเขตประเทศไทยแน่นอน โดยปราสาทคนานั้นจริงๆแล้วก็เป็นปราสาทขอมโบราณ ซึ่งปราสาทโบราณแถวนี้น่าจะอยู่ราวพุทธศตวรรษที่ 15ถึง16 หรือ 900 ปีประมาณนั้น แต่ต้องไปดูอย่างอื่นประกอบด้วย โดยจะมอบหมายให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์ดำเนินการจัดทำทะเบียนโบราณวัตถุ ต่อไป

นางรุ่งนภา บึงจันทร์ อายุ 57 ปี(เสื้อดำ) ชาวบ้านโคกเบง อดีต ส.อบต.บอกว่า เมื่อปี 45 ทางอบต.แนงมุด ได้จัดโครงการเข้าไปสำรวจปราสาทคันนา เพื่อที่จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว สภาพตอนนั้นก็ค่อนข้างสมบูรณ์อยู่ แต่ซากความปรักหักพังก็มีให้เห็น ช่วงนั้นชาวบ้านก็ยังสามารถเข้าไปได้อยู่ ส่วนมากจะเป็นคนที่ไปหาของป่าล่าสัตว์ และช่วงนั้นยังไม่มีชาวกัมพูชาเข้ามา การเดินทางตอนนั้นต้องเดินเท้าเข้าไปประมาณ 3 กิโลเมตร พื้นที่บริเวณปราสาทก็กว้างใหญ่พอสมควรสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้

หลังสำรวจเสร็จก็ไม่ได้ทำอะไรต่อเพราะเป็นเขตของอนุรักษ์ และยังมีในเรื่องของความปลอดเกี่ยวกับทุ่นระเบิดด้วย ความหวังของชาวบ้านตอนนั้นคืออยากจะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว พอได้ข่าวว่าตอนนี้ทางเขมรมีการเข้ามาก็รู้สึกเสียดาย จริงๆถ้าเขาแบ่งตามเขตสันปันน้ำหนองคันนาคือเขตฝั่งของเรา มองลงไปด้านล่างฝั่งเขาจะเป็นหน้าผาสูง และจะมีจุดส่องสัตว์ช่วงกลางคืนเวลาสัตว์เข้ามากินดินโป่ง ในฐานะคนในพื้นที่ก็อย่าได้พื้นที่ของเราคืน และอยากให้มีการแบ่งเขตกันให้ชัดเจนทำรั้วทำกำแพงไปเลย คือเราไม่ได้ว่าจะตัดความสัมพันธ์กับเขาเพียงแต่เราแบ่งให้เป็นสัดส่วนชัดเจน ฝั่งเราฝั่งเขาไปเลย คนรุ่นลูกรุ่นหลานในวันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องมาลำบากอีก เพราะถ้าอยู่แบบนี้เราไม่มั่นใจว่าเขาจะขยับเข้าอีกไหม เราก็กลัวเสียปราสาทและพื้นที่อื่นๆไปด้วย

นายวีรวัฒน์ พันธุ์ศิลป์ อายุ 65 ปี(เสื้อขาวเขียว) อดีตผู้ใหญ่บ้านแนงมุด บอกว่า ตอนนี้มีบ้างเพจลงข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับปราสาท ว่า ปราสาทคันนายังสมบูรณ์อยู่ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ ตัวปราสาทคันนาผุพังมาหลายสิบปีแล้ว เห็นเมื่อ 40 ปีที่แล้วมีแต่ร่องรอยการขุดรื้อหาสมบัติ ส่วนบริเวณพื้นที่ของตัวปราสาทมีลักษณะสี่เหลี่ยมกว้างประมาณ 40x40 เมตร ฝั่งตะวันออกมีสระน้ำพื้นที่ประมาณ 2 ไร่.


ทายนิสัยจากสัตว์เลี้ยงที่ชอบ สะท้อนตัวตนของเราอย่างไรบ้าง

รู้หรือไม่ว่าสัตว์เลี้ยงที่เราชอบสามารถสะท้อนถึงนิสัยและตัวตนของเราได้ด้วย อยากรู้ว่าจริงไหม ลองไปเช็กกันเลย สุนัข: ตัวพ่อ ตัวแม่ แห่งความเฟรนด์ลี่

คุณเป็นคนจริงใจ ซื่อสัตย์สุดๆ ให้ใจใครแล้วให้เต็มร้อย ไม่มีกั๊ก เป็นคนรักเพื่อน เข้าสังคมเก่ง มีพลังบวกเต็มเปี่ยม พร้อมเป็นที่พึ่งพาให้คนอื่นเสมอ แถมยังกล้าหาญ และไม่กลัวปัญหา ปากตรงกับใจ จนบางทีอาจจะดูเป็นคนพูดจาแรงไปบ้าง แต่รับรองว่าจริงใจ 100%

แมว: ผู้รักอิสระที่มีเสน่ห์ลึกลับ

คุณเป็นคนรักอิสระ มีโลกส่วนตัวสูง และมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างชัดเจน ไม่ชอบให้ใครมาบงการ หรืออยู่ใต้อำนาจใคร คุณมีรสนิยมดี ชอบความสงบ และความสง่างาม มีมุมที่ดูเหมือนจะเย่อหยิ่งเล็กน้อยในสายตาคนอื่น แต่จริงๆ แล้วคุณอบอุ่น และจริงใจมาก แค่ต้องใช้เวลาในการทำความรู้จักกันหน่อย แถมยังชอบทำงานที่ประณีต พิถีพิถัน

ปลา: คนช่างฝันที่อ่อนโยน

คุณเป็นคนใจเย็น ชอบความสงบ ไม่ชอบการแข่งขันหรือความวุ่นวาย เป็นคนอ่อนโยน อ่อนไหว และชอบใช้เวลาอยู่กับความคิดของตัวเอง มีความเป็นคนช่างฝัน และมองโลกในแง่ดี อาจจะดูเป็นคนเรื่อยๆ ไม่ทะเยอทะยานนัก แต่มีจิตใจลึกซึ้ง และมีสัญชาตญาณที่ดี เวลาโกรธก็โกรธง่ายหายเร็ว ไม่เก็บมาคิดนาน

นก: นักผจญภัยที่รักเสรีภาพ

คุณเป็นคนรักเสรีภาพสุดๆ ไม่ชอบการผูกมัดหรืออยู่กับที่นานๆ เหมือนนกที่พร้อมจะโบยบินสำรวจโลกกว้าง คุณคล่องแคล่ว ปราดเปรื่อง และเข้าสังคมเก่ง มีเพื่อนเยอะ ชอบที่จะผจญภัย และค้นพบสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ นอกจากนี้ยังรักสวยรักงาม มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ดึงดูดคนรอบข้าง แต่บางครั้งก็อาจจะเอาแต่ใจตัวเองอยู่บ้าง

กระต่าย: คนอ่อนนอกแข็งใน

ภายนอกคุณดูเป็นคนอ่อนโยน ขี้อาย และน่าทะนุถนอม แต่ภายในคุณคือคนเข้มแข็ง มีไหวพริบดี และเอาตัวรอดเก่ง เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองสูงมาก เป็นคนละเอียดลออ ทำอะไรประณีต แต่ก็สามารถพลิกแพลงสถานการณ์ได้เก่ง ทำให้คุณเป็นคนที่เข้าถึงคนอื่นได้ง่ายและรู้ใจใครๆ ไปเสียหมด

งู: ผู้ลึกลับที่เข้าสังคมเก่ง และยึดมั่นในตัวเอง

คุณเป็นคนมีเสน่ห์ และรู้จักการเข้าสังคม หรือเข้าหาคนอื่นได้ดี มีกิริยามารยาทงาม เป็นคนจริงใจและซื่อสัตย์กับคนที่ไว้ใจมากๆ รักใครรักจริง แถมยังชอบความยุติธรรม และไม่ชอบการเอาเปรียบใคร รวมทั้งยังมีความเชื่อมั่นและจุดยืนที่ชัดเจน ไม่แคร์ว่าคนอื่นจะมองว่าสัตว์เลี้ยงของคุณแปลกหรือน่ากลัว เพราะคุณเห็นความงามและความพิเศษของมัน

เต่า: ผู้เยือกเย็น อดทน และรักความสงบ

คุณเป็นคนใจเย็นและอดทนได้ดีเป็นพิเศษ ไม่รีบร้อน ไม่วู่วาม มีจังหวะชีวิตที่เป็นของตัวเอง เป็นคนรักความสงบ ไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย และมักจะใช้ชีวิตอย่างมั่นคงและสุขุม เหมือนเต่าที่มีกระดองปกป้องตัวเอง

กระรอกและหนู: มีพลังงานที่เหลือล้น

คุณเป็นคนร่าเริง สดใส มีพลังงานสูง และมนุษยสัมพันธ์ดี รักอิสระ ชอบความตื่นเต้น มองหาสิ่งใหม่ๆ และไม่ชอบความจำเจ เป็นคนที่ปรับตัวเก่ง และเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ได้ง่าย แต่ในเรื่องความรักคุณอาจเป็นคนช่างเลือกในความสัมพันธ์ เพราะต้องการใครสักคนที่ตามคุณทัน และมีพลังงานใกล้เคียงกัน

เป็นอย่างไรบ้าง คำทำนายตรงกับนิสัยของตัวเองกันมากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงคำทำนายสนุกๆ ที่อาจไม่ตรงทั้งหมด 100% แต่เชื่อว่าต้องมีสักข้อที่โดนบ้างแน่นอน


ไขปัญหา “นอนไม่หลับในวัย 40+” จากฮอร์โมนเครียด พฤติกรรมรบกวน พร้อมเคล็ดลับหลับลึก

วันที่ 8 ต.ค.68 นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก “หมอเจด” ระบุข้อความว่า..

หลายคนอาจคิดว่า “ก็แค่เครียด” หรือ “พออายุมากก็นอนน้อยลงเอง” แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่นั้นครับ เพราะการนอนไม่หลับในวัย 40+ มักเกี่ยวข้องกับ ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง, ระบบประสาทที่ไวขึ้น, และ พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่รู้ตัวว่ารบกวนการนอน ลองมาดูกันว่าอะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้คนวัยนี้เริ่มนอนไม่หลับ และเราจะดูแลตัวเองยังไงให้หลับได้ลึกขึ้นเหมือนเดิมครับ

1.ฮอร์โมนเริ่มแปรปรวน

พอเข้าสู่วัย 40–50 ปี ฮอร์โมนหลายตัวเริ่มลดลง ทั้งเอสโตรเจน เทสโทสเทอโรน และเมลาโทนิน (ฮอร์โมนแห่งการนอนหลับ)

ร่างกายจึง “สับสนเวลา” บางคนง่วงเร็วแต่ตื่นไว บางคนกลับหลับไม่ลงทั้งคืน พอถึงเช้ากลับเพลียเหมือนอดนอนมา 3 วัน

คำแนะนำเลี่ยงคาเฟอีนหลังบ่ายสอง, ปรับเวลานอนให้คงที่, และสร้างบรรยากาศห้องนอนให้มืด–เงียบ เพื่อช่วยให้ร่างกายหลั่งเมลาโทนินได้เต็มที่ครับ

2. เครียดสะสม

วัยนี้คือช่วงที่ชีวิตเต็มไปด้วย “หน้าที่” ทั้งงานที่ต้องรับผิดชอบ ครอบครัวที่ต้องดูแล หรือเรื่องการเงินที่ต้องวางแผนอนาคต

เมื่อสมองไม่เคยได้พัก ระบบประสาทซิมพาเทติก (โหมดตื่นตัว) จะทำงานตลอดเวลา เหมือนเครื่องยนต์ที่ติดเครื่องไว้ไม่ดับ พอจะนอน ร่างกายจึง “ปิดสวิตช์ไม่ลง”

ก่อนนอนให้ลอง“ชะลอจังหวะชีวิต” สัก 30 นาที ปิดจอมือถือ, หายใจลึก ๆ, ฟังเพลงช้า ๆ หรืออาบน้ำอุ่น จะช่วยให้สมองสั่งร่างกายเข้าสู่โหมดพักได้ง่ายขึ้นครับ

3.ฮอร์โมนเครียดทำให้หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับ

คนวัย 40+ ที่ต้องแบกรับความกดดันมานาน มักมีระดับ “คอร์ติซอล” (ฮอร์โมนความเครียด) สูงกว่าปกติ ซึ่งมีผลโดยตรงกับการนอนหลับ

คอร์ติซอลที่สูงทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันขึ้นเล็กน้อย และสมองอยู่ในภาวะ “ตื่นตลอดเวลา” ต่อให้ปิดไฟแล้ว แต่สมองยังไม่ยอมหลับ

ลองปรับมาออกกำลังกายเบา ๆ อย่างการเดินเร็วหรือโยคะ จะช่วยเผาผลาญคอร์ติซอลได้ดี และช่วยให้ร่างกายเข้าสู่โหมดผ่อนคลายก่อนเข้านอนครับ

4.ขาดสารอาหาร เช่น แมกนีเซียม และวิตามิน D

หลายคนไม่รู้ว่า “นอนไม่หลับ” บางครั้งไม่ได้มาจากความเครียด แต่เกิดจาก “ร่างกายขาดแร่ธาตุ” โดยเฉพาะ แมกนีเซียม ซึ่งช่วยให้สมองและกล้ามเนื้อคลายตัว และร่างกายผลิตเมลาโทนินได้ตามธรรมชาติ อีกตัวคือ วิตามิน D ที่เกี่ยวกับฮอร์โมนและการหลับลึก คนที่ไม่ค่อยออกแดดมักมีวิตามิน D ต่ำ จึงหลับตื้นหรือสะดุ้งบ่อย

กินอาหารที่มีแมกนีเซียม เช่น ถั่ว อะโวคาโด ผักใบเขียว และออกแดดตอนเช้า 10–15 นาที เพื่อกระตุ้นการสร้างวิตามิน D ในร่างกายครับ

5.เล่นมือถือก่อนนอน = ทำลายวงจรหลับของสมอง

แสงสีฟ้าจากหน้าจอมือถือไปยับยั้งการหลั่งเมลาโทนินโดยตรง ทำให้สมองคิดว่าตอนนั้นยังเป็น “กลางวัน” ผลคือ นาฬิกาชีวภาพในร่างกายรวน หลับยาก ตื่นกลางดึก และไม่สดชื่นตอนเช้า ลองปิดหน้าจอทุกชนิดก่อนนอนอย่างน้อย 30 นาที หรือถ้าจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ให้เปิดโหมด Night Shift / Filter แสงสีฟ้าแทนครับ

การนอนไม่หลับในวัย 40+ ไม่ใช่เรื่องของอายุอย่างเดียว แต่คือสัญญาณว่าร่างกายและสมองกำลังขาดสมดุล

อย่าปล่อยให้การนอนไม่หลับกลายเป็นเรื่องปกติ เพราะการนอนคือกลไกซ่อมแซมที่สำคัญที่สุดของคนเรา

ถ้าคืนนี้ยังพลิกตัวไปมาไม่หลับ ลองเริ่มง่าย ๆ จากการปิดมือถือไวขึ้น หายใจลึก ๆ และให้เวลากับร่างกายได้พักจริง ๆ สักคืนครับ

บางครั้ง “การหลับดี” อาจไม่ต้องใช้ยา แค่ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็พอครับ ใครมีคำถามคอมเมนต์ไว้ได้เลยนะครับ