ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ผู้สูงวัยกับยาความดันบ้านๆ ลดสมองเสื่อมได้

เราทราบกันมานานแล้วว่าความดันสูงเป็นสาเหตุหนึ่งที่โน้มนำทำให้เกิดสมองเสื่อมได้เร็วและเมื่อเป็นไปแล้วจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ในเวลาที่ผ่านมา การควบคุมความดันให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะไม่สูงไป ในขณะเดียวกันต้องไม่ต่ำเกินไป โดยในคนสูงอายุนั้น ระดับตัวบน 130-140 กว่าหน่อยๆ ก็เป็นระดับที่พอเหมาะแล้ว (อาจจะไม่ถึงกับ 120 ตาม SPRINT trial ของฝรั่ง) เพราะคนไข้มากหลายต่างรู้สึกเพลียล้า หมดแรง ทำอะไรนิด อะไรหน่อย ก็ไม่ไหวแล้ว ทั้งๆที่ตัวเลขความดันออกสวยงาม

ในขณะเดียวกัน การใช้ยาไม่ควรทำให้ความดันผันผวนมาก โดยสังเกตง่ายๆว่า ถ้านอนแล้วลุกขึ้นนั่ง หรือนั่งแล้วลุกขึ้นยืน มีอาการหน้ามืด หรือแม้ไม่มีหน้ามืดก็ตาม แต่เมื่อวัดความดันแล้วความดันตัวบนตกลงกว่าเดิม 15 ถึง 20 แสดงว่ามีความจำเป็นที่ต้องปรับขนาดยาหรือระยะเวลาที่กินยาใหม่บ้าง ให้ความดันไม่ตกพรวดพราด ปะเหมาะเคราะห์ไม่ดี หกล้ม กระดูกหัก หัวฟาด ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดไปอีก

ในระยะประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา มีการคำนึงถึงชนิดของยาความดันตามกลุ่ม ตาม ประเภท และชนิดต่างๆที่น่าจะให้ผลดีเป็นทวีคูณ นอกจากที่จะลดความดันเฉยๆ และโดยหวังว่าจะสามารถป้องกันการเกิดสมองเสื่อมได้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากการที่เส้นเลือดฝอยเล็กๆอุดตันทั่วไป (vascular dementia) หรือสมองเสื่อมที่เกิดขึ้นจากอัลไซเมอร์

การศึกษาตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา เริ่มเห็นว่ายาความดันที่ออกฤทธิ์กระตุ้นตัวรับ angiotensin II (AT II) ชนิดที่ 2 และ 4 มีแนวโน้มในการลดสมองเสื่อมได้

แต่อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาที่ว่า กลุ่มที่ทำการศึกษาจะมีความดันสูงอยู่แล้ว และมีจำนวนของผู้เข้าการศึกษาไม่มากพอที่จะได้ข้อสรุปชัดเจน แต่หนักแน่นพอที่ควรจะต้องทำการศึกษาต่อ

รายงานในวารสารของสมาคมแพทย์อเมริกัน JAMA network open ในวันที่ 4 มกราคม 2023 ยืนยันประโยชน์ของยาความดันประเภทนี้

ทั้งนี้ โดยรวมกลุ่มผู้ที่อยู่ในประกัน Medicare จำนวน 57,773 ราย ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปและได้รับการวินิจฉัยใหม่เอี่ยมว่า มีความดันโลหิตสูง ทั้งนี้อายุเฉลี่ยจะอยู่ที่ 73.8 ปี โดย 62.9% เป็นสตรี และ 86.9% เป็นคนขาว จากนั้นทำการเปรียบเทียบกลุ่มที่ได้ยาความดันประเภทต่างกัน

กลุ่มที่กระตุ้นตัวรับ ATII เป็นจำนวน 4,879 ราย กลุ่มที่ยับยั้ง ATII จำนวน 10,303 ราย และที่เหลือได้รับผสมปนเปกัน หรือได้รับประเภทอื่น

จากบัญชีรายชื่อยาในรายงานนี้ สำหรับยาที่กระตุ้น ATII นั้น ได้แก่ amlodipine azilsartan bendroflumethiazide candesartan chlorothiazide chlorthalidone eprosartan felodipine hydrochlorothiazide hydroflumethiazide indapamide irbesartan isradipine losartan methyclothiazide nicardipine nifedipine nimodipine nisoldipine olmesartan polythiazide telmisartan trichlormethiazide valsartan

กลุ่มที่ยับยั้ง ได้แก่ acebutolol atenolol benazepril bepridil betaxolol bisoprolol captopril carteolo carvedio diltiazem enalapril fosinopril labetalol lisinopril metoprolol mibefradil moexipril nadolol nebivolol penbutolol perindopril pindolol propranolol quinapril ramipril sotalol timolol trandolapril verapamil verapamil

ทั้งนี้ ในการวิเคราะห์ ได้ปรับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคทางหัวใจและเส้นเลือดรวมกระทั่งถึงสภาพสถานะ การใช้ชีวิต และเศรษฐานะต่างๆ

ผลหลังจากการติดตามเจ็ดปีปรากฏว่า กลุ่มที่ใช้ยากระตุ้นจะมีความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ลดลง 16% ในขณะที่กลุ่มที่ใช้ผสมปนเปกัน ก็ยังสามารถลดความเสี่ยงได้เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้ยายับยั้ง

สำหรับสมองเสื่อมที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยตีบตัน กลุ่มใช้ยากระตุ้นจะลดความเสี่ยงได้ดีกว่าถึง 18% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้ยายับยั้งและกลุ่มที่ใช้ผสมปนเปกันก็ลดความเสี่ยงได้เช่นกันแม้ว่าจะน้อยกว่า

ในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุกลไกชัดเจนที่จะอธิบายถึงประโยชน์เหล่านี้ได้ ทั้งนี้จะเกี่ยวเนื่องจากการที่ปรับเลือดที่ไปเลี้ยงสมองได้พอเหมาะขึ้น รวมกระทั่งการที่สามารถขจัดโปรตีนที่เป็นพิษต่อสมองได้หรือไม่

ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ได้รับยาความดันในกลุ่มที่ยับยั้ง ยังไม่ถึงกับต้องปรับเปลี่ยนยาทันทีทันใด แต่ถ้าเป็นไปได้อาจจะค่อยๆเลือกชนิดของยาตามเป้าประสงค์

ประการที่สำคัญ สำหรับคนไทยโดยทั่วไปก็คือ เมื่อดูรายชื่อยาที่อยู่ในกลุ่มกระตุ้นจะพบว่า ยาหลายชนิดหมดสิทธิบัตรแล้วสามารถใช้ได้โดยไม่ลำบากและราคาถูกจับต้องและเข้าถึงได้ทั่วทุกคน

จะเห็นได้ว่า การรักษาสุขภาพนั้น ต้องเป็นทั่วทุกระบบของร่างกาย จะเอาแต่หัวใจ หัวสมอง โดยไม่สนใจระบบอวัยวะอื่นไม่ได้ อีกทั้งยังต้องรวมการออกกำลังสม่ำเสมอ ถ้าออกไม่ไหวแบบรุนแรงขั้นคาร์ดิโอ แบบหนุ่มสาว ก็ออกแบบก้าวเดินยาวๆวันละเข้าใกล้ 10,000 ก้าว ตากแดด ตอนไหนก็ได้ และอาหารสุขภาพ เข้าใกล้มังสวิรัติ หนักผัก ผลไม้ พริกหวาน พริกขี้หนู ปลอดสาร ถั่วได้เยอะ เนื้อสัตว์น้อย ปลามาก แป้งน้อย ลดขนม ของหวาน กิจกรรมเสริมสมอง ไม่เอาแต่นั่งทอดหุ่ย ดูทีวี หลับคาจอ สุดท้ายดื่มน้ำมากๆ ไม่ใช่กลัวปวดท้องฉี่ เพราะดื่มน้ำมากจะไปฝึกกระเพาะฉี่ และหูรูด และระบบกลั้น เบ่ง ให้เข้าที่ และทำให้ท้องไม่ผูกอีกต่างหาก

เพื่อชีวิตที่ดี ลงทุนบ้าง ถึงเวลานั้น ไปสบายไม่เป็นภาระคนอื่น.


หลุมดำ (black hole) และพลังงานมืด (dark energy)

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566:ปริศนาเรื่องหลุมดำ (black hole) และพลังงานมืด (dark energy) จัดว่าเป็นเรื่องลึกลับที่แวดวงฟิสิกส์ดาราศาสตร์ยังคงต้องศึกษาค้นคว้าเพื่อไขความกระจ่างกันอีกมาก ล่าสุดมีผู้เสนอว่าสองสิ่งนี้อาจมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน โดยใจกลางหลุมดำอาจเป็นที่อยู่ของพลังงานมืด ซึ่งเป็นตัวการทำให้เอกภพขยายตัวด้วยอัตราเร่ง

ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติจากสหรัฐฯ และหลายประเทศในยุโรป ตีพิมพ์บทความวิจัย 2 ชิ้น ลงในวารสาร The Astrophysical Journal และ The Astrophysical Journal Letters โดยดร. ดันแคน ฟาร์ราห์ หัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาวายของสหรัฐฯ ระบุว่า “พลังงานมืดถือกำเนิดขึ้นเมื่อสสารธรรมดาถูกบีบอัดอย่างยิ่งยวด ขณะดาวฤกษ์ยักษ์กำลังสิ้นอายุขัยและยุบตัวลงกลายเป็นหลุมดำ”

ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบชัดว่า แท้จริงแล้วพลังงานมืดซึ่งเป็นองค์ประกอบหลัก 70% ของจักรวาลคืออะไรและมีอยู่ที่ไหนบ้าง แต่พวกเขาตั้งข้อสันนิษฐานว่าพลังงานลึกลับนี้มีอยู่จริง หลังพบหลักฐานยืนยันว่าเอกภพกำลังขยายตัวด้วยอัตราเร่ง

บรรดานักฟิสิกส์ดาราศาสตร์คาดการณ์ว่า มีพลังงานบางอย่างเป็นตัวการผลักดัน ทำให้เอกภพที่ควรจะขยายตัวช้าลงเรื่อย ๆ เพราะแรงโน้มถ่วง กลับขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม ซึ่งนำไปสู่การเสนอแนวคิดเรื่องพลังงานมืดเป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1990

ดร. คริส เพียร์สัน สมาชิกทีมวิจัยจากห้องปฏิบัติการ Rutherford Appleton Laboratory ของสหราชอาณาจักร อธิบายถึงที่มาของแนวคิดใหม่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหลุมดำกับพลังงานมืดว่า ทีมผู้วิจัยได้ศึกษาการเติบโตของหลุมดำจำนวนมาก โดยเปรียบเทียบระหว่างหลุมดำในกาแล็กซีอายุน้อยที่ยังมีการก่อกำเนิดดาวดวงใหม่อยู่เสมอ กับหลุมดำในกาแล็กซีเก่าแก่ที่ไม่มีดาวดวงใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาอีกแล้ว

“เราสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์ใหม่เพื่อใช้คำนวณวิเคราะห์ผลการศึกษาข้างต้น โดยตีความว่าการเติบโตในอัตราที่เกินคาดของหลุมดำนั้น มาจากพลังงานมืดที่ถูกกักเก็บซุกซ่อนอยู่ในใจกลางของหลุมดำนั่นเอง” ดร. เพียร์สันกล่าว

“ผลคำนวณพบว่าพลังงานลึกลับชนิดนี้สามารถจะอธิบายค่าการขยายตัวของเอกภพด้วยอัตราเร่งได้พอดี นับเป็นครั้งแรกที่แวดวงวิทยาศาสตร์พบหลักฐานจากการสังเกตอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมในประเด็นนี้”

หากแนวคิดของทีมผู้วิจัยผ่านการพิสูจน์ว่าถูกต้อง นั่นหมายความว่าปริศนาเรื่องพลังงานมืดที่ค้างคาใจนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์มายาวนานจะได้รับการคลี่คลาย ทั้งยังจะช่วยไขปริศนาเรื่องภาวะเอกฐาน (singularity) ที่ใจกลางหลุมดำ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นจุดที่กฎทางฟิสิกส์ทั้งหมดจะล้มเหลวใช้การไม่ได้ โดยทีมผู้วิจัยระบุว่าหากใจกลางหลุมดำเป็นพลังงานมืดเสียแล้ว ภาวะเอกฐานก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นจะต้องมีอยู่อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอเรื่องใจกลางหลุมดำเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานมืดนั้นอาจมีความผิดพลาดได้ เนื่องมาจากความคลาดเคลื่อนของตัวเลขประมาณการอัตราก่อกำเนิดของดวงดาว ซึ่งเป็นพื้นฐานของการคำนวณที่นำไปสู่ข้อสรุปของแนวคิดใหม่นี้

ศาสตราจารย์ วิเตอร์ คาร์โดโซ นักฟิสิกส์จากสถาบันนีลส์บอร์ที่กรุงโคเปนเฮเกนของเดนมาร์ก แสดงความเห็นว่าแนวคิดใหม่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหลุมดำกับพลังงานมืดนั้น ออกจะเป็นการด่วนสรุปจนเกินไป เพราะยังไม่อาจอธิบายได้ว่าพลังงานมืดในหลุมดำผลักดันให้เอกภพขยายตัวได้อย่างไร ทั้งยังไม่สามารถตอบคำถามมากมายที่มาจากหลักฐานซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดนี้ได้

ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว


สุขภาพดีเริ่มต้นได้จากการกิน แนะนำ 9 พืชที่มีโปรตีนสูง อิ่มนาน หาซื้อง่าย

เทรนด์รักสุขภาพยังคงมาแรงและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากเมนูอาหารต่างๆ ที่ได้ปรับเปลี่ยน พัฒนา และหาทานได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน ซึ่งไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมในหมู่คนรักสุขภาพเท่านั้น แต่กลุ่มคนทั่วไปก็เริ่มหันมาใส่ใจด้านโภชนาการและเลือกทานมาขึ้น...

จุดเริ่มต้นง่ายๆ ที่นิยมทำกันมักเป็นการเลือกทานมื้ออาหารที่โภชนาการครบห้าหมู่ โดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและความแข็งแกร่งของระบบต่างๆ ในร่างกาย...

ประโยชน์ของโปรตีน

ช่วยในการเจริญเติบโตและการบำรุงรักษากล้ามเนื้อ

มีส่วนช่วยเสริมสร้างและบำรุงกระดูก

มีผลต่อการช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมน

ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ต่อสู้กับโรคและการติดเชื้อ

มีส่วนช่วยเรื่องระบบเผาผลาญ หรือเมแทบอลิซึม

การควบคุมน้ำหนักและความอิ่ม

ช่วยลดอาการท้องผูก ขับถ่ายง่าย

มีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดันโลหิต และระดับคอเลสเตอรอล

โปรตีนที่ทุกคนบริโภคอยู่ทุกวันนี้และรู้จักกันดีคือเนื้อสัตว์ แต่รู้หรือไม่ว่าเราก็สามารถรับโปรตีนจากพืชได้เช่นกัน ซึ่งเหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนัก ทานมังสวิรัติ หรือคนทั่วไปที่อยากดูแลสุขภาพ เพราะนอกจากจะมีแคลอรี่ต่ำและช่วยควบคุมระดับคอเรสเตอรอลแล้ว การหันมานิยมทานโปรตีนจากพืช ยังช่วยลดภาวะโลกร้อนจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตอีกด้วย เรียกว่าเป็นเทรนด์รักสุขภาพที่มาพร้อมกับความยั่งยืนก็ว่าได้...

โปรตีนจากพืชที่ทุกคนคุ้นเคย

สำหรับใครที่เพิ่งจะเข้าวงการรักสุขภาพ มาลองทำความเข้าใจกับ Plant-Based Protein หรือโปรตีนจากพืช ที่นอกจากจะมีประโยชน์ด้านโภชนาการและสารอาหารต่างๆ มากมายแล้ว ยังอยู่ใกล้ตัว หาทานได้ง่าย ราคาจับต้องได้ และอิ่มนานด้วย โดยเราสามารถรับโปรตีนจากพืชได้จากพืชตระกูลถั่ว ธัญพืช และผักใบเขียว ที่ทุกคนคุ้นเคยนั่นเอง

พืชตระกูลถั่ว

ในหลายวัฒนธรรมทั่วโลกนิยมนำพืชตระกูลถั่วมาเป็นวัตถุดิบหลักในจานอาหาร เพราะมีราคาถูกและหาทานได้ง่ายเหมาะสำหรับคนทุกกลุ่ม ถั่วหลายชนิดสามารถรับประทานแบบดิบ ย่าง อบ หรือนำไปเป็นส่วนประกอบในอาหารต่างๆ

พืชตระกูลถั่วนั้นถูกจำแนกของเป็น 2 แบบ นั่นคือ ถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ ฯลฯ และถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ แมคคาเดเมีย ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นแหล่งโปรตีนจากพืชชั้นดี ให้โปรตีนสูง อุดมไปด้วยใยอาหารหรือไฟเบอร์ที่ช่วยควบคุมระบบย่อยและลดอาการท้องผูก รวมถึงยังเป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ (Soluble dietary fiber) ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี พืชตระกูลถั่วยังให้สารอาหารต่างๆ ที่เป็นวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามิน B6, C, K, E ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียม โฟเลต สารต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีไขมันต่ำและคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อสุขภาพ นิยมสำหรับผู้ที่กินอาหารสุขภาพ ผู้กินมังสวิรัติ และเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการควบคุมน้ำหนัก

ธัญพืช

ธัญพืช (Cereal Grains) คือเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ ที่ได้จากการเพาะปลูกและนำมาบริโภค เช่น ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ลูกเดือย แมงลัก ฯลฯ จะเห็นได้ว่าธัญพืชนั้นเป็นวัตถุดิบพื้นฐานที่ถูกนำไปประกอบอาหารและแปรรูปอย่างแพร่หลายทั่วโลก ออกมาเป็นอาหารรูปแบบต่างที่เราคุ้นเคย เพราะธัญพืชเป็นนั้นให้คาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักที่สำคัญต่อร่างกาย รวมถึงยังเป็นแหล่งโปรตีน ใยอาหารที่มีไขมันต่ำ รวมถึงสารอาหารเช่นวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วิตามิน B1, B2, B6, B12, C, D, E ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม แคลเซียม เหล็ก โครเมียม โฟเลต ฟอสฟอรัส ไนอะซิน เลซิติน และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งช่วยในการบำรุงกระดูก ประสาทและสมอง แถมยังช่วยลดคอเลสเตอรอลอีกด้วย

ไม่แปลกที่คนรักสุขภาพและต้องการจะควบคุมน้ำหนัก รักษารูปร่าง จะหันมาให้ความสำคัญกับการรับประทานธัญพืช โดยเฉพาะธัญพืชไม่ขัดสี ซึ่งเรียกอีกชื่อก็คือ โฮลเกรน (whole grains) นั่นเอง เพราะได้รับคุณค่าสารอาหารครบถ้วน จากธัญพืชเต็มเมล็ด โดยที่เยื่อหุ้มเมล็ดและบางส่วนของธัญพืชไม่ถูกขัดสีออกไป ประโยชน์ที่ได้รับคืออิ่มนาน ลดอาการท้องผูก ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยให้ภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผักใบเขียว

อย่างที่เราทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าผักใบเขียวมีประโยชน์มากมาย อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินB1, B2, B5, B6, E, C, K, A กรดไขมันโอเมก้า โฟเลต กาบ้า ทองแดง โพแทสเซียม เซเลเนียม ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน บำรุงสายตา เซลส์สมอง และชะลอความชรา รวมถึงเป็นแหล่งโปรตีนที่หาทานได้ง่าย ได้ประโยชน์จากโปรตีนจากพืชแบบเต็มๆ นอกจากนี้ การเลือกรับประทานผักสีเขียวเป็นประจำยังช่วยเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า มีกากใยอาหารสูงช่วยเรื่องการขับถ่าย มีแคลเซียมช่วยเรื่องกระดูกแข็งแรง ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน และที่สำคัญคือไม่มีคอเลสตรอรอล

ในหนึ่งวัน เพียงทานผักอย่างน้อย 400 กรัม อาจจะเป็นอาหารหลักอย่างสลัด หรือทานควบคู่ไปกับอาหารอื่นๆ ระหว่างวัน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด มะเร็ง รวมไปถึงส่งเสริมให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างปกติ

แนะนำ 9 พืชโปรตีนสูง ทางเลือกใหม่ของสุขภาพดี หาทานง่าย

มาทำความรู้จัก 9 พืชที่มีโปรตีนสูงยอดนิยมที่ให้ประโยชน์ด้านโภชนาการมากมาย นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ของการมีสุขภาพดีและหาทานได้ทั่วไป

1. ถั่วเลนทิล (Lentils)

ถั่วเลนทิลจัดเป็นอาหารยอดฮิตของคนรักสุขภาพและต้องการลดน้ำหนัก มีแคลอรี่ต่ำและอุดมไปด้วยโปรตีน ไฟเบอร์ เหล็ก โพแทสเซียม และโฟเลต ถั่วเลนทิลสุก 100 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 8.39 กรัม

2. ถั่วชิกพี (Chickpeas)

ถั่วชิกพีหรือถั่วลูกไก่ นิยมในหมู่คนทานมังสวิรัติและผู้ที่ไม่สามารถทานเนื้อสัตว์ได้ มีโปรตีน ไฟเบอร์ เหล็ก แมกนีเซียม และโพแทสเซียมสูง รวมทั้งมีวิตามิน B6, C และ K โดยถั่วชิกพีสุก 1 ถ้วย (164 กรัม) ให้โปรตีนประมาณ 14.5 กรัม

3. อัลมอนด์ (Almonds)

อัลมอนด์เป็นแหล่งโปรตีน ไฟเบอร์ และไขมันไม่อิ่มตัวที่ดีต่อสุขภาพ รวมทั้งแมกนีเซียม โพแทสเซียม และวิตามินอี อัลมอนด์ 100 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 18.17 กรัม

4. เมล็ดเจีย (Chia seeds)

เมล็ดเจียมีโปรตีน ไฟเบอร์ และกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ดีต่อสุขภาพสูง รวมทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม เมล็ดเจีย 100 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 17 กรัม

5. เมล็ดฟักทอง (Pumpkin seeds)

เมล็ดฟักทองเป็นแหล่งโปรตีน ไฟเบอร์ และไขมันไม่อิ่มตัวที่ดีต่อสุขภาพ รวมทั้งแมกนีเซียม สังกะสี และโพแทสเซียม เมล็ดฟักทอง 100 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 19 กรัม

6. ควินัว (Quinoa)

ควินัวเป็นธัญพืชที่มีโปรตีนสูงซึ่งเป็นแหล่งใยอาหาร ธาตุเหล็ก และแมกนีเซียมที่ดี ควินัวปรุงสุก 100 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 5.01 กรัม

7. ข้าวโอ๊ต (Oat)

ข้าวโอ๊ตเป็นแหล่งโปรตีน ไฟเบอร์ วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก แมกนีเซียม และโพแทสเซียม ข้าวโอ๊ตสุก 100 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 13.15 กรัม

8. ต้นอ่อนทานตะวัน (Sunflower Sprouts)

จัดเป็นพืชที่มีสารอาหารนานาประโยชน์ มีทั้งวิตามิน B1, B6, E, และ C รวมถึงกรดไขมันโอเมกา กาบา โฟเลต และให้โปรตีนจากพืชสูงมาก โดยต้นอ่อนทานตะวันในปริมาณ 100 กรัม ให้โปรตีนสูงมากถึง 21.4 กรัม

9. ผักโขม (Amaranth)

ผักโปรตีนสูงที่เต็มไปด้วยประโยชน์ มีวิตามิน B1, B2, C ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส สารต้านอนุมูลอิสระ และกรดอะมิโน 30 ชนิด ผักโขมในปริมาณ 100 กรัม ให้โปรตีน 14.45 กรัม นอกจากที่ได้แนะนำ ยังมีถั่ว ธัญพืช และผักอีกหลายชนิดที่ให้โปรตีนสูง ซึ่งมีรสชาติเฉพาะตัวและยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้มากมาย ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่าแม้โปรตีนจากพืชจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ควรเลือกทานอาหารให้หลากหลาย เพื่อให้ได้รับโปรตีนและสารอาหารอย่างครบถ้วน ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายและห่างไกลจากความเครียด เพียงเท่านี้ก็ทำให้คุณมีสุขภาพและรูปร่างดีได้อย่างยั่งยืน...


จาก Artemis สู่การวางโครงสร้างพื้นฐานบนดวงจันทร์

14 กุมภาพันธ์ 2566:การสำรวจอวกาศกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งจากนานาประเทศ ภารกิจ Artemis ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญในการตั้งรกรากบนดวงจันทร์ ล่าสุดการตั้งรกรากในอวกาศอาจใกล้เข้าอีกขั้น จากโครงการวางโครงสร้างพื้นฐานท่อส่ง ออกซิเจน และ น้ำ บนดวงจันทร์

การส่งนักบินอวกาศมุ่งสู่ดวงจันทร์ถือเป็นหัวข้อที่ถูกนำมาปัดฝุ่นและได้รับความสนใจกว้างขวาง ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯกับโซเวียตเหมือนแต่ก่อน นานาประเทศต่างมุ่งสำรวจอวกาศโดยมีดวงจันทร์เป็นหมุดหมาย NASA จึงต้องเร่งโครงการ Artemis เพื่อทวงคืนความเป็นมหาอำนาจทางอวกาศ หลังจากที่หลายชาติไล่ตามมาติดๆ

นั่นทำให้การไปอวกาศครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการเยือน แต่อาจมีการวางโครงสร้างพื้นฐานการใช้ชีวิตไว้รองรับนักบินอวกาศด้วยเช่นกัน

บางท่านอาจสงสัยว่าดวงจันทร์มีน้ำอยู่จริงหรือ คำตอบคือ มี น้ำที่ซ่อนอยู่ในดวงจันทร์ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2008 จากการตรวจสอบของทีมนักดาราศาสตร์ ซึ่งกำลังอาศัยยานสำรวจ Chandrayaan-1 ของอินเดีย ตรวจสอบสภาพธรณีวิทยาบนดวงจันทร์ผ่านรังสีอินฟราเรด จนค้นพบผืนน้ำแข็งกระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ขั้วเหนือและใต้ของดวงจันทร์

น้ำที่ถูกค้นพบอยู่ในสถานะน้ำแข็ง ซ่อนอยู่ตามพื้นที่เงามืดของดวงจันทร์อย่างขั้วเหนือและใต้ ด้วยอุณหภูมิของพื้นที่แถบนั้นเฉลี่ยอยู่ที่ -163 องศาเซลเซียส เป็นเหตุให้น้ำแข็งเหล่านี้ยังสามารถรักษาสภาพ ไม่ละลายหายไปจากแสงอาทิตย์ โดยปริมาณน้ำแข็งที่ค้นพบกินพื้นที่ราว 3.5% ในพื้นที่เงามืดของดวงจันทร์

นอกจากพื้นที่หนาวเย็นซึ่งมีน้ำอยู่ในสถานะน้ำแข็งแล้ว อีกส่วนที่มีการค้นพบโมเลกุลน้ำคือ พื้นผิวของแอ่งหลุมคลาเวียส (Clavius Crater) ซึ่งเป็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งบนดวงจันทร์ สามารถมองเห็นพื้นที่ดังกล่าวได้จากบนพื้นโลก โดยจากการตรวจสอบมีโมเลกุลน้ำอยู่ 12 ออนซ์(350 มิลลิลิตร) ต่อพื้นที่ 1 ลูกบาศก์เมตร

ปริมาณนี้เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ในโลกถือว่ามีความชุ่มชื้นต่ำจนแห้งแล้ง แต่ถือเป็นก้าวแรกที่ช่วยให้มองเห็นโอกาสในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรบนดวงจันทร์ โดยเฉพาะในส่วนจำเป็นต่อการดำรงชีพของนักบินอวกาศ ที่อาจเป็นก้าวแรกสู่การตั้งอาณานิคมต่างดาวได้อีกด้วย

นี่จึงเป็นเหตุให้ทาง NASA เริ่มให้ความสนใจในการใช้ประโยชน์จนมีการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานบนดวงจันทร์

แนวคิดนี้มาจากทีมวิจัยหนึ่งในโครงการ Innovative Advanced Concepts (NIAC) ที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก NASA จากการเตรียมตัวสำหรับภารกิจส่งมนุษยชาติกลับสู่ดวงจันทร์ของ Artemis นำไปสู่โครงการพัฒนาท่อขนส่งออกซิเจนจากทรัพยากรบนดาวดวงจันทร์ในชื่อ Lunar South Pole Oxygen Pipeline (LSPOP)

อันที่จริงแนวคิดในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรบนดวงจันทร์เพื่อการดำรงชีพไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น การสกัดออกซิเจนและน้ำขึ้นมาจากน้ำแข็งในดวงจันทร์ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ปัญหาติดขัดอยู่ในขั้นตอนการขนส่ง ไม่ว่าจะนำออกซิเจนบรรจุอยู่ในถังแก๊ส หรือทำให้อยู่ในรูปของเหลวก็ตาม การขนส่งกลับเป็นขั้นตอนที่มีความยากลำบากและกินพลังงานสูงสุด

สาเหตุที่เป็นแบบนี้เนื่องจากจุดหมายในการให้นักบินอวกาศตั้งรกรากบนดวงจันทร์ถูกกำหนดในแถบเส้นศูนย์สูตร ด้วยสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อการใช้ชีวิตมากกว่า ประกอบกับอุปกรณ์ของนักบินอวกาศอาศัยโซล่าเซลล์จึงต้องการแสงอาทิตย์ในสร้างพลังงาน อีกทั้งสภาพภูมิอากาศแถบพื้นที่ขั้วใต้หนาวเย็นเป็นพิเศษ นี่จึงเป็นสาเหตุให้การขนส่งทรัพยากรเป็นไปด้วยความยากลำบาก รวมถึงไม่สามาถเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัยของนักบินอวกาศได้ด้วย

นี่จึงเป็นที่มาของแนวคิดท่อส่งบนดวงจันทร์ ในการขนส่งน้ำและออกซิเจนจากพื้นที่ขั้วใต้มาสู่ที่อยู่อาศัย โดยตั้งเป้าไว้ว่าโครงการนี้จะช่วยให้นักบินอวกาศเข้าถึงออกซิเจนและน้ำได้ราบรื่น และช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกิดในขั้นตอนการขนส่งทรัพยากรที่จะเกิดขึ้น

หลังการทดสอบตัวต้นแบบความยาวราว 5 กิโลเมตรประสบความสำเร็จในการขนส่งออกซิเจนและน้ำ ล่าสุดทาง NASA ได้ไฟเขียวให้ท่อส่งนี้เข้าร่วมโครงการสำรวจดวงจันทร์ Artemis ตั้งเป้าหมายในการผลิตชิ้นส่วนบนดวงจันทร์ อาศัยวัตถุดิบแร่อะลูมิเนียมที่มีอยู่มากในพื้นที่ และจะนำไปทดลองใช้งานจริงในจริงต่อไป

แน่นอนว่ายังมีข้อควรระวังบางประการสำหรับโครงการนี้ แต่ทางทีมวิจัยยืนยันว่านี่เป็นโครงการที่มีความปลอดภัยสูง ต่อให้เกิดการรั่วไหลภายในท่อส่งสิ่งที่ออกมาจะมีเพียงน้ำและออกซิเจน ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อมและตัวนักบินอวกาศ แต่อาจทำให้ทรัพยากรเหล่านี้สูญเปล่าและหายไปจากดวงจันทร์เพราะไม่มีชั้นบรรยากาศคอยดักจับเท่านั้น

โครงการจัดวางท่อส่งน้ำและออกซิเจนไม่ใช่โครงการเดียวที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก NASA ปัจจุบันมีหลายโครงการอยู่ระหว่างการพัฒนา คงต้องรอดูกันต่อไปว่า ภายใต้ความสนใจและการสนับสนุนอยางต่อเนื่อง จะมีโครงการใดบ้างที่ส่งอิทธิพลต่อการสำรวจอวกาศของมนุษยชาติ

ที่มา https://www.bbc.com/thai/features-45259592 , https://www.bbc.com/thai/international-54698799