อย่ามองข้าม! 5 อาการธรรมดา ๆ ของดวงตา อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงเรื่องของ “สุขภาพไต” ควรหมั่นตรวจเช็กร่างกาย ก่อนที่จะสายเกินแก้
‘ดวงตา’ อาจไม่ใช่แค่หน้าต่างของหัวใจ เพราะ ดวงตา อาจแสดงอาการของ “โรคไต” ได้ เช่น ตาบวมเรื้อรัง มองภาพมัว แห้ง แดง หรือการมองเห็นสีผิดปกติ หากพบร่วมกับอาการอ่อนเพลียหรือบวมตามร่างกาย อาจบ่งบอกถึงปัญหาไตที่ซ่อนอยู่...
5 สัญญาณจากดวงตาที่อาจบอกปัญหาไต
1. ตาบวมเรื้อรัง
หากดวงตาบวมตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะบริเวณเปลือกตา ออาจเกิดจากโปรตีนรั่วออกมาทางปัสสาวะ (Proteinuria) จากการที่ไตเสียหาย อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปัสสาวะเป็นฟอง
2.การมองเห็นพร่ามัวหรือเห็นภาพซ้อน
ความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานเป็นสาเหตุหลักของโรคไตเรื้อรัง (CKD) และสามารถทำลายหลอดเลือดในจอประสาทตาได้ ความเสียหายนี้อาจนำไปสู่การรั่วไหลของของเหลว จอประสาทตาบวม หรือในกรณีที่รุนแรงอาจสูญเสียการมองเห็น
3.ตาแห้ง คัน หรือระคายเคือง
พบในผู้ป่วยโรคไตระยะลุกลามหรือผู้ที่กำลังฟอกไต อาจเกิดจากความไม่สมดุลของแร่ธาตุ เช่น แคลเซียมและฟอสเฟต หรือการสะสมของเสียที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำตาและการหล่อลื่นของดวงตา หากคุณรู้สึกระคายเคืองตา ตาแดง หรือแสบร้อนบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีปัจจัยกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมใดๆ
4.ตาแดง
อาจเกิดจากความดันโลหิตสูงหรือเบาหวานที่ควบคุมไม่ดี ซึ่งทำให้หลอดเลือดฝอยแตกง่าย หรือเกิดการอักเสบจากโรคภูมิคุ้มกัน เช่น ลูปัสที่กระทบทั้งไตและดวงตา
5.การมองเห็นสีผิดเพี้ยน
โดยเฉพาะสีฟ้าและสีเหลือง เกิดจากการทำลายเส้นประสาทตาหรือจอประสาทตา จากความดันสูง เบาหวาน หรือสารพิษจากของเสียในร่างกายที่กรองไม่ออก
ที่มา: timesofindia...
9-17 สิงหาคม 2568 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม หรือ อว. โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ร่วมจัดนิทรรศการงาน อว.แฟร์ 2025 และมหกรรมวิทยาศาสตร์ฯ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ พร้อมย่อส่วน 4 แลปด้านอวกาศ และการใช้งานข้อมูลจากดาวเทียมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำมาไว้ในงาน หวังกระตุ้นให้คนไทยได้เรียนรู้และทราบถึงวิวัฒนาการด้านการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
ดร.ศิริลักษณ์ พฤกษ์ปิติกุล รองผู้อำนวยการ GISTDA เปิดเผยว่า งาน อว.แฟร์ปีนี้ GISTDA มาในตีม Space Tech for better life ที่จะนำเสนอให้ทุกคนได้เห็นถึงผลงานด้านเทคโนโลยีอวกาศของไทยที่ส่งผลต่อชีวิตมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อมที่สามารถรับรู้ได้ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งจะแบ่งนิทรรศการเป็นโซนต่างๆ ได้แก่ โซนที่หนึ่งการควบคุมและรับสัญญาณดาวเทียม เป็นการจำลองให้เห็นเบื้องหลังการทำงานของทีมวิศวกรในการวางแผนถ่ายภาพ การควบคุมวงโคจร และระบบปฏิบัติต่างๆ ของดาวเทียม THEOS-1 และ ดาวเทียม THEOS-2 โซนที่ 2 การทดสอบระบบและโครงสร้างของตัวดาวเทียม เป็นการจำลองกระบวนการทดสอบตัวดาวเทียมหลังจากที่สร้างแล้วเสร็จ
รวมถึงมีการนำชิ้นส่วนประกอบของดาวเทียมที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการในไทยมาตั้งโชว์ในงานด้วย ซึ่งชิ้นส่วนเหล่านี้ถูกนำไปติดตั้งบนตัวดาวเทียม THEOS-2A ที่กำลังจะส่งขึ้นสู่อวกาศในปีหน้านี้ โซนที่ 3 การออกแบบและสร้างดาวเทียม จะนำเสนอให้เห็นโครงสร้างของตัวดาวเทียม THEOS-3 ที่อยู่ระหว่างการสร้างและดำเนินการในประเทศไทยภายใต้การบูรณาการจากหน่วยงานหลายภาคส่วน นอกจากนี้ ภายในโซนยังได้เผยแผนการสร้างดาวเทียมสำรวจ THEOS-4 THEOS-5 และ THEOS-6 ด้วย โซนที่ 4 การวิจัยสภาพอวกาศ การติดตามพายุสุริยะ หรือการติดตามวัตถุอวกาศในส่วนที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น จรวดนำส่ง ดาวเทียม สถานีอวกาศ และจากธรรมชาติ เช่น อุกาบาต เป็นต้น โดยในโซนที่ 4 นี้ เราได้นำชิ้นส่วนของจรวดนำส่งดาวเทียมที่ตกในประเทศไทยและสามารถเก็บกู้ได้มาวางโชว์ด้วยเช่นกัน
ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งของนิทรรศการฯ เรามีการนำเสนอการใช้งานข้อมูลจากดาวเทียมตามภารกิจสำคัญๆ โดยปีนี้ยกมา 5 เรื่อง คือ การสำรวจคาร์บอนเครดิต การสำรวจการใช้ประโยชน์ที่ดินด้วย Base Map การติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 แบบชั่วโมงต่อชั่วโมง การติดตามสถานการณ์น้ำท่วมขังทั่วประเทศ การใช้เทคโนโลยีจากดาวเทียมกับระบบสาธารณสุข และเสริมอีก 1 เรื่อง คือมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพตำแหน่งนักเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ระดับ 5 ที่ได้ประกาศใช้เป็นทางการแล้ว จากความร่วมมือของ 2 หน่วยงานอย่าง GISTDA และ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนหน้างานเพื่อรับสิทธิ์เข้ารับการประเมินสมรรถนะอาชีพภูมิสารสนเทศ กับ GISTDA ฟรีอีกด้วย โดยนิทรรศการในแต่ละส่วนนี้ จะมีทีมวิศวกรดาวเทียม นักวิจัยด้านเทคโนโลยีอวกาศ นักวิชาการภูมิสารสนเทศ ให้ข้อมูลและพูดคุยกับผู้เข้าชมนิทรรศการฯ ทุกวัน
สำหรับอีกงานที่พลาดไม่ได้คือ งานนิทรรศการมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งปีนี้ GISTDA มาในตีม Space Adventure เน้นการผจญภัยอย่างมีสาระ กระตุ้นจินตนาการและเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนกิจกรรมต่างๆ เช่น อยากเห็นคนไทยทำอะไรในอวกาศ การค้นหาดาวเทียมสำรวจในอวกาศ Gravity Room หรือการถ่ายภาพเสมือนจริงในสถานีอวกาศให้บรรยากาศว่ากำลังลอยอยู่ในอวกาศ เป็นต้น รองผู้อำนวยการ GISTDA กล่าว
ทั้งนี้ บูธของ GISTDA สำหรับ อว.แฟร์ อยู่ที่ชั้น G บริเวณฮอลล์ 3 ในพื้นที่โซน F: Future Thailand ส่วนงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ อยู่ที่ชั้น LG บริเวณฮอลล์ 6 โดยทั้ง 2 งานจัดขึ้นระหว่าง 9-17 สิงหาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ
การเป็น Pet Parent ในยุคนี้ ไม่ได้จบแค่การถ่ายรูปลูก ๆ ทำคอนเทนต์สุดคิ้วท์ แต่คือการเลเวลอัป พัฒนาทักษะ และสกิลความเป็นพ่อ แม่ และลูกให้สมบูรณ์แบบ
ชวนมาอัปเกรดลูกรักสี่ขาของเราให้กลายเป็นเด็กดีแสนรู้ ด้วยทริคการฝึกที่ทำตามได้ง่าย ๆ ใช้เวลาไม่นาน ด้วยองค์ความรู้ใหม่ ๆ และเทคโนโลยีก็สามารถเปลี่ยนน้องตัวป่วนให้กลายเป็นระเบียบได้จริงที่ใครเห็นก็ต้องชม
5 เทคนิคการฝึกสัตว์เลี้ยงแบบรวบรัดฉบับคน Gen Z
1. ฝึกด้วยแอปพลิเคชัน
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่เข้าเป็นตัวช่วย และแบ่งเบาการฝึกให้กับเหล่าทาส โดยใช้แอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อการฝึกให้กับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ ยิ่งคน Gen Z มักจะคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีในทุกด้านของชีวิต และการฝึกสัตว์เลี้ยงก็เช่นกัน ซึ่งมีหลายแบบให้เลือก ทั้งแอปที่ช่วยบันทึกการฝึก, แอปที่ใช้เสียง หรือแอปที่แนะนำวิธีฝึกตามสายพันธุ์ ทำให้การฝึกเป็นเรื่องง่ายและสนุกเหมือนเล่นเกม
2. คลิปวิดีโอสั้นและโซเชียลมีเดีย
ปัจจุบันแทนที่จะต้องอ่านหนังสือเล่มหนา ๆ Gen Z เลือกเรียนรู้จากคลิปวิดีโอสั้นใน TikTok, Instagram Reels หรือ YouTube Shorts ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่เข้าใจง่าย และนำไปทำตามแบบใช้ได้ทันที คอนเทนต์เหล่านี้มักจะนำเสนอเทคนิคที่เจาะลึกและตรงประเด็น ทำให้การฝึกมีประสิทธิภาพ และไม่น่าเบื่อ แถมมีตัวอย่างให้เห็นอีกด้วย
3. การฝึกแบบ Positive Reinforcement หรือการให้รางวัลเชิงบวก
เทคนิคนี้จะเน้นการให้รางวัลเมื่อสัตว์เลี้ยงทำพฤติกรรมที่เราต้องการ และมีแนวคิดในการไม่ลงโทษเมื่อทำผิด เพราะชาว Gen Z มองว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสัตว์เลี้ยงเป็นเรื่องสำคัญ และทำให้สัตว์เลี้ยงไม่ก้าวร้าว หรือหวาดกลัว ซึ่งการให้ขนม ของเล่น หรือการชื่นชมจะช่วยให้สัตว์เลี้ยงเรียนรู้และจดจำได้อย่างรวดเร็ว และมีพัฒนาที่ดีกว่า
4. การฝึกแบบ Fun and Playful
Gen Z ไม่ได้มองการฝึกสัตว์เลี้ยงเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ แต่เป็นการทำกิจกรรมร่วมกันกับเหล่าสัตว์สี่ขา ที่เน้นความสนุกสนาน เช่น การฝึกให้สัตว์เลี้ยงเล่นเกมต่าง ๆ หรือทำทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้เจ้าของและสัตว์เลี้ยงได้ใช้เวลาคุณภาพร่วมกัน และทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างธรรมชาติ และมีพัฒนาการที่น่าสนใจ
5. เรียนรู้จากชุมชนออนไลน์สำหรับคนรักสัตว์
แน่นอนว่าในยุคปัจจุบันชาว Gen Z และคนในทุกเจนเนอเรชัน ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และขอคำปรึกษากันในหลายวงการ วงการสัตว์เลี้ยงก็เช่นกัน ซึ่งการเข้าร่วมกลุ่มชุมชนออนไลน์ บน Facebook, Reddit หรือ Discord ทำให้พวกเขาได้แลกเปลี่ยนเทคนิคการฝึก, สอบถามปัญหา และได้รับกำลังใจจากคนที่มีความสนใจเดียวกัน ซึ่งมีทั้งเคสตัวอย่าง การแก้ปัญหาได้ตรงจุด และวิธีที่น่าสนใจอย่างหลากหลายความคิดเห็นที่มาจากประสบการณ์ตรง
สะท้อนพลังซอฟต์พาวเวอร์ดันเศรษฐกิจ รัฐบาลพร้อมต่อยอดสู่การสร้างรายได้ในภาคการท่องเที่ยว โดยล่าสุดเว็บไซต์ U.S. News & World Report ประจำปี 2024 จัดอันดับให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งทางมรดกวัฒนธรรม อันดับ 1 ของเอเชีย และ อันดับ 8 ของโลก จาก 89 ประเทศ โดยพิจารณาจาก 5 ปัจจัยหลัก
1) การเข้าถึงวัฒนธรรม
2) ประวัติศาสตร์อันรุ่งเรือง
3) อาหาร
4) สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
5) ความน่าดึงดูดทางภูมิศาสตร์ ทั้งนี้ แม้รายได้จากการท่องเที่ยวจะอยู่ที่ราว 7% ของ GDP แต่ไทยยังติดอันดับประเทศที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก
ผลการจัดอันดับนี้สะท้อนถึงพลังของการขับเคลื่อน “Soft Power ไทย” ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาสัมผัสเสน่ห์ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม อาหารรสเลิศ โบราณสถาน วัดวาอาราม และการนวดแผนไทย สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการผลักดันอุตสาหกรรมวัฒนธรรมให้กลายเป็นพลังสร้างอิทธิพลบนเวทีโลก พร้อมเปลี่ยนเสน่ห์ไทยให้เป็น “เครื่องยนต์เศรษฐกิจ” ที่สร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศ
ผลการจัดอันดับนี้สะท้อนถึงพลังของการขับเคลื่อน “Soft Power ไทย” ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาสัมผัสเสน่ห์ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม อาหารรสเลิศ โบราณสถาน วัดวาอาราม และการนวดแผนไทย สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการผลักดันอุตสาหกรรมวัฒนธรรมให้กลายเป็นพลังสร้างอิทธิพลบนเวทีโลก พร้อมเปลี่ยนเสน่ห์ไทยให้เป็น “เครื่องยนต์เศรษฐกิจ” ที่สร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศ เป็นการส่งเสริมและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของชาติอย่างต่อเนื่อง พร้อมยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยคงความโดดเด่นบนเวทีโลก
รู้หรือไม่ “การตื่นเช้า” ไม่ได้เหมาะกับทุกคน! ไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จเรื่องชีวิตหรือสุขภาพ ละทิ้งความเชื่อแบบผิด ๆ ด้วยการเข้าใจไทป์ตัวเอง
ความเชื่อเรื่องสุขภาพหนึ่งอย่างที่ถูกปลูกฝังมาตลอด คือ “การตื่นเช้า” แต่รู้หรือไม่ว่า ไม่ใช่ทุกคน ที่เหมาะจะตื่นเช้า โดยอ้างอิงจากงานวิจัยหลายแห่งในต่างประเทศเกี่ยวกับ “Chronotype” หรือรูปแบบเวลาชีวิตของแต่ละคน ชี้ให้เห็นว่าคนที่มีลักษณะ “Early bird” หรือเช้าตรู่อาจมีวินัยดีขึ้น และทำงานเช้าได้ดีขึ้นจริงในบางกลุ่ม เช่น นักเรียนหรือพนักงานบริษัท
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน คนที่มีลักษณะ “Night owl” กลับพบว่ามีประสิทธิภาพในการทำงานและคิดวิเคราะห์สูงกว่าในช่วงเวลาของตัวเอง งานวิจัยระดับนานาชาติยังพบว่าการพยายามบังคับเวลาโดยฝืนจังหวะชีวภาพของตน อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงและเกิดความเครียดสะสม
ตื่นเช้าแล้วไม่ได้สุขภาพดีเสมอไป
งานวิจัยจากวารสาร JAMA Psychiatry พบว่าการตื่นเช้าเร็วกว่าปกติ 1 ชั่วโมง (โดยไม่ลดเวลานอน) อาจช่วยลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้าได้ แต่หากตื่นเช้าโดยไม่ได้พักผ่อนเพียงพอหรือจำกัดชั่วโมงการนอน อาจส่งผลตรงข้าม คือทำให้ระบบภูมิคุ้มกันลดลง สมองล้า และสุขภาพจิตแย่ลง การนอนหลับที่เพียงพอและต่อเนื่องตลอดคืนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด
การศึกษาจากกลุ่มนักเรียนและพนักงานที่ทำงานตามเวลาปกติ พบว่า “Morning type” หรือคนที่ตื่นเช้าโดยธรรมชาติ มีแนวโน้มเรียนรู้ได้ดีขึ้นในช่วงเช้า และมีความสม่ำเสมอในการใช้ชีวิต ขณะที่ “Evening type” หรือคนนอนดึก จะมีปัญหาหากถูกบังคับให้เข้าสู่กิจวัตรเช้า ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เป็นเพราะนาฬิกาชีวภาพภายในไม่สอดคล้องกับเวลาสังคม
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยในยุโรปและเอเชียตะวันออก พบว่าในหมู่คนวัยทำงานและนักศึกษา “Night owl” หรือคนที่ชอบนอนดึกหรือใช้ชีวิตในเวลากลางคืนเป็นหลัก มีแนวโน้มทำแบบทดสอบด้านการวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ได้ดีกว่าในช่วงเวลาของตน ซึ่งชี้ว่า “การตื่นเช้า” อาจไม่ได้สัมพันธ์กับ “ความเก่ง” อย่างที่เคยเชื่อกันมา
อยากเป็นคน ตื่นเช้า “แบบไม่ฝืน” ต้องค่อย ๆ ปรับตัว
1.ใช้เวลาเข้านอนให้เพียงพอ สิ่งสำคัญที่สุดของการตื่นเช้าไม่ใช่แค่เวลา แต่คือคุณภาพการนอน หากต้องตื่นเช้า ควรนอนเร็วขึ้นเพื่อไม่ให้ชั่วโมงการนอนน้อยเกินไป
2.ปรับขึ้นทีละน้อย แทนที่จะเปลี่ยนเวลาตื่นทันที ควรขยับเวลาตื่นทีละ 15–30 นาทีเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ระบบฮอร์โมนและสมองปรับตัวได้ ลดผลกระทบจากอาการมึนงงหรือง่วงนาน (Sleep inertia)
3.จัดกิจวัตรช่วงเช้าให้มีประโยชน์ เมื่อตื่นขึ้น ควรทำกิจกรรมที่กระตุ้นร่างกายและจิตใจ เช่น รับแสงธรรมชาติ ออกกำลังกายเล็กน้อย หรือจิบเครื่องดื่มอุ่นๆ เพื่อสร้างความสดชื่นโดยไม่ต้องพึ่งคาเฟอีนหนัก...