วันครอบครัว 2565 (ภาษาอังกฤษ : Family Day) หรือ "วันครอบครัวแห่งชาติ" ถือเป็นวันที่กำหนดขึ้นเพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของสถาบันครอบครัว แม้จะเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด แต่ก็มีความสำคัญอย่างมาก ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น เพราะประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างก็มี "วันแห่งครอบครัว" ซึ่งอาจมีการกำหนดช่วงวันและเดือนที่แตกต่างกันออกไป
วันครอบครัว 2568 ตรงกับวันที่เท่าไร?
วันครอบครัววันที่เท่าไร? สำหรับในประเทศไทย กำหนดให้วันครอบครัวตรงกับวันที่ 14 เมษายนของทุกปี ซึ่งอยู่ในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ หรือวันปีใหม่ไทย เป็นช่วงเวลาที่คนไทยไม่ว่าจะพักอาศัยอยู่ที่ไหน ก็มักจะนิยมเดินทางกลับภูมิลำเนา เพื่อไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และไหว้ขอพรพ่อแม่ โดยใช้เวลาทำกิจกรรมต่างๆ อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ซึ่งการกำหนดให้วันสงกรานต์ตรงกับช่วงเทศกาลดังกล่าว ก็เพื่อให้สมาชิกภายในครอบครัวได้มีโอกาสพบปะกันอย่างสะดวกที่สุดนั่นเอง
ประวัติ "วันครอบครัว" และความสำคัญที่ควรรู้
"ครอบครัว" ถือเป็นสถาบันพื้นฐานทางสังคมที่มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นสถาบันแรกของทุกคน มีบทบาทในการอบรมเลี้ยงดู ส่งต่อค่านิยม ถ่ายทอดวัฒนธรรม ซึ่งในประเทศไทยครอบครัวมักจะอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ มีทั้งพ่อ แม่ ลูก และญาติคนอื่นๆ อาศัยรวมอยู่ด้วย ทำให้คนไทยค่อนข้างสนิทสนมกับสมาชิกภายในบ้าน แม้ปัจจุบันคนรุ่นใหม่จะหันมาสร้างครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น แต่ก็ยังคงมีค่านิยมในการให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัวอยู่เสมอ
วันครอบครัวไทย ได้รับการกำหนดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2532 ในสมัยนายกรัฐมนตรี พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ โดยคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เป็นผู้เสนอมติให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในการกำหนดให้ ทุกวันที่ 14 เมษายน ของทุกปี เป็นวันครอบครัว หลังจากนั้นจึงได้รับการอนุมัติ และประกาศใช้วันครอบครัวไทยเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2533 และใช้สืบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
กิจกรรมที่จัดขึ้นในวันครอบครัวไทย 2568
สำหรับกิจกรรมในวันครอบครัวของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน มักจัดกิจกรรมมอบรางวัลให้แก่ครอบครัวดีเด่น ครอบครัวต้นแบบ รวมถึงสมาชิกในครอบครัวที่มีแบบอย่างที่ดี เพื่อส่งเสริมและให้กำลังใจในการปฏิบัติตนเป็นสถาบันตัวอย่างที่ดีให้แก่สังคม ส่วนคนไทยมักนิยมรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ผู้ที่มีอายุน้อยกว่ามักจะเข้าไปไหว้ขอพรผู้หลักผู้ใหญ่ นอกจากนี้ ยังนิยมใช้เวลาส่วนใหญ่ในการรับประทานอาหารร่วมกัน ถามไถ่ทุกข์สุข ถือเป็นวันสำคัญที่สมาชิกในครอบครัวทำกิจกรรมร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
วันครอบครัว 2568 เป็นวันที่กำหนดขึ้นเพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัว ซึ่งไม่จำเป็นว่าเราจะต้องให้ความสำคัญกับพ่อแม่ หรือสมาชิกภายในบ้านเฉพาะวันนี้เท่านั้น แต่ยังสามารถดูแลเอาใจใส่กันได้ในทุกๆ วัน โดยนอกจากวันครอบครัวจะเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลวันสงกรานต์แล้ว ยังสะท้อนค่านิยมและวัฒนธรรมของคนไทยได้อีกด้วย
ในปัจจุบันการรับรู้ของคนในสังคมเกี่ยวกับโรคซึมเศร้ามีเพิ่มมากขึ้น คนส่วนใหญ่เริ่มเข้าใจว่าโรคซึมเศร้าเป็นอาการป่วยทางจิตอย่างหนึ่งที่สามารถรักษาให้หายได้ ไม่ได้เป็นความอ่อนแอเหมือนที่ใคร ๆ เคยเข้าใจ
แพทย์หญิงณัฏฐพัชร์ ลำเลียงพล จิตแพทย์ โรงพยาบาล BMHH – Bangkok Mental Health Hospital กล่าวว่า โรคซึมเศร้าเป็นสภาวะทางอารมณ์ที่มีความรู้สึกเศร้าเป็นเวลานาน ทำให้สูญเสียความสนใจในกิจกรรมที่เคยทำแล้วรู้สึกสนุกหรือมีความสุข และก่อให้เกิดผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันในที่สุด ซึ่งโรคซึมเศร้าสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและทุกช่วงวัย โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่
พ่อแม่หลายท่านมักกังวลว่าเมื่อลูกเราโตขึ้น จนกระทั่งเข้าสู่วัยเรียน อาจมีการปรับตัวเข้าสู่สังคม จนบางครั้งลูก ๆ อาจพบความเครียดสะสมและมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ซึ่งพบว่าปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดโรคซึมเศร้าในเด็ก นอกจากเรื่องของพันธุกรรมและสารเคมีในสมองไม่สมดุลแล้ว ในวัยเด็กยังมีปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง เช่น การถูกเลี้ยงดูที่เข้มงวดจนเกินไป, การถูกเพื่อนที่โรงเรียนกลั่นแกล้งหรือบูลลี่เป็นประจำ, ตัวเด็กเองขาดความมั่นใจในตัวเองจนรู้สึกกับตัวเองในแง่ลบ, และประสบการณ์ที่เลวร้ายในวัยเด็ก หรือถูกทำร้ายร่างกายในวัยเด็ก
โรคซึมเศร้าในวัยรุ่น
วัยรุ่นเป็นวัยแห่งการเปลี่ยนแปลง และต้องมีการปรับตัวในหลายด้านพร้อม ๆ กัน เช่น การเรียน การเข้ากันได้กับเพื่อน ความสัมพันธ์หนุ่มสาว หรือความสัมพันธ์ในครอบครัว จึงทำให้เกิดปัญหาได้ง่ายและมากกว่าวัยอื่น ๆ เพราะฉะนั้นในคนที่มีความสามารถในการปรับตัวน้อย จะมีความเสี่ยงเกิดโรคซึมเศร้าในง่ายกว่าคนที่มีความสามารถในการปรับตัวที่ดี นอกจากนี้ด้วยธรรมชาติของวัยรุ่นจะมีความหุนหันพลันแล่น เมื่อทำอะไรผิดพลาดก็จะเกิดอาการผิดหวังและรู้สึกเศร้าเสียใจซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ โดยยังพบว่าวัยรุ่นที่มีภาวะซึมเศร้ามีแนวโน้มในการพัฒนาเป็นโรคซึมเศร้าในวัยผู้ใหญ่มากขึ้น
โรคซึมเศร้าในวัยผู้ใหญ่หรือวัยทำงาน
วัยทำงานเป็นวัยที่พบผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามากที่สุด เนื่องจากวัยทำงานเป็นวัยสร้างครอบครัวและเป็นวัยที่มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากมาย แบกรับความกดดันและความคาดหวังที่สูง อีกทั้งหลายคนอาจมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลสะสมโดยไม่รู้ตัว และอาจกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ในที่สุด
โรคซึมเศร้าในวัยผู้สูงอายุ
วัยผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีความเสื่อมถอยของสุขภาพ ผู้สูงอายุบางท่านเริ่มมีความคิดโทษตัวเองที่เป็นภาระของลูกหลาน และผู้สูงอายุหลายท่านเกิดความรู้สึกเหงาเพราะลูกหลานทำงานจนไม่มีเวลาให้ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้อาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุได้ โดยจากงานวิจัยของคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่าผู้สูงอายุกว่า 70% มีภาวะซึมเศร้า และ 15% มีภาวะโรคซึมเศร้า
อย่างไรก็ตาม สัญญาณเตือนของโรคซึมเศร้าในแต่ละช่วงวัยอาจแตกต่างกันเล็กน้อย แต่อาการผิดปกติที่อาจพบได้ในทุกช่วงวัย ได้แก่ อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย, ไม่อยากอาหารหรือรับประทานอาหารมากกว่าปกติ, นอนไม่หลับหรือนอนหลับมากกว่าปกติ, เฉื่อยชา ชอบเก็บตัว มีความสนใจจากสิ่งที่เคยชอบลดลง, ประสิทธิภาพในการเรียนหรือการทำงานลดลง, รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เป็นต้น
การรักษาโรคซึมเศร้าของแต่ละช่วงวัยจำเป็นต้องให้จิตแพทย์พิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งหากมาพบแพทย์ตั้งแต่อาการยังไม่รุนแรงก็มีโอกาสรักษาหายขาด และกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขได้อีกครั้ง
โรคหลอดเลือดสมอง – เมื่อวันที่ 20 มีนาคม นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข รายงานข้อมูลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ปี 2567 ของระบบรายงานฐานข้อมูลสุขภาพ (HDC) พบว่า โรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของคนไทยสูงเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็ง พบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสะสม 358,062 คน และเสียชีวิต 39,086 คน ซึ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ป่วยและเสียชีวิตสูงสุด โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น ในปี 2563 – 2565 พบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองรายใหม่กว่า 2,000 คนต่อปี
ทั้งนี้ พญ.จิรัชญา ดีสุวรรณ อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมอง ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลพญาไท 2 เผยสาเหตุโรคหลอดเลือดสมองในคนอายุน้อย มักมาจากผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ผู้ที่สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย มีภาวะเครียด และโรคอ้วน
3 ปัจจัยสำคัญที่อาจก่อให้เกิดโรคสมองในคนอายุน้อย 1. หัวใจผิดปกติ 2. สาเหตุจากหลอดเลือดผิดปกติ และ 3. สาเหตุจากการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
สำหรับ สัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง คือ BEFAST แบ่งเป็น B = Balance เดินเซ เวียนศีรษะ บ้านหมุนฉับพลัน, E = Eyes ตาพร่ามัว มองไม่เห็น เห็นภาพซ้อนฉับพลัน, F = Face Dropping ใบหน้าชาหรืออ่อนแรง ยิ้มแล้วมุมปากตก
A = Arm Weakness แขนขาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง กำมือไม่ได้, S = Speech Difficulty ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด พูดลำบาก พูดไม่ได้ พูดไม่ออก, T = Time to call รีบโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่และนำส่งโรงพยาบาลทันที
วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดโรคสมองในวัยทำงาน ดังนี้ ตรวจวัดความดันเลือดอย่างสม่ำเสมอ และควบคุมให้อยู่ในระดับปกติ, ควบคุมน้ำหนักให้อยู่เกณฑ์ปกติ ลดน้ำหนักเมื่อเริ่มสูงเกินเกณฑ์, ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ, เลือกรับประทานอาหาร โดยลดอาหารที่มีคอเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวสูง และทานผักผลไม้ให้มากขึ้น, ลดการดื่มแอลกอฮอล์, หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการใช้สารเสพติด, ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี
เมื่อเข้าสู่หน้าร้อน นอกจากประเพณีสงกรานต์และวันหยุดยาวที่เรารอคอยแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือโรคภัยต่างๆ ในหน้าร้อนที่มาตามฤดูกาล มีโรคอะไรบ้างที่เราต้องระวังเป็นพิเศษ และมีวิธีป้องกันอย่างไรบ้าง
โรคที่ต้องระวังในหน้าร้อน
1. โรคฮีทสโตรก (Heat stroke) หรือโรคลมแดด
เป็นโรคที่ควรระวังเป็นอย่างยิ่งในหน้าร้อนเพราะมีอันตรายถึงชีวิต เนื่องจากร่างกายเกิดความร้อนสะสม โดยมีอุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส อาการที่สังเกตได้ คือ
รู้สึกเมื่อย ล้า อ่อนเพลีย ตัวร้อนมาก ปวดศีรษะ หน้ามืด อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เหงื่อไม่ออก ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น
ชักกระตุก เกร็ง หมดสติ
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นและถึงแก่ชีวิตได้ โดยความรุนแรงของโรคลมแดด (Heat Stroke) จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น โรคประจำตัวอย่างเบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือมีภาวะขาดน้ำ โดยในกลุ่มที่ติดสุราเรื้อรังโรคก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคลมแดด ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ผ้าโปร่ง ระบายอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดหรือออกกำลังกายในสภาพอากาศที่ร้อนจัด และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
2. โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีอยู่ในน้ำลายสัตว์ ผ่านการกัด ข่วน หรือถูกเลียบริเวณแผล หรือแม้แต่น้ำลายนั้นเข้าตา ปาก จมูก หลังการติดเชื้อผู้ป่วยจะมีอาการทางระบบประสาท เช่น ชัก ประสาทหลอนือัมพาต
ที่สำคัญคือเมื่อมีอาการแล้วจะเสียชีวิตทุกราย ดังนั้นหากถูกสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกัด หรือเป็นผู้สุ่มเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อ ให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง แล้วรีบไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และควรนำสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนทุกปี เพื่อความปลอดภัยสำหรับคนในบ้านและสัตว์เลี้ยง
3. อาหารเป็นพิษ
เป็นโรคที่พบบ่อยในช่วงหน้าร้อน ซึ่งเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่จะมีอาการหลังจากรับประทานอาหารที่มีรสจัด หรืออาหารที่ปรุงไม่สุกพอ เช่น อาหารค้างคืน เนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก หรือทานดิบๆ เมื่อรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไปแล้ว อาจทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา เช่น
มีไข้ อาเจียนติดต่อกันไม่หยุดหรือมีเลือดปน ปวดท้องในลักษณะปวดบิดเป็นพักๆ
ท้องเสีย หากมีอาการขาดน้ำอาจทำให้หมดสติ ผู้ที่มีอาการรุนแรงมากๆ หากรักษาไม่ทันอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
4. โรคท้องร่วงเฉียบพลัน
เกิดจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคต่างๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว พยาธิ หรือในบางรายอาจได้รับเชื้อโรคจากการใช้มือหยิบจับสิ่งของที่ปนเปื้อนแล้วนำเข้าปาก โดยอาการของโรคอุจจาระร่วงคือ
ถ่ายเหลวอย่างน้อย 3 ครั้งขึ้นไปต่อวัน บางรายถ่ายเป็นมูกปนเลือด 1 ครั้งขึ้นไปต่อวัน หากปล่อยไว้ร่างกายจะสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ทำให้อ่อนเพลีย อวัยวะต่างๆ เสียสมดุลการทำงาน และเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
เกิดภาวะช็อก หมดสติ และเสียชีวิต
5. โรคบิด
โรคบิดจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ก็คือ มีตัวก่อบิด และไม่มีตัวก่อบิด ซึ่งโรคบิดที่มีตัวก่อบิดจะเกิดจากเชื้ออะมีบา และเมื่อเชื้ออะมีบาเข้าไปสู่กระแสเลือด หรือแพร่ไปยังอวัยวะภายในต่างๆ ก็อาจทำให้เนื้อเยื่อในอวัยวะต่างๆ ถูกทำลาย หรือก่อให้เกิดฝีที่อวัยวะต่างๆ และอาจเกิดอาการติดเชื้อ หรืออาการอื่นๆ ที่รุนแรงขึ้น ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีก็อาจทำให้อันตรายถึงชีวิตได้ อาการที่มีตัวก่อบิด ปวดท้องเวลาถ่าย ถ่ายปนมูกปนเลือด อาจมีฝีในตับ
ถ่ายอุจจาระบ่อยครั้ง อาการที่ไม่มีตัวก่อบิด ไข้สูง ถ่ายเป็นมูกปนเลือด ปวดท้อง อาเจียนฃ เบื่ออาหาร
6. อหิวาตกโรค
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Vibrio Cholerae ที่ลำไส้เล็ก ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ติดต่อจากอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ ซึ่งหากติดเชื้อโรคนี้จะทำให้เราถ่ายอุจจาระเป็นน้ำคราวละมากๆ โดยอาจไม่มีอาการปวดท้อง สามารถก่อให้เกิดอาการขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็ว เช่น กระหายน้ำ อ่อนเพลีย ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเร็ว
อาจทำให้เกิดภาวะช็อก หมดสติจากการเสียน้ำ บางรายที่มีอาการรุนแรงมากๆ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
การดูแลเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยถ่ายเหลวเฉียบพลัน ควรชงผงน้ำตาลเกลือแร่ดื่มชดเชยให้ทันกับสารน้ำที่สูญเสียไป หากอาการไม่ดีขึ้น หรือผู้ป่วยไม่สามารถดื่มสารน้ำชดเชยได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินแนวทางการรักษาต่อไป
7. โรคไข้ไทฟอยด์ หรือ ไข้รากสาดน้อย
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi โดยเชื้อชนิดนี้สามารถแพร่กระจายไปยังทุกส่วนของร่างกายได้ ซึ่งติดต่อได้จากการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน และเมื่อเราสัมผัสกับเชื้อชนิดนี้แล้ว อาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้ หากรักษาช้าอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ อาการที่พบได้แก่
มีไข้สูง เบื่ออาหาร แน่นท้อง ท้องผูก
จะเห็นได้ว่านอกจากโรคฮีทสโตรกและโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว โรคที่พบบ่อยในหน้าร้อนส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร ซึ่งมีลักษณะอาการที่คล้ายกัน ต่างกันที่ประเภทของเชื้อโรคที่ได้สัมผัส การป้องกันตัวเองเบื้องต้นจากโรคดังกล่าวสามารถทำได้ด้วยวิธีเหล่านี้
หากทำอาหารเองควรล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ก่อนและหลังเตรียมอาหารดิบทุกชนิด
ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกชนิดที่ใช้ในการเตรียมอาหารดิบ ไม่ใช้ปะปนกัน เช่น ไม่ใช้เขียงหั่นเนื้อสัตว์สดร่วมกับอาหารอื่น
ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร
เลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและดื่มน้ำที่สะอาดผลิตได้มาตรฐาน
รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่และสะอาด
เลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยกะทิ โดยเฉพาะอาหารที่ปรุงค้างไว้ในอุณหภูมิห้องอย่างน้อย 3 ชั่วโมง และอาหารที่ทิ้งไว้ค้างคืน
เลี่ยงผักหรือผลไม้สดที่ล้างไม่สะอาด
เลี่ยงอาหารกระป๋องที่มีลักษณะผิดปกติ เช่น มีรอยรั่ว แตก บุบ บวม หรือขึ้นสนิม
อาหารกระป๋องเมื่อเปิดแล้วควรรับประทานให้หมดในครั้งเดียว หรือเทใส่ภาชนะอื่นที่สะอาดแล้วปิดฝาให้แน่นก่อนเก็บไว้รับประทานมื้อถัดไป
เพื่อให้เราใช้ชีวิตในหน้าร้อนได้อย่างปลอดภัย ปลอดโรค และมีสุขภาพแข็งแรงอย่างมีความสุข
ข้อมูลอ้างอิง : โรงพยาบาลเปาโล, โรงพยาบาลวิมุต
Acanthosis Nigricans (แอแคนโธซิส นิกริแคนส์) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "คอคาร์บอน" เป็นภาวะที่ผิวหนังบริเวณบางส่วนของร่างกายมักจะมีสีเข้มขึ้นและหนาขึ้น โดยเฉพาะที่คอ ข้อศอก รักแร้ หรือขาหนีบ ซึ่งอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจในแง่ของความงาม และอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ลึกซึ้งกว่าที่คิด
การเกิดภาวะ Acanthosis Nigricans
Acanthosis Nigricans เกิดจากการที่เซลล์ผิวหนังเติบโตและแบ่งตัวมากขึ้นผิดปกติ ทำให้ผิวหนังในบริเวณที่มีภาวะนี้มีลักษณะหนาและคล้ำขึ้น ภาวะนี้มักเกี่ยวข้องกับความต้านทานอินซูลิน (Insulin Resistance) หรือระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินไป ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ที่มีภาวะโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือผู้ที่มีภาวะอ้วน นอกจากนี้ยังสามารถเกิดได้จากการใช้ยาบางชนิด เช่น ฮอร์โมนสเตียรอยด์ หรือการติดเชื้อบางชนิด
สาเหตุอื่นๆ ที่สามารถทำให้เกิด Acanthosis Nigricans ได้แก่
- การเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน เช่น โรคกระดูกพรุน หรือความผิดปกติของฮอร์โมนต่อมไทรอยด์
- โรคมะเร็งบางประเภท เช่น มะเร็งในทางเดินอาหารที่มีการผลิตฮอร์โมนพิเศษที่กระตุ้นการเกิดภาวะนี้
อันตรายของ Acanthosis Nigricans
แม้ว่า Acanthosis Nigricans จะไม่ใช่โรคที่เป็นอันตรายถึงชีวิตโดยตรง แต่ก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่รุนแรง เช่น
- โรคเบาหวาน: ภาวะนี้มักเกี่ยวข้องกับการมีภาวะความต้านทานอินซูลิน ซึ่งอาจนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2
- โรคหัวใจและหลอดเลือด: การมีความต้านทานอินซูลินยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคมะเร็งบางชนิด: โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหารหรือมะเร็งตับที่อาจเกี่ยวข้องกับ Acanthosis Nigricans การมีภาวะนี้อาจเป็นการเตือนว่าร่างกายกำลังมีปัญหาทางด้านเมแทบอลิซึม หรือการทำงานของอินซูลินที่ไม่ปกติ จึงจำเป็นต้องตรวจสุขภาพอย่างละเอียด
วิธีป้องกันและรักษา Acanthosis Nigricans
- การควบคุมน้ำหนัก: การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะ Acanthosis Nigricans ได้ เนื่องจากอาการนี้มักเกิดในผู้ที่มีภาวะอ้วนหรือมีน้ำหนักตัวเกิน
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน: การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงหรือไขมันสูง ช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาโรคเบาหวาน และภาวะ Acanthosis Nigricans
- การรักษาโรคเบาหวาน: หากผู้ป่วยมีโรคเบาหวาน ควรทำการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ การควบคุมระดับอินซูลินจะช่วยลดอาการนี้ได้
- การใช้ยา: ในบางกรณีที่ Acanthosis Nigricans เกิดจากการใช้ยาบางชนิด การหยุดใช้ยาหรือการปรับเปลี่ยนยาอาจช่วยบรรเทาอาการได้
- การรักษาด้วยยาทา: ในบางกรณีสามารถใช้ยาทาผิวหนัง เช่น กรดวิตามิน A หรือยาลดการอักเสบเพื่อช่วยลดอาการของผิวหนังที่หนาและคล้ำขึ้น
หากคุณสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีผิวที่ผิดปกติในบริเวณคอหรือส่วนอื่นๆของร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกรณีที่มีภาวะที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานหรือความผิดปกติของฮอร์โมน